วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 1045 เลือกซื้อของขวัญ

บทที่ 1045 เลือกซื้อของขวัญ

ลู่จิ่งเซินกลับถ่อมตน

“ที่ไหนกันครับ ครอบครัวเดียวกันจะมีความดีความชอบอะไรกัน แม่มีความสุข หนิงหนิงถึงจะมีความสุข หนิงหนิงมีความสุขผมก็มีความสุข”

จู่ ๆ ก็อวยกันออกสื่อ

โม่ไฉ่เวยเห็นอย่างนั้นจึงอดที่จะขำไม่ได้

ในคืนนั้น เซวซู่นอนสับส่ายอยู่บนเตียงและยากที่จะหลับลง

ครอบครัวของเขาประสบปัญหาและออกจากบ้านมาอยู่ในทะเลทรายตั้งแต่อายุสิบขวบ จนถึงตอนนี้เป็นเวลาสามสิบกว่าปี ที่นี่กลายเป็นบ้านของเขา จะให้เขาจากที่นี่ไป มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ

แต่ลู่จิ่งเซินก็ให้ข้อเสนอที่ดึงดูดใจมาก บวกกับโม่ไฉ่เวย…

เฮ้อ สุดท้ายแล้วเขาไม่ไว้ใจที่โม่ไฉ่เวยจะเดินทางกลับไปประเทศจีนเพียงลำพัง

สุขภาพของเธอยังไม่ดีพร้อม ถึงแม้การพูดคุยกับคนแปลกหน้าจะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว แต่ความจริงแล้วอารมณ์ของเธอก็ยังไม่คงที่

มีหลายครั้งที่พอไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนเยอะ ๆ ก็ยังรู้สึกประหม่าโดยไม่รู้ตัว

ช่วงเวลาแบบนั้น โม่ไฉ่เวยไม่เชื่อใจใครอีกเลยนอกจากเขา

ดังนั้นเซวซู่คิดไปคิดมาและคิดว่ายังไงก็ยังคงไม่วางใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น เขาเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมขอบตาดำคล้ำ พอเห็นลู่จิ่งเซินก็พูดพร้อมสีหน้าเย็นชา: “เรื่องกลับประเทศจีน ผมรับปาก”

ซึ่งลู่จิ่งเซินกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาและอุ้มจิ้งเจ๋อน้อย สอนเขาใช้คอมพิวเตอร์

เมื่อได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมองเซวซู่แล้วยิ้มและพูด: “ตัดสินใจแล้วเหรอครับ? ไม่เสียใจนะ?”

เซวซู่ที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว มองเขาที่เป็นแบบนี้แล้วยิ่งอารมณ์เสีย

เขาเบิกตาโพลงอย่างไร้อารมณ์ “ผมพูดแล้ว ไม่มีทางเสียใจภายหลัง”

พูดจบก็ไม่แม้แต่จะกินข้าวเช้าและเดินออกไปพร้อมกับความโมโห

โม่ไฉ่เวยออกมาจากห้องอาหารแล้วเห็นเขาถือกุญแจรถเดินออกไปด้านนอกจึงรีบถาม: “เอ๊ะ รีบมากินข้าวสิคะ คุณจะไปไหนน่ะ?”

เซวซู่พูดและไม่ยอมหันกลับมา: “ไปห้องทดลอง”

โม่ไฉ่เวยขมวดคิ้วและกระทืบเท้า: “คนคนนี้ จริง ๆ เลยเชียว! ข้าวเช้าไม่กินก็จะไปห้องทดลองแล้ว”

จิ่งหนิงยิ้มแล้วเดินเข้าไปจับไหล่ขอเธอ “แม่คะ คุณอาเชวไปห้องทดลองเพื่อจะไปส่งมอบงานที่จะย้าย แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”

โม่ไฉ่เวยรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องตอบตกลง แต่พอได้ยินมันเข้าจริง ๆ ใบหน้าของเธอก็อดที่จะแสดงความสุขออกมาไม่ได้

เธอกับจิ่งหนิงต้องพลัดพรากกันกว่าสิบปี ได้เจอกันอีกครั้งย่อมอยากที่จะใช้เวลากับจิ่งหนิง

