น้องสี่แห่งตระกูลหยวนที่ยิงธนูเมื่อครู่คุกเข่าลงข้างเดียว “ขอพระชายารับข้าไว้รับใช้ข้างกายด้วย อะซี่จะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระชายา ยังจะปกป้องพระชายาด้วย”
หยวนชิงหลิงหวั่นไหว
แม้ว่าตอนนี้หยู่เหวินเห้าจะให้สวีอีมาคอยติดตามนาง แต่ที่สุดสวีอีก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง สถานที่บางแห่งนางไปได้ เขาไปไม่ได้ เช่น งานรวมตัวของเหล่าสมาชิกหญิงในครอบครัว เขาก็ได้แต่รออยู่ข้างนอก
แต่อะซี่ไม่เหมือนกัน อะซี่สามารถพาเข้าออกได้
แต่ว่า อะซี่เป็นคนของตระกูลหยวน จะใช้เรื่องอะไรทำให้นางอยู่ในจวนได้ คนข้างนอกจะไม่เอาไปวิจารณ์ให้เสียหายหรือ
แม่นมสี่เอ่ยยิ้มๆว่า “พระชายา ท่านตั้งครรภ์แล้วชอบคิดมาก ต้องการหญิงสาวที่ร่าเริงคอยอยู่ข้างๆเป็นเพื่อน หากท่านชื่นชอบอะซี่จริงๆ ก็ให้นางอยู่เป็นเพื่อนที่จวนสักระยะเป็นอย่างไร ”
ได้ยินที่แม่นมพูด หยวนชิงหลิงก็รู้ว่าแม่นมเองก็ชอบใจเรื่องนี้เช่นกัน จึงได้พูดกับอะซี่ด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อยู่กับข้าที่นี่ พูดคุยเป็นเพื่อนข้าบ้าง คลายเครียด ”
อะซี่เอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “เพคะ ขอบคุณพระชายา ”
อะซี่ได้รับสายตาอิจฉาจากเหล่าพี่น้อง นางถอยออกไปอีกฝั่งอย่างรู้สึกภาคภูมิใจ
หยวนหย่งอี้อารมณ์เสียมาก ถ้ารู้แต่แรกนางคงยังไม่แต่งงาน
ทุกคนนั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ เพราะต่างก็พูดกันคนละคำสองคำ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว
เดิมทีหยวนชิงหลิงคิดว่าการมาเยี่ยมนางครั้งนี้จะทำให้ผ่านไปอย่ายากลำบาก แต่ว่า ได้ยินเรื่องเล่าที่น่าสนุกในยุคสมัยนี้ ก็รู้สึกมีชีวิตชีวา และมีอารมณ์ขันมาก
สุดท้ายก็พูดจนนางรู้สึกอิจฉาพวกนาง คนกลุ่มนี้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องเด็กผู้ใหญ่หรือแบ่งแยกความสำคัญของชายหญิง เบิกบานใจได้อย่างอิสระเต็มที่ พวกนางทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า ราวกับกลับไปยังบ้านที่อยู่ในยุคปัจจุบัน ช่วงเทศกาลปีใหม่ในยุคปัจจุบัน ทุกคนในบ้านกลับมารวมตัวกัน บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก
กินข้าวเสร็จแล้ว ตอนที่ฮูหยินเฒ่าพาคนในครอบครัวทั้งหมดมากล่าวลา หยวนชิงหลิงกลับรู้สึกเสียดาย ส่งทุกคนไปยังประตูด้วยตนเอง ดึงมือของฮูหยินเฒ่าเอาไว้ ดวงตามีน้ำตารื้น “ท่านต้องมาบ่อยๆนะ”
ฮูหยินเฒ่าซาบซึ้งใจมาก ไม่คิดว่าพระชายาจะใจดีเช่นนี้ ตอบกลับด้วยสายตาตื้นตัน “ได้ ได้ อีกวันสองวันถ้ามีเวลาว่างข้าจะมา พระชายารักษาตัวด้วย”
รถม้าของหยู่เหวินเห้ากลับมาถึงพอดี ใช้สายตาส่งกลุ่มคนพวกนี้ออกไป เขาก็อึ้งไปเหมือนกัน
หยวนชิงหลิงเห็นหยวนหย่งอี้รีบมุดเข้าไปหลบในรถม้า นางอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ที่แท้นางก็หลังหยู่เหวินเห้าจริงๆด้วย
หยู่เหวินเห้าเดินเข้ามาทักทายฮูหยินเฒ่า แน่นอนว่าก็แค่ถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป
อะซี่ตามออกไปเอาสัมภาระของตัวเองออกมาจากรถม้า หยวนชิงหลิงเห็นนางถึงกับเตรียมเสื้อผ้าของใช้มาพร้อม ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “นี่ข้าหลงกลแล้วหรือ”
อะซี่พูดอย่างร่าเริงว่า “พระชายา หากท่านไม่รับข้าเอาไว้ ข้าก็จะขอร้องท่านอยู่ข้างนอกจนกว่าท่านจะยอมรับข้า”
หยวนชิงหลิงยิ้ม ใช้สายตาส่งรถม้าออกไป เพิ่งจะเห็นหยู่เหวินเห้าพูดว่า “วันนี้ทำไมกลับมาเร็วนัก”
หยู่เหวินเห้าประคองมือของนางเดินเข้าไป กระซิบที่ข้างหูนางบอกว่า ”คิดถึงเจ้า ”
หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เจ้าคนร้ายกาจ ยิ่งนับวันก็ยิ่งกะล่อน
หยู่เหวินเห้าหันไปมองอะซี่แวบหนึ่ง เอ่ยอย่างล้อเล่นว่า “ตระกูลหยวนมาเที่ยวหนึ่ง เจ้าก็รับลูกน้องไว้คนหนึ่ง”
“ฮูหยินเฒ่าบอกว่าให้นางมาอยู่กับข้า แม่นมก็เห็นด้วย”หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “ฮูหยินเฒ่าทุ่มเทใจจริงๆ ”
หยวนชิงหลิงนิ่งอึ้งไป ค่อยๆไตร่ตรองคำพูดของเขา ก็เข้าใจขึ้นมาทันที ฮูหยินเฒ่าไม่ได้จะส่งอะซี่มาอยู่ด้วยเพื่อเรียนหนังสือ แต่ต้องการให้นางมาปกป้องตน
ทั้งสองเข้าไปในห้อง เรียกลู่หยาให้พาอะซี่ไปที่พักก่อน
หยวนชิงหลิงรินน้ำให้กับหยู่เหวินเห้าแก้วหนึ่ง จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ที่จริงข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก ข้ากับฮูหยินหยวนก็มีวาสนาเจอกันแค่ครั้งเดียว ไยตระกูลของพวกนางจึงได้มีใจกระตือรือร้นกับข้ามากเช่นนี้”
หยู่เหวินเห้าพูดอธิบาย “ฮูหยินเฒ่ามาจากบู๊ลิ้ม สะใภ้ของนางส่วนมากก็เป็นคนบู๊ลิ้ม เป็นหญิงผดุงคุณธรรมในยุทธภพ ถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง เรื่องที่เจ้าช่วยเหลือเอาไว้ที่นอกเมือง ไม่ห่วงฐานันดร ไม่สนใจความวุ่นวายสกปรก ไม่ห่วงอันตราย ช่วยเหลือคนไว้มากมาย พวกนางเห็นแล้วก็ย่อมชื่นชม ”
“นี่ควรค่าแก่การชื่นชมด้วยหรือ ”หยวนชิงหลิงประหลาดใจ การชื่นชมเช่นนี้มันง่ายดายไปหรือไม่ คนที่ทำคุณงามความดีใต้หล้านี้ก็มีไม่น้อย
“พวกเขาดูคนเป็น คนคนหนึ่งจะมีใจอันบริสุทธิ์หรือไม่ พวกนางดูออก สิ่งที่เจ้าทำวันนั้น ก็เพื่อช่วยเหลือคน ด้วยใจที่แท้จริง ไม่ได้มีความคาดหวังในคุณความดีเลยสักนิด ย่อมต้องควรค่าแก่การเลื่อมใสอยู่แล้ว”
หยวนชิงหลิงกะพริบตาปริบๆ “คำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านคาดเดาหรือว่าเป็นความคิดแท้จริงในใจของท่านกันแน่ ”
หยู่เหวินเห้ามองนาง ถอนหายใจหนึ่งเสียง ใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำลง “คนอื่นตาบอด ยังเข้าใจเจ้าเลย แต่มีแค่ข้าเท่านั้นที่รู้ ว่าเจ้าเป็นคนใจแคบ ขี้อิจฉา ดุร้าย เป็นหญิงที่มีจุดบกพร่องมากมาย ก็แค่ผู้หญิงเช่นนี้ ข้ายังรักทะนุถนอมดุจของล้ำค่า เจ้าว่า ใช่ชาติก่อนข้าทำกรรมไว้เยอะหรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงค้อนให้เขาและพูดว่า “หากไม่มีคำพูดสองประโยคหลัง วันนี้ข้าต้องเอาเรื่องท่านไม่ปล่อยแน่ ”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ ดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง แล้วพึมพำว่า “ที่จริงเจ้าดีมากจริงๆ ”
หยวนชิงหลิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ถามว่า “ท่านพูดอะไรนะ”
“ข้าบอกว่าวันนี้ที่จวนว่าการอาหารพิเศษมาก”หยู่เหวินเห้าพูดชัดถ้อยชัดคำ
หยวนชิงหลิงทุบเขาไปหนึ่งที พูดยิ้มๆว่า “ท่านจะชมข้าหน่อยก็ไม่ได้หรืออย่างไร ผู้หญิงล้วนชอบฟังคำพูดที่น่าฟัง”
“ตื้นเขินเสียนี่ปะไร ”หยู่เหวินเห้าพูดอย่างกะล่อน
“แต่ข้าชอบฟัง”หยวนชิงหลิงหว่านล้อมเขา
หยู่เหวินเห้ามองนาง รวบรวมอยู่ในใจสักพัก ที่จริงก็คิดไม่ออกว่าจะใช้คำไหนมาเปรียบเปรย ได้แต่พูดอย่างพยายามสุดความสามารถว่า “เจ้าเป็นคนดี หน้าตาก็สวย นิสัยยังดีมากด้วย ตีคนก็ไม่เจ็บ เวลาหึงยังน่ารักเป็นพิเศษ”
หยวนชิงหลิงมองเขาอย่างตายใจ “พอแล้ว ท่านไม่ต้องชมแล้ว ฟังแล้วก็ขนลุกไปหมด ”
“ข้าเป็นพวกชอบแสดงออกทางการกระทำ รักเอ็นดูยังต้องพูดออกมาอีกหรือ”
“ท่านแสดงออกอย่างไร ”หยวนชิงหลิงเหลือบมองเขา
สายตาเขาเต็มไปด้วยความรัก นิ้วมือม้วนผมของนางเล่น มองนางอย่างหลงใหล ริมฝีปากประชิดเข้าไป
“ปัง ”ประตูถูกผลักออก หยู่เหวินเห้าสงสัยว่าจะเป็นการเตะประตูต่างหาก
อะซี่เข้ามาอย่างรีบร้อน เอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “พระชายา ข้าเก็บของเสร็จแล้ว มีอะไรจะให้รับใช้อีกหรือไม่”
หยู่เหวินเห้ามองนางอย่างเคร่งขรึม “สวีอีเป็นพี่ชายเจ้าหรืออย่างไร เจ้าเป็นคนบ้านเดียวกับสวีอีหรือ ”
อะซี่นิ่งอึ้งไป “สวีอีเป็นใคร ไม่ใช่สักหน่อย”
หยู่เหวินเห้าโมโหมาก “ข้ากับพระชายามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน เจ้าเข้ามาทำไม แล้วทำไมไม่เคาะประตูก่อนเข้ามา”
อะซี่ตกใจ “นี่มันกลางวันเสกๆ ยังต้องเคาะประตูหรือ ไม่ถูก กลางวันเสกๆทำไมต้องปิดประตู เปิดประตูไม่ดีหรืออย่างไร สว่างดี”
หยู่เหวินเห้าโมโหจนต้องยกมือขึ้นโบก “ใช่แล้ว เปิดออก เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับพระชายา ”
ง่ายหรือไม่ ง่ายหรือไม่ ฉวยโอกาสตอนพักกินข้าวกลางวัน รีบบึ่งกลับจวนเพื่อจะมาหาความอบอุ่นจากพระชายาของตนสักหน่อยก็ไม่ได้ ง่ายหรือไม่
อะซี่มองหยวนชิงหลิง จากนั้นก็มองไปทางหยู่เหวินเห้าอย่างระแวงแวบหนึ่ง “พระชายา หากมีคนคิดรังแกท่าน ท่านก็เรียกข้านะเพคะ ข้าจะอยู่ข้างนอก ”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ได้ เจ้าไปเถอะ”
คนตระกูลหยวนนั้นดีก็จริง แต่ก็มีข้อบกพร่องตรงที่มองสถานการณ์ไม่ออก เหมือนหมาฮัสกี้หน้าโง่