ในตอนนี้ เขาเที่ยวไปทั่ว แต่ก็เพียงเพื่อระบายความเบื่อหน่ายในจิตใจของเขา
ไม่ได้คิดถึงเรื่องเป้าหมายของหนานกงจิ่นเลยสักนิด
บางทีไม่ใช่ว่าเขาไม่คิด อาจจะเคยคิด แต่เมื่อสัญชาตญาณบอกว่ามันอันตราย ก็ทำให้เขาไม่กล้าที่จะคิดถึงมันอีก
ดังนั้นเมื่อลู่จิ่งเซินถามขึ้นมา เขาถึงกับทำตัวไม่ถูกขนาดนี้
หนานมู่หรงมองที่ลู่จิ่งเซิน สายตาคู่นั้นบอกอะไรไม่ได้เลย
ลู่จิ่งเซินก็ไม่ได้รีบร้อน ถ้าอย่างงั้นเขาก็แค่ต้องนั่งรอเงียบๆ รอให้เขาเปิดปากพูดเอง
ผ่านไปอยู่นาน ถึงจะได้เห็นหนานมู่หรงส่ายหัว สีหน้าสลด “ผมไม่รู้ ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาต้องการแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ไปเพื่ออะไร?”
ลู่จิ่งเซินพูดตอบเบาๆ “ผมก็เชื่อว่าคุณหนานไม่รู้เรื่อง แต่ว่าเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นนานแล้ว อีกอย่างพวกเราก็รู้เรื่องแล้ว ผมหวังว่าคุณหนานจะไม่เอาตัวรอดคนเดียว ถ้ามีโอกาส เราลองตรวจสอบกันดูนะครับ ยังไงซะถ้าหนานกงจิ่นมีเจตนาร้ายที่บอกใครไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลหนานจะก็ได้รับผลกระทบ แม้แต่คุณหนานก็ไม่ยกเว้น”
หนานมู่หรงได้ยินแบบนั้น ก็ยิ้มอย่างผิดหวังทันที
“คุณไม่รู้หรอว่า ผมถูกเนรเทศออกมาจากตระกูลแล้ว เพราะฉะนั้นตระกูลจะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่เกี่ยวกับผมแล้ว”
ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าหนานมู่หรงจะถูกไล่ออกมาจากตระกูล
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่บังคับ ขอบคุณคุณหนานมากๆนะครับที่บอกเรื่องเหล่านี้กับผมในวันนี้ ต่อไปถ้ามีโอกาส ผมจะตอบแทนให้อย่างสาสมเลยครับ”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น
หนานมู่หรงเห็นอย่างนั้น ก็ลุกขึ้นด้วย
หลังจากคิดอยู่สักพัก ในที่สุดก็พูดเสริมอีกว่า“ผมจะช่วยหาที่อยู่ของคุณนายลู่อยากสุดความสามารถนะครับ แต่ว่าหนานกงจิ่นคนนี้ ถ้าเขาอยากจะซ่อนตัวจริงๆ เกรงว่าจะหาได้ยากจริงๆ เพราะฉะนั้นคุณอย่าฝากความหวังไว้เยอะนะครับ”
ลู่จิ่งเซินหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับมา
สักพัก ก็พูดเบาๆขึ้นมาว่า “ขอบคุณมากครับ”
พูดจบ เขาก็เดินออกไปแล้ว
เสียง “เอี๊ยด”ดังออกมาจากประตูไม้เก่า ชายหนุ่มเดินออกไปพร้อมกับสายลมยามค่ำคืน หนานมู่หรงยืนอยู่ในห้อง มองดูเงาที่ค่อยๆลับออกไป ได้แต่ยืนเงียบๆอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน สองนาน
หลังจากลู่จิ่งเซินออกมาจากวังเทพี ก็ขึ้นรถ
คนขับรถหันมาถาม “ท่านประทาน ตอนนี้พวกเราจะไปไหนครับ?”
ลู่จิ่งเซินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “กลับไปที่ปราสาทก่อน”
“ครับ”
รถสตาร์ท ขับไปทางกลับปราสาท
ลู่จิ่งเซินนั่งอยู่บนรถ มองทิวทัศน์ที่สลับผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็วนอกหน้าต่าง หรี่ตาลงเล็กน้อย
นิ้วของเขา หมุนแหวนแต่งงานบนนิ้วนางอย่างไม่รู้ตัว เป็นตอนที่เขาแต่งงานกับจิ่งหนิง จิ่งหนิงสวมให้เขากับมือของเธอเอง
ค่ำคืนที่เย็นสบาย ทันใดนั้นมุมปากของเขาก็แสยะยิ้มขึ้น ราวกับนกอินทรีที่หลับใหลอยู่ในความมืด
หนานกงจิ่น ที่แท้นี่ก็คือใบหน้าที่แท้จริงของแก
ฉันติดตามดูแกมาตั้งหลายปี รู้มาตลอดว่า แกต่างจากคนปกติ แต่คิดไม่ถึงจริงๆเลยว่าเบื้องหลังของแกจะเป็นอย่างนี้
คนจากหนึ่งพันปีก่อนหรอ……มิน่าล่ะ สิบปีก่อนเกือบจะจับแกได้แล้ว แต่แกยังซ่อนตัวจนได้
ในตอนนั้นไม่รู้ว่าแกเป็นคนของตระกูลหนาน ในเมื่อตอนนี้รู้แล้ว……อ๊า!
ลู่จิ่งเซินจะถอดแหวนแต่งงานที่นิ้วนางออก แต่เห็นว่าเพชรบนแหวนแต่งงานอยู่ๆก็เปลี่ยนสีไปในยามค่ำคืน สีแดงเลือดดุจอัญมณีที่ส่องประกายในความมืด ฉายแสงระยิบระยับ
เขากดเบาๆลงไปที่เพชรเม็ดนั้นด้วยหลายต่อหลายครั้ง
ในเวลาเดียวกัน อาคารสีเทาเหล็กที่อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นไมล์ คนกลุ่มนึงกำลังจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่อยู่ๆก็มีรหัสปรากฏขึ้นมา พวกเขาตะโกนด้วยความประหลาดใจ
“หัวหน้าส่งข่าวมาแล้ว! ทุกคนมาดูเร็ว!”
……
เดิมทีจิ่งหนิงยังไม่อยากนอน
แต่น่าจะเป็นเพราะว่าตั้งครรภ์ ร่างกายก็อ่อนล้าได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน เธอทนอยู่จนถึงกลางดึกก็ผล็อยหลับไปจริงๆ
โม่ไฉ่เวยก็ไม่กล้าหลับเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นจิ่งหนิงหลับไปแล้ว เธอก็เฝ้าที่นั่นอยู่คนเดียว ตอนแรก ก็เพราะว่ากลัวคนจะมาทำร้ายพวกเธอตอนนอนหลับ จึงได้อดทนถ่างตาไว้ได้
แต่พอตอนหลัง ไม่เพียงแค่ไม่มีคนมาทำร้ายพวกเธอ แต่ในห้องขนาดใหญ่นอกจากพวกเธอสองคนแล้ว คนสักคนก็ไม่มี เธอก็ทนก็ไปไม่ไหวแล้ว ก็ผล็อยหลับไปเช่นกัน
ตื่นมาอีกที ก็เช้าของวันถัดมาแล้ว
เมื่อคืนโม่ไฉ่เวยฝันร้าย เธอฝันว่ามีคนจับตัวเธอและจิ่งหนิงไปทรมานอย่างป่าเถื่อน เธอกลัวมาจนตื่นขึ้นมาทันที
หลังจากตื่นขึ้นมา สองมือของเธอก็คว้าไปมั่ว หาจิ่งหนิงไปทั่ว
“หนิงหนิง หนิงหนิง !”
จิ่งหนิงได้ยินเสียงก็จับมือเธอเอาไว้ “แม่คะ ฉันอยู่นี่ ไม่ต้องกลัวค่ะ ฉันอยู่ตรงนี้ไง”
โม่ไฉ่เวยค่อยๆเพ่งมองไป ถึงจะเห็นว่าหล่อนอยู่ข้างหน้านี่เอง ทั้งร่างกาย นอกจากสีหน้าที่ดูแย่นิดหน่อย ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ถึงจะค่อยโล่งใจ
เมื่อวานก่อนนอนไม่ได้ปิดผ้าม่าน ดังนั้นตอนนี้จึงมีแสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่าง สาดส่องให้ในห้องสว่างไสว
โม่ไฉ่เวยเอามือบังตา ถามว่า “ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”
จิ่งหนิงมองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง “เก้าโมงเช้าแล้วค่ะ”
“สายขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย?”
สีหน้าของโม่ไฉ่เวยเปลี่ยนไปทันที
“ค่ะ”จิ่งหนิงพยักหน้า แต่ก็ยังแน่นิ่ง
หลังจากผ่านเรื่องเมื่อคืนมา เธอก็คือได้ว่า แทนที่จะตกอกตกใจไปเอง ควรจะตั้งสติให้ได้ดีกว่า
ยังไงซะ ในตอนนี้หนานกงจิ่นก็ยังไม่มีได้คิดจะทำร้ายเธอจริงๆ เธอแค่ต้องเข้มแข็งก่อน จะได้รู้เป้าหมายของหนานกงจิ่นแล้ว ทุกๆอย่างก็จะมีทางออก
เมื่อคิดได้แบบนี้ จิ่งหนิงก็ไม่รีบร้อนแล้ว
มีคนรับใช้ได้ยินเสียงพวกเธอตื่น ก็ยกอาหารเช้าเข้ามา
จิ่งหนิงก็ไม่ได้ปฏิเสธ เมื่อรอให้คนรับใช้วางอาหารเสร็จ ก็พูดว่า “ฉันอยากจะไปเข้าห้องน้ำ”
คนรับใช้คนนั้นชะงักไปครู่นึง ราวกับกำลังลังเลว่าควรทำอย่างไร
จิ่งหนิงเลิกคิ้ว พูดอย่างไม่เกรงใจว่า “เจ้านายของพวกเธอบอกแค่ว่าให้ขังฉันไว้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะเข้าห้องน้ำก็ให้เข้าบนเตียงหรอกนะ ถ้าพวกเธอไม่ถือสา งั้นฉันเองก็ไม่ถือ แต่ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้านายของพวกเธอจะรับมือกับปัญหาได้รึป่าว?”
เมื่อคนรับใช้ได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
รีบตอบไปว่า “คุณรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันไปถามให้ค่ะ”
ไม่นาน เธอก็กลับมา ในมือยังถือกุญมาพวงนึงด้วย
“คุณรอสักครูนะคะ ฉันจะไขออกให้เดี๋ยวนี้”
โม่ไฉ่เวยยืนอยู่ข้างๆ รีบเข้ามาดูเธอ
เมื่อเห็นว่าคนรับใช้คนนั้นได้ปลดกุญแจจากมือเท้าของเธอแล้ว ในวินาทีต่อมา จิ่งหนิงก็คว้าข้อมือของคนรับใช้ไว้ทันที บิดข้อมือแล้วนำตัวหล่อนมาที่หน้าอกของเธอ บีบคอของหล่อนไว้
คนรับใช้กลัวจนทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้น
จิ่งหนิงมองไปยังกล้องวงจรปิดที่อยู่ตรงหน้า พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “หนานกงจิ่น ไม่ว่าคุณจะมีเป้าหมายอะไร ปล่อยเราไปเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นฉันจะบีบคอเธอให้ตายไปเลย”
เพียงแค่เธอออกแรง คนรับใช้ก็โดนเธอบีบคอจนตาเหลือกแล้ว