แต่เธอเองก็ไม่อยากจะต้องอยู่ห่างจากเซวซู่ ท้ายที่สุดเซวซู่เป็นมากกว่าความกรุณาของเธอมานานแล้ว แต่ยังเป็นความรักซึ่งกันและกันในช่วงสิบปีที่ผ่านมา

แต่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาปลากับอุ้งตีนหมีได้มาพร้อมกันไม่ได้ เรื่องที่ดีพร้อมทั้งสองด้าน บนโลกนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ดังนั้นเธอจึงเข้าใจดี หากจะให้เซวซู่ต้องจากสถานที่ที่เขาอยู่มาตั้งแต่เล็กจนโต และละทิ้งห้องทดลองที่สร้างขึ้นด้วยความตั้งใจหลายปีมานี้ของเขา เขาก็คงจะทำใจได้ยาก

เรื่องนี้หากเป็นใครก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากจะยอมได้

แต่สุดท้าย เซวซู่ก็ยังรับปากเพื่อเธอ

ดังนั้น นี่คือสิ่งที่เขาเลือกที่จะให้ตนเองต้องเป็นฝ่ายเสียสละเพื่อส่วนรวมเพื่อจะเติมเต็มสิ่งที่เธอต้องการ

หากจะบอกว่าโม่ไฉ่เวยไม่รู้สึกอะไรเลยก็เป็นเรื่องโกหก

แต่ต่อหน้าเด็ก ๆ อย่างจิ่งหนิงและลู่จิ่งเซิน เธอจึงไม่อาจจะแสดงออกมาได้

ได้แต่เช็ดหางตาและฝืนยิ้ม: “แม่รู้ งั้นก็ได้ เราไม่ต้องรอเขาแล้ว พวกเรากินข้าวเถอะ กินเสร็จยังต้องไปซื้อของอีกไม่ใช่เหรอ? อีกเดี๋ยวแม่จะไปเป็นเพื่อน”

จิ่งหนิงพยักหน้า

ทุกคนจึงเดินไปที่ห้องอาหารเพื่อกินข้าว

เพราะเป็นเที่ยวบินตอนบ่าย ช่วงเช้าจึงยังพอมีเวลาออกไปทำธุระ หลังกินข้าวเสร็จ จิ่งหนิงจึงให้ลู่จิ่งเซินอยู่ดูแลลูก ๆ สองคนอยู่ที่บ้าน ตนเองกับโม่ไฉ่เวยออกไปซื้อของจำเป็น

ลู่จิ่งเซินที่ไม่วางใจจะให้พวกเธอออกไปกันสองคน

แต่เพราะจิ่งหนิงอยากจะซื้อของไปฝากพนักงานในออฟฟิศ การที่เธอเดินทางครั้งนี้ ทุกอย่างในบริษัทต้องมอบหมายให้เสี่ยวเหอและพวกเธอจัดการ

ดังนั้นเธอจึงคิดว่า เมื่อจะกลับไปไม่เพียงแต่คุณอาและท่านปู่ ท่านย่า ก็ควรจะมีของฝากติดมือไปฝากพนักงานบ้างก็เป็นเรื่องดี

ของฝากเหล่านี้เมื่อซื้อเสร็จก็ให้คนส่งกลับไป พวกเขาไม่ต้องแบกกลับไปเอง ดังนั้นจึงไม่ได้ยากอะไร

แต่การเลือกของฝากกลับไป คงจะต้องให้จิ่งหนิงไปเลือกด้วยตัวเอง

แม้ลู่จิ่งเซินจะมีความคิดละเอียดอ่อนแค่ไหน สุดท้ายเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง

บริษัทซิงฮุยของเธอ พนักงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เธอกลัวว่าลู่จิ่งเซินจะเข้าไม่ถึงความชอบของพวกเธอ

ดังนั้นเรื่องนี้เธอจึงต้องลงมือเอง

และถ้าเด็ก ๆ สองคนตามพวกเธอออกไปด้วย ก็จะดูเอิกเกริก เป็นที่โดดเด่นและยุ่งยากเกินไป

