เป็นเวลาดึกมากแล้วตอนที่โม่เทียนเกอเดินออกมาจากร้านของเทียนเฉี่ยว ร้านอื่นๆ ที่ตลาดนัดปิดร้านกันไปนานแล้ว มีเพียงแสงไฟกะพริบริบหรี่อยู่บนท้องถนนเท่านั้น
โม่เทียนเกอเดินไปทางแสงไฟสลัวๆ เหล่านั้น และเดินทางกลับโรงเตี๊ยมของนางอย่างช้าๆ
ค่ำคืนนั้น นางกับเทียนเฉี่ยวพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาแยกจากกัน ทั้งสองคนไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยๆ ในช่วงปีที่ผ่านมาอีกแล้ว ทั้งคู่ในตอนนี้แตกต่างจากภาพในความทรงจำมาก หลายๆ ประสบการณ์ถูกทบทวนช้าๆ อย่างละเอียด
เฉกเช่นที่นางไม่ได้คุ้นเคยกับท่าทางของเทียนเฉี่ยวที่ดูอบอุ่นและเหมือนกับสุภาพสตรี เทียนเฉี่ยวเองก็ไม่คาดคิดว่าโม่เทียนเกอจะใช้ชีวิตเช่นผู้ชาย เมื่อระลึกถึงความกระตือรือร้นและบุคลิกที่ร่าเริงของเทียนเฉี่ยว เช่นเดียวกับการเป็นคนพูดน้อยและลักษณะที่สงบเยือกเย็นของนางเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง สิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ ความไม่แน่นอนของโลกใบนี้ทำให้โม่เทียนเกอต้องถึงกับถอนใจ
เพิ่มเติมจากสิ่งนี้ โม่เทียนเกอได้สังเกตไปถึงสามีของเทียนเฉี่ยว กับโม่เทียนเกอ เมิ่งซือกุยนั้นสุภาพมากและไม่พยายามทำตัวสนิทสนมกับนางเกินไป กับเทียนเฉี่ยว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเห็นอกเห็นใจนางมากนักแต่ก็ไม่ได้แย่เกินไปเช่นกัน
โม่เทียนเกอแอบถามเทียนเฉี่ยวอย่างลับๆ ว่าเมิ่งซือกุยปฏิบัติกับนางดีหรือไม่ เทียนเฉี่ยวเพียงแค่ถอนหายใจและบอกว่านี่เป็นสิ่งที่สามีภรรยาปฏิบัติต่อกัน ในตอนแรกความรู้สึกของทั้งสองคนนั้นแข็งแกร่งมากแต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆ หดหายไปจากการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เมิ่งซือกุยไม่ได้ทำแย่กับนาง แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็เป็นผู้ฝึกตนในขณะที่นางเป็นเพียงมนุษย์ผู้หญิงธรรมดา สำหรับเขาแล้วการมีความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามนางจึงเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้
ครั้นได้ยินคำตอบของเทียนเฉี่ยว โม่เทียนเกอก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่ควรเข้าไปยุ่งในความสัมพันธ์ของพวกเขาและไม่ได้พูดอะไรต่อ
พูดตามความจริง นางค่อนข้างเข้าใจความคิดของเมิ่งซือกุย เขามาที่คุนอู๋ ละทิ้งความรุ่งโรจน์ในโลกมนุษย์เพราะเขาต้องการที่จะเดินในเส้นทางของผู้ฝึกตน อย่างไรก็ตาม เพราะความสามารถของเขาไม่ค่อยดีและต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตแต่ละวัน มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้สึกเศร้าและกลายเป็นคนที่ไม่เห็นอกเห็นใจต่อผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเขา
แต่โม่เทียนเกอก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้นอกจากรู้สึกหดหู่ใจเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสี่ซ้าห้าปีที่เทียนเฉี่ยวแต่งงานกับเขา ทว่าความรู้สึกระหว่างพวกเขานั้นหมดไปเสียแล้ว ถ้าทั้งคู่เป็นผู้ฝึกตนที่ใช้เวลาส่วนมากไปกับการฝึกตน หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี ความรู้สึกแรกเริ่มของพวกเขาจะยังคงเหลืออยู่เท่าไรกัน เมื่อนางครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยิ้มอย่างนึกขัน
แน่นอนอยู่แล้ว คงจะดีกว่าหากนางไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกรักใคร่ นางเลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียวตลอดชีวิตดีกว่าที่จะต้องกลายเป็นแบบเทียนเฉี่ยว ที่ยกทั้งหัวใจของนางให้กับใครบางคนแต่ไม่ได้รับสิ่งเดียวกันกลับคืน
เมื่อนางกำลังจะกลับเข้าถึงโรงเตี๊ยม นางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความบังเอิญและก็ต้องประหลาดใจ
เงาของชายสองคนออกมาจากโรงเตี๊ยมและย่องเข้าไปในความมืด
ถ้าเป็นคนอื่นโม่เทียนเกอคงไม่สนใจ แต่พวกเขาคือเจียงเฉิงเสียนและวัยรุ่นตัวเล็กผู้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนรับใช้ของเขา! โม่เทียนเกอยืนนิ่งในขณะครุ่นคิด หลังจากที่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว นางรีบพรางตัวและตามชายทั้งสองคนไป
จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอนว่าทำไมเจียงเฉิงเสียนถึงมาอยู่ที่นี่แทนที่จะอยู่ในเขาอวิ๋นอู้หลังจากที่เขาพร้อมสำหรับการสร้างฐานแห่งพลังได้ทันที อีกอย่างนางได้ยินว่าเขาไว้ใจในผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเขา เขามีทั้งระดับการฝึกตนและของมีค่า แต่ไม่ใช่พลังศักดิ์สิทธิ์และความตั้งใจ ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าจะไม่ถูกพบตัวแน่นอน
ทั้งสองคนก็พรางตัวในขณะที่รีบเดินไปตามถนนอย่างบ้าคลั่ง โม่เทียนเกอต้องใช้ความคิดพอสมควรก่อนที่จะพบหนทางในการตามอยู่ด้านหลังพวกเขาด้วยระยะห่างที่เหมาะสม นางไม่รู้ว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน แต่พวกเขาวิ่งติดต่อกันเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้วและนางก็เกือบหลงจากพวกเขาอยู่หลายครั้ง
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงและพวกเขาก็เข้าไปยังหมู่บ้านหนึ่ง ทั้งสองคนจึงเริ่มชะลอฝีเท้าลง เมื่อรู้ว่าทั้งสองคนยังสัมผัสไม่ได้ถึงตัวตนของนาง โม่เทียนเกอจึงขยับเข้าไปให้ใกล้อีกเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง
พวกเขาดูเหมือนกำลังมองหาบางอย่าง หลังจากเดินหาอยู่รอบๆ บริเวณ เจียงเฉิงเสียนเริ่มหมดความอดทนและถาม “เจ้าแน่ใจว่าใช่ที่นี่หรือ”
ชายตัวเล็กขมวดคิ้วตอบ “ศิษย์พี่เจียง ข้าเห็นชายผู้นั้นวิ่งมาที่นี่ ถ้ำเซียนของเขาจะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ นี้แน่”
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จงรีบไปหามา!”
“อา ข้า…” น้ำเสียงของชายตัวเล็กดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าเจียงเฉิงเสียนจะมอบหมายงานที่ยากลำบากให้กับเขาง่ายเช่นนี้
“อะไร”
“ไม่มี… ไม่มีอะไร ศิษย์พี่เจียงรอข้าตรงนี้สักครู่ก่อน ข้าจะไปดูรอบๆ”
“เออ ไปเร็วๆ!”
หลังจากนั้น ชายตัวเล็กก็เดินจากไปด้วยความไม่เต็มใจเล็กน้อย ทิ้งให้เจียงเฉิงเสียนรออยู่ ณ จุดเดิม
โม่เทียนเกอครุ่นคิดและตัดสินใจที่จะอยู่กับที่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชายผู้นั้นจะต้องกลับมาหาเจียงเฉิงเสียนเป็นแน่ ดังนั้นคงจะดีกว่าหากนางจะรออยู่ที่นี่
จากบทสนทนาสั้นๆ ของพวกเขา นางเดาว่าพวกเขาคงมาเพื่อก่อปัญหาให้กับใครบางคน อย่างไรก็ตาม นี่คงไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาในการมาที่นี่จากเขาอวิ๋นอู้ พลังวิญญาณของหุบเขานี้เบาบางมาก ดังนั้นคนที่สร้างถ้ำเซียนที่นี่ต้องเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวแน่นอน นางไม่คิดว่าพวกเขาจะมาสถานที่ไกลจากเขาอวิ๋นอู้ขนาดนี้เพื่อมารบกวนผู้ฝึกตนเดี่ยว มันจะต้องมีเหตุผลอื่นอยู่แน่นอน
ปริศนานี้ไม่ยากในการที่จะมองออก พวกเขาต้องผ่านตลาดนัด มีปัญหากับใครบางคนที่นั่น และรีบวางแผนที่จะมอบบทเรียนให้กับคนนั้น
เวลาผ่านไปนานพอสมควรแต่ชายตัวเล็กที่เจียงเฉิงเสียนสั่งให้ไปหาถ้ำยังไม่กลับมา เจียงเฉิงเสียนผู้ซึ่งดูเหมือนจะรอไม่ไหวอีกต่อไป ยืนขึ้นมองไปโดยรอบพร้อมกับบ่นพึมพำ “ทำไมถึงช้านักนะ”
ในตอนนี้ที่เจียงเฉิงเสียนนั้นไร้ซึ่งการป้องกันตัว หากโม่เทียนเกอจะฆ่าเขา นี่ย่อมเป็นโอกาสแห่งสวรรค์ลิขิต อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ใช่สวีจิ้งจือ นางไม่ได้ทุกข์ทรมานใดๆ จากการสูญเสียในช่วงแห่งความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพราะสำนักอวิ๋นอู้ถูกทำลายล้าง ดังนั้นนางจึงไม่มีความแค้นเคืองใดต่อเจียงเฉิงเสียน อีกอย่าง ถึงแม้ว่าที่นี่ไม่ใช่เขาอวิ๋นอู้ มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงว่าเจียงเฉินเซียงมีผู้ฝึกตนอาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอยู่สองคน ถ้าพวกเขาสืบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น สิ่งต่างๆ ก็จะแย่สำหรับนาง ดังนั้น นางจะไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นเด็ดขาด
เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง พอดีกับที่เจียงเฉิงเสียนไม่สามารถทนรออีกต่อไปได้แล้ว ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
“ศิษย์พี่เจียง! ข้าพบแล้ว!” ชายตัวเล็กวิ่งเข้ามาหาเจียงเฉิงเสียนด้วยความร้อนรนขณะชี้ไปในทิศทางหนึ่ง “มันอยู่ตรงนั้น แต่ม่านพลังบนนั้นยากที่จะทำลายได้”
“ฮึ่ม!” เจียงเฉิงเสียนพูดด้วยความยโสโอหัง “ข้ามีกระจกทลายสวรรค์อยู่ในมือ จะมีม่านพลังแบบไหนกันที่ข้าทำลายไม่ได้!”
ชายตัวเล็กพยักหน้าเมื่อเขาพูด “ใช่! ศิษย์พี่เจียง ไปกันเถอะ!”
“อือ นำทางไป!”
กระจกทลายสวรรค์? โม่เทียนเกอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ท่านอารองเคยบอกนางว่าอาวุธเวทมนตร์และเครื่องมือวิญญาณลวงนั้นเกิดขึ้นมาเพื่อทำลายม่านพลัง หรือว่ากระจกทลายสวรรค์จะเป็นหนึ่งในนั้น
นางตามทั้งสองคนอยู่ทางด้านหลัง ไม่นานนางก็พบร่องรอยของม่านพลังตรงช่องว่างระหว่างภูเขาหิน
ม่านพลังนี้เรียกว่าม่านพลังแสงอาทิตย์ มันหาได้ยาก เป็นม่านพลังหยางระดับสูงสุดและไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป มันมีพลังที่มากกว่าม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุของนางเสียอีก อย่างไรก็ตาม คนที่วางไว้นั้นกลบเกลื่อนร่องรอยได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นความคิดเห็นของนาง สำหรับคนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับม่านพลัง การที่จะตามหามันต้องใช้ความพยายามพอสมควร
เหมือนกับว่าคนที่วางม่านพลังนี้ไว้เป็นคนที่มีความสามารถทีเดียว ด้วยตัวของม่านพลังเองนับว่ายอดเยี่ยมอยู่แล้ว และจุดที่วางม่านพลังเอาไว้นั้นก็เลือกได้ดีทีเดียว
ทั้งสองคนยืนนิ่งอยู่ทางด้านนอกของม่านพลัง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพรางตัวอีกต่อไป ด้วยการส่งสัญญาณจากเจียงเฉิงเสียน ชายตัวเล็กตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ไอ้หนุ่ม! อากงของเจ้ามาถึงแล้ว! เร็ว ออกมารับชะตากรรมความตายซะโดยดี!”
พวกเขารอครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบรับกลับมา
ชายตัวเล็กจึงตะโกนต่อ “เจ้าคนแซ่เว่ย! คิดว่าพวกข้าจะทำอะไรไม่ได้เพราะเจ้าไม่ออกมาจากที่ซ่อนตัวหรือ ศิษย์พี่ข้ามีเครื่องมือวิญญาณที่จะทำลายม่านพลังของเจ้าอยู่ในมือ ถ้าเจ้ายังไม่อยากตาย ก็จงเชื่อฟังออกมาและมอบยาเพิ่มพลังการก่อเกิดมาให้พวกข้าเสีย! แล้วพวกข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
โม่เทียนเกอตะลึงงัน ยาเพิ่มพลังการก่อเกิด? พวกเขามาที่นี่เพราะพวกเขาจินตนาการถึงยาบางอย่างและต้องการมันงั้นหรือ
ถึงแม้ว่านางจะไม่สามารถปรุงยาได้ นางก็มีความรู้พอสมควรเกี่ยวกับยา ถึงอย่างไรก็ตาม นางไม่เคยได้ยินชื่อยาเพิ่มพลังการก่อเกิดมาก่อน จากลักษณะท่าทางของเจียงเฉิงเสียนและชายตัวเล็กแล้ว อย่างไรก็ตาม มันต้องไม่ใช่ยาวิเศษธรรมดาแน่
ครั้งนี้ เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นดังมาจากด้านในของม่านพลัง “อ๋อ พวกเจ้าเองสินะ!”
ชายตัวเล็กหัวเราะพร้อมพูดว่า “พวกเราไม่ใช่อากงเจ้าหรอกหรือ แล้ว…? เอายาวิเศษมาแล้วพวกข้าจะไว้ชีวิต!”
“ฝันไปเถอะ!” เสียงนั้นฟังดูโกรธเคืองมากขึ้นกว่าเดิม “พวกเจ้าพยายามที่จะปล้นยาวิเศษไปจากข้างั้นหรือ ฝันไปเถอะ! ถ้าเจ้ามีความสามารถพอ ก็มาเอาไปด้วยตัวเอง!”
“ฮึ่ม! เจ้าคงจะเป็นคนที่ไม่ยอมทำอะไรหากไม่ถูกบังคับสินะ! อย่าได้ลำพองตัวเกินไปนัก!”
เมื่อได้ยินคำขู่เช่นนี้ ชายที่อยู่ด้านในเพียงแค่พ่นลมหายใจอย่างรุนแรงและเยือกเย็นโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
ชายตัวเล็กหันหน้ากลับมามองเจียงเฉิงเสียนและถามเกี่ยวกับแผนการของเขา “ศิษย์พี่เจียง?”
ภายหลังจากลังเลอยู่เสี้ยววินาที สีหน้าที่แน่วแน่ก็ปรากฏออกมาบนหน้าเจียงเฉิงเสียน เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฆ่า! เขาเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยว พวกเราจะต้องเอายาเพิ่มพลังการก่อเกิดที่อยู่กับมันมาให้ได้! ถึงแม้ว่าพวกเราจะต้องฆ่ามันก็ตาม”
โม่เทียนเกอค่อนข้างอยู่ห่างจากพวกเขา ดังนั้นนางจึงได้ยินไม่ชัดเจนนัก แต่นางก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินคำว่า “ฆ่า” ผู้ฝึกตนมักจะชื่นชมการมีชีวิต และน้อยคนนักที่จะต่อสู้เพื่อฆ่า นอกเสียจากพวกเขามีความแค้นในอดีตหรือบางทีพวกเขาอาจจะได้ผลประโยชน์จากการทำสิ่งนั้น พวกเขาจะไม่ฆ่าคนอย่างไม่ยั้งคิด
ผู้ฝึกตนด้านในบอกว่าพวกเขามาเพราะต้องการยาเพิ่มพลังการก่อเกิดที่เขามี สุดท้ายแล้ว ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนี่คืออะไร
ถ้าผู้ฝึกตนคนนั้นเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวจริง นี่จะต้องเป็นเรื่องที่อันตรายกับเขาแน่นอน เจียงเฉิงเสียนนั้นอยู่ในระดับสิบของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณและคนรับใช้ของเขา ชายตัวเล็กคนนั้นก็อยู่ในระดับแปดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณ ยังไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเจียงเฉิงเสียนนั้นยังมีสมบัติอย่างอื่นอีก ถ้าผู้ฝึกตนเดี่ยวต้องต่อสู้กับพวกเขา มันคงจบด้วยหายนะ
ในขณะนี้ เจียงเฉิงเสียนได้หยิบเครื่องมือวิญญาณออกมา มันคือกระจกจริงๆ น่าจะเป็นไปได้ว่ามันคือกระจกทลายสวรรค์ที่พวกเขาพูดถึง เขาสะท้อนแสงของกระจกเข้าไปที่ม่านพลัง ภายใต้ภาวะที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์ กระจกสะท้อนเป็นลำแสงสีเขียวออกมาซึ่งตกกระทบระหว่างหินภูเขา ทันใดนั้นเสียงแตกหักดังขึ้นไปรอบบริเวณและแผ่นม่านพลังก็ลอยออกมาในทันที
โม่เทียนเกอถึงกับผงะ นางไม่คาดคิดว่าเครื่องมือวิญญาณชิ้นนี้จะทรงพลังขนาดนี้ นางครุ่นคิดถึงพลังนี้ครู่หนึ่ง ถ้าเป็นม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุของนาง มันก็คงจะไม่สามารถต้านทานกระจกนี้ได้นานนัก
หลังจากที่ม่านพลังถูกทำลาย ถ้ำแห่งผู้อมตะก็เปิดเผยออกมาในทันทีตรงช่องว่างระหว่างภูเขาหิน เจียงเฉิงเสียนและชายตัวเล็กมองหน้ากันก่อนที่จะเคลื่อนที่เข้าไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง
โม่เทียนเกอยังคงไม่เคลื่อนไหวจากที่ซ่อนของนาง นางรู้สึกสับสนเล็กน้อยแต่สุดท้ายแล้วนางก็ตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปก้าวก่าย เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องที่นางจะสามารถจัดการได้ และเจียงเฉิงเสียนก็ไม่ใช่คนที่นางต้องการจะยั่วยุให้โกรธ
เสียงการต่อสู้ดังขึ้นจากภายในถ้ำ หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านในถ้ำซึ่งทำให้นางสงสัยว่าผู้ฝึกตนเดี่ยวถูกฆ่าไปแล้วหรือยัง
อย่างไรก็ตาม เสียงการต่อสู้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาระยะหนึ่งทีเดียวก่อนที่เสียงการต่อสู้จะหยุดลง และมีคนที่ชุ่มไปด้วยคราบเลือดโซเซออกมาจากถ้ำ โม่เทียนเกอเพ่งมอง นั่นคือเจียงเฉิงเสียน!
หลังจากที่เขาออกมาจากถ้ำเซียน เจียงเฉิงเสียนก็ใช้วิชาตัวเบาเหาะหนีไป ท่าทางของเขาทำให้นางสับสนและนางคาดว่าเขาคงบาดเจ็บสาหัสอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ถึงแม้ว่านางจะรออย่างอดทนอีกครู่หนึ่ง ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากในถ้ำ หลังจากที่ไตร่ตรองเล็กน้อย นางก็แอบปลดปล่อยจิตสัมผัส แต่หลังจากนั้นนางก็ต้องแปลกใจ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในถ้ำเซียนเลย
หลังจากที่นางมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ นางจึงออกมาจากที่ซ่อนตัว หยิบกระบี่ป่าขจีออกมาพร้อมกับเดินเข้าไปในถ้ำ
ภายในถ้ำนั้นเละเทะไปทั่ว การต่อสู้ของพวกเขาช่างดุดัน นางไม่อาจเห็นพื้นผิวดั้งเดิมของถ้ำนี้ได้เลย เพราะมีหินภูเขาที่แตกหักกระจัดกระจายไปทั่ว มีสองศพอยู่บนพื้น ศพแรกเป็นชายตัวเล็กที่เป็นคนติดตามของเจียงเฉิงเสียนในขณะที่อีกศพหนึ่งเป็นของผู้ฝึกตนแปลกหน้า แน่นอนว่าเป็นคนที่พวกเขาเรียกว่า “แซ่เว่ย”
โม่เทียนเกอเดินไปด้านหน้าและตรวจสอบพวกเขาอย่างระมัดระวัง ทั้งสองคนไม่มีกระเป๋าเอกภพอยู่กับร่าง ดังนั้นเจียงเฉิงเสียนคงเป็นคนเอาไปเป็นแน่ นางสงสัยเป็นอย่างมากว่ายาเพิ่มพลังการก่อเกิดนั้นคุ้มค่าในการต่อสู้และต้องสละชีวิตของคนสองคนเชียวหรือ
เมื่อนางพิจารณารอบๆ นางเห็นชั้นหนังสือที่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษหิน จากชั้นหนังสือนั้นนางหยิบหยกบันทึกที่ไม่เสียหายขึ้นมา
เพราะนางกังวลว่าเจียงเฉิงเสียนอาจกลับมา นางจึงไม่กล้าที่จะจัดการกับศพ เมื่อนางออกมาจากถ้ำ นางเดินทางอ้อมออกจากหุบเขาและสุ่มเลือกสถานที่สำหรับซ่อนตัว