หยู่เหวินเห้าเล่าสถานการณ์สำนวนคดีหนึ่งรอบ แต่ปิดบังที่หยวนชิงหลิงเป็นชันสูตรศพ กับมีคนแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของโจวจือ
ไม่ใช่เป็นการต้องการแย่งความดีความชอบของหยวนชิงหลิง แต่เพราะมีอ๋องจี้อยู่ด้วย เขาไม่อยากให้อ๋องจี้รู้ว่าหยวนชิงหลิง เคยมีส่วนร่วมกับคดีนี้
ส่วนเรื่องที่มีคนแอบบอกความเคลื่อนไหว เขายังต้องสืบหา ตอนนี้จึงยังทูลฮ่องเต้ไม่ได้
อ๋องจี้ได้ยินว่าคนรายชื่อโจวจือ สีหน้าท่าทีก็หมองลงทันที
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดชื่นชมหยู่เหวินเห้าอย่างมาก ในใจของเขาโกรธเกลียดเป็นอย่างยิ่ง แต่ต่อหน้ากลับยังคงพูดชื่นชม
ก็ไม่มีกะจิตกะใจฝึกเขียนอักษรพู่กันจีนเป็นเพื่อนฮ่องเต้หมิงหยวน เขาออกจากวังมาอย่างโกรธเคือง ตรงไปยังห้องพระชายาจี้
พระชายาจี้เพิ่งทานยาเสร็จ แล้วก็นอนอยู่บนเตียง เห็นเขาเดินเข้ามาอย่างโกรธเคือง จึงถามขึ้นว่า “ท่านอ๋องเป็นอะไรหรือ?”
อ๋องจี้จ้องมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้ไหมว่า หยู่เหวินเห้าคลี่คลายคดีได้แล้ว โจวจือถูกจับตัวแล้ว”
พระชายาจี้ตกใจอย่างมาก รีบลุกขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้”
“เดิมข้าก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้” อ๋องจี้ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ พร้อมพูดขึ้นด้วยดวงตาเย็นชาว่า “แต่ ข้าได้ยินเขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับคดี เขาจับตัวโจวจือได้ที่วัดร้างนอกชานเมือง โจวจือก็ยอมรับสารภาพผิดเกี่ยวกับเรื่องที่ฆ่าคน”
พระชายาจี้มองดูใบหน้าท่าทีที่สยองของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมท่านอ๋องจะต้องมองหม่อมฉันเช่นนี้?”
อ๋องจี้พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “พระชายา ทำไมโจวจือจะต้องไปที่วัดร้างนอกชานเมือง”
พระชายาจี้อึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันก็ไม่รู้ หม่อมฉันป่วยอยู่หลายวัน ไม่ได้เรียกให้เขามาเลย”
สีหน้าของนาง ก็ค่อยๆเยือกเย็นขึ้นมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแทบไม่อยากเชื่อว่า “หม่อมฉันเข้าใจแล้ว ท่านอ๋องกำลังสงสัยหม่อมฉัน หม่อมฉันวางแผนเรื่องนี้ให้กับท่านอ๋อง สุดท้ายหม่อมฉันก็ยก ความดีความชอบทั้งหมดให้กับหยู่เหวินเห้า ใช่ไหม?”
อ๋องจี้มองดูนางอยู่เนิ่นนาน แล้วค่อยๆเผยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พระชายาไม่ทำเช่นนี้อยู่แล้ว”
พระชายาจี้พูดขึ้นด้วยแววตาอ้างว้างว่า “สามีภรรยา หนึ่งโรจน์อีกคนรุ่ง หนึ่งร่วงอีกคนล่ม หวังว่าท่านอ๋องจะเข้าใจหลักความจริงนี้ ที่หม่อมฉันทำไปทั้งหมด ล้วนทำเพื่อท่านอ๋อง หากท่านอ๋องสงสัยอะไรในตัวหม่อมฉัน ก็หย่าร้างกับหม่อมฉันได้เลย หม่อมฉันจะไม่โต้เถียงใดๆ”
อ๋องจี้นั่งลงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เป็นเมื่อกี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย จับมือที่เย็นเฉียบของนางไว้พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าพูดจาผิดไป พระชายาอย่าถือโกรธ เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้าจึงเข้าใจผิด”
พระชายาจี้มองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องจะเข้าใจใครผิดก็ได้ แต่ไม่ควรที่จะเข้าใจหม่อมฉันผิด หม่อมฉันอภิเษกกับท่านอ๋องมาสิบเอ็ดปี ทุ่มเทจิตใจทั้งหมดที่มี เพื่อให้ท่านอ๋องได้ครองตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท หากวันใดที่ท่านอ๋องยังเป็นได้แค่ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่พอใจ”
อ๋องจี้พูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ข้ารู้ความตั้งใจของเจ้าดี ข้าผิดไปแล้ว อย่าโกรธข้าเลย”
พระชายาจี้เอนหัววางบนไหล่อ๋องจี้ พร้อมพูดขึ้นอย่างอ่อนหวานว่า “หม่อมฉันจะโกรธท่านอ๋องได้อย่างไร? ขอเพียงท่านอ๋องเข้าใจหม่อมฉันก็พอแล้ว”
อ๋องจี้ครุ่นคิด แล้วพูดขึ้นว่า “เข็มอาบพิษแทงเข้าสู่หัวใจ ตามหลักแล้วไม่น่าสามารถตรวจรู้ได้ กรมการพระนครมีคนที่มีความสามารถถึงขั้นนี้เลยหรือ?”
พระชายาจี้พูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ท่านอ๋องต้องสืบให้ละเอียด”
อ๋องจี้ปล่อยนางพร้อมลุกขึ้นพูดขึ้นว่า “พระชายาพูดมีเหตุผล ข้าจะรีบสั่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้”
อ๋องจี้หันหน้าเดินออกไปแล้ว ท่าทีเด็ดเดี่ยวมาก
พระชายาจี้มองดูเงาแผ่นหลังของเขา ด้วยแววตาซึมเศร้า
หงซิ่วหญิงคนใช้เดินมา คิ้วขมวดพร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “พระชายา ท่านอ๋องสงสัยแล้ว”
พระชายาจี้พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “ในเมื่อข้ายอมให้โจวจือถูกจับ ก็ไม่กลัวเขาสงสัย”
“ท่านอ๋องจะสืบรู้ความจริงไหม?”
พระชายาจี้พูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยว่า “เขาสืบหาความจริงไม่ได้หรอก ทำได้เพียงแค่สงสัย”
ภายในใจของนางเยือกเย็น
ที่พูดออกมาทั้งหมดเมื่อกี้ ล้วนเป็นคำพูดที่พูดออกมาจากใจจริง
เป็นสามีภรรยากันมาสิบเอ็ดปี วางแผนเพื่อให้เขาได้ครองตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท แต่ตอนนี้เขาคิดว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือแล้ว คิดที่จะลงมือฆ่าข้า
หลังจากที่ป่วย นางคิดถึงการกระทำทุกอย่างภายในจวนอ๋องหวย ถึงแม้จะเคยเข้าไปภายในห้องจวนอ๋องหวย แต่นางก็รู้จักรักษาระยะห่าง และก็ไม่เคยอยู่นาน ไม่ติดเชื้อได้ง่ายๆแน่
มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือหลายวันที่อยู่ที่จวนอ๋องหวย เขาได้สั่งคนต้มน้ำยาให้กับนาง
ใช้เวลาสืบอย่างยากเย็น ถึงได้รู้จากข้ารับใช้ข้างกายของเขา ว่าน้ำยาพวกนั้นที่ให้นางดื่ม ล้วนเป็นน้ำยาที่อ๋องหวยดื่มเหลือ เตรียมที่จะเอาไปทิ้งผสมอยู่ด้วย
รู้มาตลอดว่าเขาโหดเหี้ยม กลับไม่รู้ว่าเขาจะลงมือกับนางได้ลงคอ
นางตายด้วยโรควัณโรค ไม่มีใครสงสัยสาเหตุการตายของนาง พ่อกับพี่ชายก็จะให้การสนับสนุนเขาต่อ หากเขายังต้องเสียใจอีก ฮ่องเต้ก็จะสงสารและก็เอ็นดูเขา เพราะยังไงนางก็ป่วยจนตายเพราะดูแลอ๋องหวย
การเอาความดีความชอบนี้ยกให้กับหยู่เหวินเห้า นางทำไปเพราะไม่มีทางเลือก
หากไม่กดดันเขา นางก็จะสูญเสียความสำคัญไปอย่างที่สุด
จะควบคุมเขา ก็จะต้องให้เขารู้อยู่ตลอดว่า เมื่อไม่มีนาง เขาจะต้องยากลำบากเป็นร้อยเท่า
คืนนี้กรมการพระนครเฉลิมฉลองกัน
หยู่เหวินเห้าดื่มเหล้าเยอะมาก เพราะคืนนี้เขาไม่ได้ถือตัว ถูกขุนนางกรมการพระนครชนแก้วอยู่ตลอด เผลอแป๊บเดียว ก็ดื่มไปเยอะแล้ว เยอะอย่างไม่ธรรมดา
สวีอีส่งเขามาถึงหน้าประตูจวน เขาเพิ่งลงจากรถม้าก็กอดต้นหวายหน้าประตูไว้แล้วก็อ้วก เหมือนน้ำพุ สวีอีมองดูอย่างอกสั่นขวัญแขวน มีคนตายเพราะอ้วกไหม?
หยู่เหวินเห้าอ้วกเสร็จ แล้วค่อยมีสติขึ้นมาหน่อย ชี้ไปที่สวีอีแล้วก็ก่นด่าว่า “เจ้า….ขับรถสั่นคลอนเกินไป”
สวีอียื่นมือพยุงเขาไว้ พร้อมพูดว่า “ขอรับ ขอรับ กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว เรากลับตำหนักเซี่ยวเยว่กันเถอะ”
หยู่เหวินเห้าสะบัดมือของเขาทิ้ง พร้อมพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “เจ้าไม่ต้องพยุงข้า ข้าจะไปหอเฟิ่งหยี”
“ขอรับ ขอรับ ไปหาพระชายา”สวีอีวิ่งตามมา เห็นเขาเดินเซไปมา ก็เป็นห่วงว่าเขาจะหกล้ม
“ข้าจะไปเพื่อถามความผิด” หยู่เหวินเห้าตะโกนพูดขึ้นว่า “นางถือว่านางเป็นใคร? ชักสีหน้าอะไรใส่ข้า?”
“ท่านอ๋องท่านพูดเสียงเบาหน่อย”สวีอีแทบอยากที่จะปิดปากกว้างของเขาไว้
นี่ถ้าพระชายาได้ยิน ก็จะต้องโกรธอีกแน่
หยู่เหวินเห้าเดินโซซัดโซเซก่นด่ามาตลอดทาง มาถึงหน้าประตูหอเฟิ่งหยี
ประคองต้นไม้หน้าประตูไว้ แล้วก็อ้วกออกมาอีกรอบ อ้วกจนแม้แต่ตอเป่ายังรังเกียจ หลบไปอีกทาง
หยู่เหวินเห้าอ้วกเสร็จ แล้วก็ตะโกนพูดขึ้นต่ออีกว่า “นางมีสิทธิ์โกรธอะไร? ข้าไม่ควรที่จะตามใจนาง ตามใจจนไม่รู้จักฟ้าดินแล้ว ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้านาย อยู่ในจวนนี้ ข้าต่างหากที่เป็นเจ้านาย? นางถือว่านางเป็นใคร?”
หยวนชิงหลิงออกมาตั้งแต่ตอนที่เขาอ้วกแล้ว ยืนอยู่ตรงหน้าระเบียง เห็นเขาอ้วกจนน้ำดีแทบไหลออกมาด้วยแล้วก็รู้สึกเป็นห่วง
กำลังคิดที่จะเข้าไปประคองเขา ก็ได้ยินเขากำลังก่นด่า
นางยกมือกอดอก มองดูเขาอยู่อย่างเยือกเย็น
สิ่งของด้านหน้าหยู่เหวินเห้าสั่นไหวอย่างมาก แต่เขาก็ยังมองเห็นหยวนชิงหลิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าระเบียงอย่างชัดเจน เขาเดินเข้ามาอย่างโซซัดโซเซ เดินไปพร้อมกับชี้ไปที่หยวนชิงหลิงและพูดว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “พูดมาเถอะ เจ้าตามใจใครจนไม่รู้จักฟ้าดิน? ใครไม่เห็นเจ้าเป็นเจ้านาย?”
หยู่เหวินเห้าพ่นลมหายใจ ยื่นมือจับหน้าผาก หันไปชี้ตอเป่าความปรารถนาที่จะเอาชีวิตรอดอย่างดื้อรั้น พร้อมพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “เจ้าหมาตัวนี้แหละ ข้าไม่ควรที่จะตามใจมัน กล้ามากัดข้า ไม่รู้จักฟ้าดินไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไหม?”
สวีอีอึ้ง ท่านอ๋องมีทักษะในการพูดที่ดีมาก เมาจนขนาดนี้แล้ว ยังรู้จักเอาตัวรอดได้ขนาดนี้
ตอเป่าไม่พอใจอย่างมาก ร้องขึ้นสองที แล้วก็ไม่อยากที่จะสนใจถือสาคนขี้เมา
หยู่เหวินเห้าใส่ร้ายตอเป่าเสร็จ ศักดิ์ศรีของตนเองที่เหลือทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก รู้สึกเสียหน้า พยายามยืนให้มั่น และพูดว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
หยวนชิงหลิงเห็นเขายืนอย่างไม่มั่นคง เท้าเอนเอียง ร่างกายอ่อนปวกเปียก
“ได้ เขามาพูดสิ”นางเรียกสวีอีมาพยุงเขาเข้าไป พร้อมกับกระซิบสั่งลู่หยาไปต้มน้ำยาแก้อาการเมาค้างมาให้เขา
สวีอีประคองหยู่เหวินเห้าแล้วก็รีบเข้าไป พร้อมพูดอธิบายกับหยวนชิงหลิงด้วยเสียงเบาว่า “พระชายาอย่าได้ใส่ใจ ท่านอ๋องดื่มหนักไปแล้ว อย่าเห็นว่าตอนนี้เขาดุ ที่จริงก็เป็นแค่เสือที่ไม่มีฟัน”
“สวีอีเจ้าไสหัวไป”หยู่เหวินเห้าถีบก้นสวีอีหนึ่งที โกรธอย่างมาก เจ้าคนนี้ เกลือเป็นหนอน
สวีอีเอามือกุมก้นไว้แล้วก็วิ่งออกไป
เขาประคองโต๊ะไว้ ค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ เหมือนนั่งลงแล้วก็ง่วงนอน เวียนหัว ง่วงอย่างมาก
ไม่ นอนไม่ได้ ยังไงก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง
เขาพยายามลืมตาขึ้น จ้องเพ่งมองหยวนชิงหลิง เขานึกว่าตนเองเบิกตาโตเหมือนดั่งโคมไฟ แต่หยวนชิงหลิงกลับเห็นเพียงดวงตาที่หรี่จนจะหลับ
เขาตบลงบนโต๊ะอย่างแรงพร้อมพูดขึ้นว่า “นักโทษ”
ฉี่หลอหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว ท่านอ๋องกำลังไต่สวนคดีหรือ