ดังนั้นจิ่งหนิงจึงคิดว่า อย่างไรเสียมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เธอไปกับโม่ไฉ่เวยก็พอแล้ว

และให้ลู่จิ่งเซินอยู่ดูแลลูก ๆ สองคนที่บ้าน

การเลือกของขวัญ ใช้เวลาอย่างมากก็ชั่วโมงเดียวเท่านั้น ให้คนขับรถพาไปคงไม่มีเกิดเรื่องอะไร

บวกกับ ถึงแม้ว่าปกติแล้วโม่ไฉ่เวยจะไม่ออกไปไหน แต่อย่างไรเสียก็อยู่ที่นี่กว่าสิบปี คนพื้นที่จำนวนไม่น้อยรู้จักเธอ รู้ว่าเธอคือภรรยาของเซวซู่

และจากอิทธิพลของเซวซู่ที่มีผลต่อที่นี่ก็ยากที่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ลู่จิ่งเซินเห็นดังนั้นก็ได้แต่ปล่อยตามใจพวกเธอ ให้พวกเธอออกไปกันเอง

จิ่งหนิงกับโม่ไฉ่เวยจึงนั่งรถออกไปและมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่

ห้างฯ มีของขายมากมายซึ่งมีเอกลักษณ์และรูปแบบท้องถิ่น

จิ่งหนิงพบร้านบูติกร้านหนึ่งและเลือกของทุกอย่างในนั้นอย่างละสองสามชิ้นและให้คนแพ็คของและให้ที่อยู่ทางไปรษณีย์ก่อนออกจากร้าน

จนออกมาจากห้างฯ จู่ ๆ โม่ไฉ่เวยก็พูดขึ้น: “เอ้ แม่จำได้ว่าอยู่อีกฝั่งของถนนมีร้านอาหารอร่อยและรสชาติดีมาก ยังไงก็จะไปแล้ว สู้ไปซื้อกินสักหน่อยให้ทุกคนได้ชิมเป็นอาหารเที่ยง”

จิ่งหนิงเองก็เข้าใจดีว่าเธออยู่ที่นี่มาสิบปี ถึงจะบอกว่าไม่คุ้นชินแต่อย่างน้อยก็มีความรู้สึกอยู่ไม่มากก็น้อย

ตอนนี้เมื่อเห็นว่าจะจากไป ดังนั้นจึงอยากจะซื้ออาหารท้องถิ่นรสชาติดีและได้กินเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นการบอกลา

จิ่งหนิงจึงพยักหน้า

เพราะในขณะที่กำลังเดินซื้อของตอนนี้ วันนี้หิมะไม่ตก อากาศแจ่มใสและมีแดด บวกกับอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นและไม่ร้อนเหมือนก่อนหน้านี้

มีรู้สึกเหมือนดวงอาทิตย์ในฤดูหนาวที่อบอุ่น จึงมีถนนคนเดินเที่ยวมากมาย

ท้ายที่สุดมันก็แค่ไปที่ถนนฝั่งตรงข้าม จิ่งหนิงพบว่าการขับรถลำบากจึงขอให้คนขับจอดรถที่นี่และรอพวกเขา

หลังจากพวกเธอเข้าไปสั่งอาหารแล้วก็เดินออกมาก็ได้แล้ว

เมื่อคนขับรถเห็นอย่างนั้นจึงไม่ห้ามและรออยู่ในรถด้วยดี

โม่ไฉ่เวยจูงมือของเธอและยิ้มพร้อมกับเดินไปด้วย: “พูดไปลูกคงจะไม่เชื่อ แม่อยู่ที่นี่มาสิบปี ออกมากินข้าวนอกบ้านนับครั้งได้ ร้านอาหารท้องถิ่นร้านนี้ แม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน แต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาสมากินเลย ได้แต่คิดว่าครั้งหน้าค่อยมา ๆ แต่ตอนนี้มาคิด ๆ ดูแล้ว ยังจะมีครั้งหน้าไหมนะ?”

จิ่งหนิงยิ้มและพูด: “ก็ไม่แน่นะคะ ต่อไปหากแม่คิดถึงที่นี่ พวกเราก็กลับมาเที่ยวที่นี่เป็นเพื่อนแม่”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท