บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 14

ตอนที่ 14

รถม้าแล่นผ่านเข้าประตูวังไปภายใต้การนำขบวนของหยู่เหวินเห้า ตอนนี้หยวนชิงหลิงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นสงสัยอะไรเกี่ยวกับพระราชวังแม้แต่น้อย นางเห็นแค่ถนนในวังที่ทอดยาวลึกเข้าไป กับกำแพงวังที่เป็นอิฐสีแดง ซึ่งมีรอยกระดำกระด่าง ผ่านทางช่องผ้าม่านที่สะบัดไปมาก็เท่านั้น

ตลอดทางที่สัญจร ไม่สามารถมองไปในระยะไกลๆได้ มีหอคอยสูงตระหง่านผ่านเข้ามาให้เห็นในลานสายตาบ้างเป็นบางครั้ง เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ทำจากทองคำเปล่งประกายเจิดจรัส หลังคาปูด้วยกระเบื้องเคลือบ แลดูงดงามจับตายามเมื่อสัมผัสกับแสงแดด

รถม้าหยุดลง หยวนชิงหลิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆเฮือกหนึ่ง ได้ลู่หยาช่วยพยุงให้ลงจากรถม้าไป

แสงแดดส่องกระทบกำแพงวังสีแดงสด กระเบื้องเคลือบสีทองสะท้อนแสงเจิดจ้าในระยะไกลจนดวงตานางพร่ามัวแทบบอด นางทำเหมือนตัวเองเป็นผีที่ไม่อาจเห็นแสงสว่างได้ก็ไม่ปาน รีบยกมือขึ้นมาบังแสงอาทิตย์ที่ส่องหน้านางโดยไม่รู้ตัว

หยู่เหวินเห้าก็ลงจากหลังม้าแล้วเช่นกัน ทั้งรถม้าและม้าที่ขี่มา ล้วนถูกนำไปผูกไว้ยังที่ที่ได้จัดเตรียมไว้ด้วยกัน จากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าต่อ

เมื่อมาถึงด้านนอกพระตำหนักหยุนเซียว ลู่หยาก็กระซิบเบา ๆว่า “พระชายา ข้าน้อยไม่อาจเข้าไปข้างในได้ จากนี้ท่านโปรดเดินระวังให้มากนะเพคะ”

หยวนชิงหลิงรู้ว่าพระตำหนักเซียวหยุน เป็นพระตำหนักที่ประทับของไท่ซั่งหวง อีกทั้งด้านนอก ก็มีบรรดาบ่าวไพร่คนรับใช้จากจวนต่างๆอยู่กันจนเต็มพื้นที่ นางหายใจเข้าลึก ๆอีกเฮือก แล้วเดินตามหยู่เหวินเห้าไป

เมื่อเดินผ่านสนามหญ้าอันเขียวชอุ่ม เข้าไปในตำหนักหลัก ภายในตำหนักหลักมีผู้คนมากมายยืนออกันอยู่จนแน่นขนัด หยวนชิงหลิงมองดูแวบหนึ่ง เห็นเพียงพวกคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา กับใบหน้าที่แสดงถึงความเศร้าหมองโศกสลด

คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่นางพอจะจำได้ เป็นเพราะมันอยู่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนั่นเอง

ผู้ที่สวมชุดผ้าไหมสีฟ้า ทำสีหน้าเคร่งเครียดนั่นก็คือ จี้อ๋อง หยู่เหวินจวิน โอรสพระองค์โตของฮ่องเต้หยวนหมิง ปีนี้ครบสามสิบชันษา เกิดจากพระสนมชั้นฉินเฟย เขาแต่งบุตรสาวที่เกิดจากเมียหลวงของเจ้าพระยาหม่า มาเป็นภรรยา ในตอนนี้ ทั้งหม่าซื่อและฉินเฟยต่างก็ยืนอยู่ข้างกายเขาหมดแล้ว ทั้งยังมีเด็กคู่หนึ่งอยู่ข้างๆอีกด้วย

อ๋องเว่ย หยู่เหวินเว่ย อ๋องซุน หยู่เหวินตู้ อ๋องโจว หยู่เหวินอัน ต่างก็มาอยู่พร้อมหน้ากันที่นั่นทั้งหมดแล้ว ทุกคนต่างพาบรรดาพระชายา โอรสธิดาเข้าวังมาด้วยกันทั้งสิ้น

บรรดาท่านอ๋องทั้งหลายพยักหน้าให้กันแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีการพูดคุยใดๆ บรรยากาศเงียบงันเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด

ทันใดนั้นหยวนชิงหลิงก็รู้สึกว่า หยู่เหวินเห้าที่ยืนอยู่ข้างๆนาง พลันเกิดอาการตัวเกร็งผิดปกติ อีกทั้งแววตาก็เปลี่ยนไป คล้ายว่าทั้งตัวเขาแข็งทื่ออย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง

หยวนชิงหลิงมองไปที่ประตู เห็นเพียงสามีภรรยาคู่หนึ่งพากันเดินเข้ามา

ผู้ชายอายุราวๆสิบแปด สิบเก้า คิ้วพาดเฉียงเหมือนดาบ ดวงตาเป็นประกายเหมือนมีดวงดาวส่องแสงสกาวอยู่ในนั้น บุคลิกดูสง่างามผ่าเผย รูปร่างสูงโปร่ง ดูโดดเด่นไม่ธรรมดาในชุดผ้าไหมสีขาวพิสุทธิ์

มือเขากุมมือของหญิงสาวที่อยู่ข้างๆเขาเอาไว้แน่น นางเกล้าผมเป็นมวยยกสูง ปักปิ่นลายผีเสื้อมรกตตัวเล็กๆไว้บนนั้น สวมชุดกระโปรงสีฟ้าลายริ้วเมฆที่เหมือนสีของน้ำในทะเลสาบยามจับตัวเป็นน้ำแข็ง มีผ้าคลุมลายดอกทับทิมสวมทับ เข้าคู่กับรองเท้าประดับไข่มุกที่นางสวมอยู่คู่นั้น

ใบหน้าของนางงดงามผุดผาดราวดอกพุดตาน ตุ้มหูปะการังสีแดงที่ประดับอยู่บนติ่งหูของนางแกว่งไกวไปมาทุกครั้งตามจังหวะที่นางก้าวเดิน คิ้วตาพริ้มเพราทรงเสน่ห์ แต่ก็ไม่สูญเสียความสง่างามสูงศักดิ์

ทันทีที่นางเดินเข้ามา หยวนชิงหลิงพลันรู้สึกว่า บรรดาผู้หญิงที่อยู่ในโถงแห่งนี้ ล้วนกลายเป็นผู้หญิงบ้าน ๆ ที่หน้าตาพื้น ๆ กันไปโดยปริยาย

ในความทรงจำที่เหลืออยู่ของเจ้าของร่างเดิมบอกนางว่า สองคนนี้ก็คืออ๋องฉี หยู่เหวินชิง กับพระชายาฉี ฉู่หมิงชุ่ยนั่นเอง

ฉู่หมิงชุ่ยก็คือคนที่อ๋องฉู่ หยู่เหวินเห้ามีใจให้ เมื่อหนึ่งปีก่อน หลังจากที่หยู่เหวินเห้าแต่งงานกับหยวนชิงหลิง นางก็ได้แต่งไปเป็นพระชายาของอ๋องฉี

หลังจากที่นางเข้าประตูมา ดวงตาก็เกิดประสานเข้ากับหยู่เหวินเห้า สามส่วนคือความบริสุทธิ์ใสกระจ่าง สามส่วนคือความสงบนิ่ง สามส่วนคือเสน่ห์ แต่อีกหนึ่งส่วนที่เหลือกลับเก็บซ่อนความโศกเศร้าเสียใจเอาไว้ลึกๆ

ร่างกายของหยู่เหวินเห้าเกร็งเครียดเขม็ง ลมหายใจกระชั้นถี่ เลื่อนสายตาออกไปอย่างยากลำบาก จากนั้นจึงเลื่อนสายตามากวาดมองจนทั่วใบหน้าหยวนชิงหลิง สีหน้าฉายชัดถึงความโหดร้ายและเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด

หยวนชิงหลิงค่อยๆหลุบสายตาลงอย่างช้าๆ

ไม่มีใครสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะนั้น แม้กระทั่งอ๋องฉีเองก็ยังไม่ทันสังเกตเห็น หลังจากที่เขาพยักหน้าทักทายบรรดาท่านอ๋อง และเหล่าพระชายาเสร็จ เขาก็ยืนนิ่งอยู่อีกด้าน มองผ่านม่านในห้องโถงพระตำหนักเข้าไปข้างใน

หยวนชิงหลิงเริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาแล้ว นางพยายามทำจิตใจให้นิ่ง แต่อาการวิงเวียนระลอกหนึ่งก็เข้าโจมตีสมองของนาง นางเอื้อมมือออกไปจับมือของหยู่เหวินเห้าโดยไม่รู้ตัว หยู่เหวินเห้าไม่คิดเสแสร้งว่าห่วงใยสักนิด รีบสะบัดนางออกไปโดยไม่หยุดคิด นางโซซัดโซเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พยายามจะทรงตัวให้อยู่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ นางรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก

สายตาของผู้คนมากมายกวาดมองทั่วใบหน้านางทันที สายตาแบบนั้น มันคือสายตาที่แสดงออกถึงการดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ต้องมีคำอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้น

มีมืออันอบอุ่นข้างหนึ่งเข้ามาช่วยประคองนางเบา ๆ ได้กลิ่นหอมสดชื่นของไม้กฤษณาโชยพัดมา เสียงที่ฟังดูนุ่มนวลจนชวนให้มึนเมาดังขึ้น “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? ไม่สบายอย่างนั้นหรือ?”

บัลลังก์หมอยาเซียน

บัลลังก์หมอยาเซียน

Status: Ongoing

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง”หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: “ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น”อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: “เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่” หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: “ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท