วันรุ่งขึ้น เมื่อหยู่เหวินเห้าพอจะมีเวลาว่างเล็กน้อย ก็เข้าวังไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวง
แต่การจะไปขอร้องให้ผู้อื่นช่วยจะไปมือเปล่าไม่ได้ ความจริงข้อนี้เขารู้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร
หลังจากเดินวนรอบถนนจนครบหนึ่งรอบ เนื่องจากมีเวลาน้อยมาก จึงตัดสินใจซื้อใบยาสูบชั้นดีสองสามห่อแล้วกระวีกระวาดเข้าวังไปทันที
ไท่ซ่างหวงเหลือบมองที่ใบยาสูบคุณภาพดีเหล่านั้นแวบหนึ่ง แล้วสั่งให้ฉางกงกงไปนำที่เซียวเหยากงหามาให้เขาออกมา เปรียบเทียบทั้งสองชนิดแล้ว ใบยาสูบชั้นหนึ่งของเขาก็มีอันตกชั้น กลายเป็นขยะไปในทันที
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างไร้ยางอายว่า: “ใบยาสูบไม่สามารถดูเพียงแค่สีหรือกลิ่น หรือแค่ดูสถานที่ผลิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“เช่นนั้นแล้ว จะต้องดูอะไรรึ?” ไท่ซ่างหวงตรัสถาม
“ดูความตั้งใจ” หยู่เหวินเห้าคลานเข่าเข้าไปข้างหน้า แล้วค้อมตัวห่อไหล่พูดออกไปว่า “ท่านดูสิ จะดีจะชั่วอย่างไรก็เป็นความตั้งใจของหลานชายคนนี้ของท่าน อย่างน้อยก็ทรงโปรดรับน้ำใจนี้ของข้าไว้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ภรรยาข้าก็พูดอยู่ว่า คนมีอายุสูบใบยามาก ๆ จะไม่ดีต่อร่างกาย หากว่าใบยาสูบนี้คุณภาพไม่ดี ท่านก็สูบให้น้อยลงหน่อย นี่ไม่เท่ากับว่ายิ่งดีต่อร่างกายของท่านหรอกรึ? ”
“ไม่ต้องมาทำดีหวังผลต่อหน้าข้าหน่อยเลย ว่ามาเถอะ มีเรื่องอะไรล่ะ?” ไท่ซ่างหวงแค่นเสียงเย็นชา นับตั้งแต่แต่งงานกับหลานสะใภ้คนนี้ นับวันก็ยิ่งทำตัวกะล่อนไม่สำรวมไปทุกทีๆแล้ว แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อก่อน ตอนอายุยังน้อย ๆ กลับเอาจริงเอาจังอย่างกับพวกตาแก่หัวดื้อ ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง
หยู่เหวินเห้ารีบโน้มตัวไปข้างหน้า ยิ้มแฉ่งจนแก้มแทบปริ “ไม่มีอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ หลานแค่อยากขอยืมคนสักสองคนมาใช้งาน”
“ใคร?”
“หลานอยากขอยืมองครักษ์ลับผีสักสองคน ไปช่วยปกป้องภรรยา ช่วงนี้นางต้องไปที่จวนอ๋องหวยอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หยู่เหวินเห้าตอบ
“ทำไมล่ะ?” ไท่ซ่างหวงตกตะลึง
เป็นธรรมดา ที่หยู่เหวินเห้าจะไม่กล้าบอกเรื่องที่หลู่เฟยขายยา เมื่อชายชราฟังคร่าว ๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าหลู่เฟยต้องทำอะไรบางอย่าง ซึ่งมีส่วนที่ทำให้เจ้าหกต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่
“เห็นบอกว่าเพราะอากาศหนาวแล้ว จึงกลัวว่าอาการของโรคอาจมีการเปลี่ยนแปลง จึงต้องไปอีกสักหลาย ๆ ครั้งหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” หยู่เหวินเห้ากล่าว
ไท่ซ่างหวงยกพระหัตถ์ขึ้น ฉางกงกงรีบไปหยิบไปป์สูบยามาทันที ชายชราวางท่าเกียจคร้านเหมือนพวกอันธพาลขาใหญ่คุมบ่อน พ่นควันยาทั้งหมดที่สูบไปเข้าใส่ใบหน้าของหยู่เหวินเห้าเต็ม ๆ หยู่เหวินเห้าหน้าแดงก่ำ อดสำลักกระอักไอออกมาไม่ได้
ท่ามกลางควันคลุ้งโขมง ชายชราพูดอย่างเฉยเมยว่า: “ไม่ต้องถามยืมหรอก หลังจากที่เกิดเหตุ ครั้งก่อน ข้าก็ได้ส่งองครักษ์ลับผีไปคอยคุ้มครองนางแล้ว”
หยู่เหวินเห้าตกใจมาก “เหตุใดหลานจึงไม่เคยรู้มาก่อน?”
ชายชราพ่นลมหายใจ “ถ้าเจ้ารู้ล่ะก็ ยังจะเรียกว่าเป็นองครักษ์ลับผีได้อยู่รึ?”
หยู่เหวินเห้าแอบเห็นด้วยในใจ: “จริงแท้!”
“ขอบใจ ไสหัวไปได้แล้ว!” ไท่ซ่างหวงโบกพระหัตถ์ไล่ ช่วงนี้นับวันพระองค์ก็ยิ่งคร้านจะพูดคุยอะไรกับใครให้มากมายนัก
หยู่เหวินเห้าโขกหัวทำความเคารพ “หลานขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของเสด็จปู่เหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”
ฉางกงกงส่งเขาออกไป พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋องอย่าได้กังวลไป ไท่ซ่างหวงทรงห่วงใยเด็กในท้องของพระชายาเสียยิ่งกว่าท่านอีก”
หยู่เหวินเห้าแก้ไขคำเสียใหม่ “ยกเว้นเพียงเรื่องของพระชายาเท่านั้น ที่เป็นไปไม่ได้หากจะมีใครที่ห่วงใยนางมากไปกว่าข้า หรือกระทั่งจะให้คนอื่นมาใส่ใจมากกว่า ก็ยิ่งเป็นเรื่องไม่เหมาะสม”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ฉางกงกงยิ้ม “แต่น้ำส้มสายชูนี้ท่านจะกินเข้าไปก็คงไม่เหมาะเช่นกัน” (เป็นสแลงที่มีความหมายว่าหึงหวง)
หยู่เหวินเห้าถามฉางกงกงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ เสด็จปู่ได้ส่งองครักษ์ลับผีไปคุ้มครองพระชายาแล้วจริง ๆ น่ะรึ? ”
“ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉางกงกงตอบ
“จริงรึ?” หยู่เหวินเห้าถามย้ำเพื่อยืนยันอีกครั้ง
ฉางกงกงมองเขา แล้วถอนหายใจเฮือกอย่างรู้สึกจนใจ “ท่านอ๋อง แต่ก่อนนี้ท่านเคยเป็นคนเซ้าซี้ถึงเพียงนี้มาก่อนหรือไม่? เหตุใดข้าน้อยจึงจำได้เพียงว่า ท่านจะพูดหรือทำสิ่งใด ๆ ก็ล้วนรวดเร็วเฉียบขาดยิ่งนัก?”
หยู่เหวินเห้าปรายตามองฉางกงกงแวบหนึ่ง ก็ชักเท้าจากไปทันที
ขณะที่หยวนชิงหลิงกลับมาจากจวนอ๋องหวย นางก็ถูกพระชายาจี้มาขวางที่หน้าประตูใหญ่อีกครั้ง
หยวนชิงหลิงกอดอก มองนางอย่างจนใจ “ พระชายาจี้ ข้าไม่มียาแล้วจริงๆ”
“ข้าอยากคุยเรื่องนี้กับเจ้าหน่อย” พระชายาจี้กระซิบ
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า การที่นางมาตามพัวพันอยู่อย่างนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา จึงพูดว่า “เข้ามาเถอะ มีอะไรก็พูดกันครั้งเดียวให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า”
หลังจากที่นางกลับเข้าห้องพัก ก็กินอาหารเสริมที่มีโฟลิกเข้าไป แล้วใส่หน้ากากให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปพบพระชายาจี้
“สั่งให้คนออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากคุยกับเจ้าตามลำพัง” พระชายาจี้มองอาซี่กับแม่นมสี่ที่อยู่ในห้องแล้วพูดเบา ๆ
“ไม่ พวกเราจะไม่ออกไป” อาซี่พูดโพล่งขึ้นมา
พระชายาจี้มองดูหยวนชิงหลิงแล้วยิ้มจางๆ “จะเป็นไปได้รึ ที่ตอนนี้ข้าจะยังมีแรงไปทำร้ายอะไรเจ้าได้อีก ? กระทั่งแรงจะเดินให้นานขึ้นสักหน่อย ข้าก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ”
“อาซี่ แม่นม พวกเจ้าไปรออยู่ที่หน้าประตูเถอะนะ” หยวนชิงหลิงเอ่ย
“พระชายาเพคะ!” แม่นมรู้สึกว่าจะอย่างไร ก็ควรระวังไว้ให้มากจึงจะดีที่สุด
“ไม่เป็นไรหรอก ไปเถอะ” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเฉยเมย “เรียกตอเป่าเข้ามาก็พอ”
เมื่อได้ยินว่าให้เรียกเจ้าตอเป่าเข้าไปด้วย แม่นมสี่ก็วางใจ
เจ้าตอเป่าหมาแสนรู้ถูกพาเข้ามา มันคลานไปหยุดที่ข้าง ๆ เท้าของหยวนชิงหลิง แล้วนั่งจ้องพระชายาจี้แบบตาไม่กะพริบ
พระชายาจี้ยิ้มพลางพูดว่า “จับตามองเสียเคร่งครัดขนาดนี้ ประเมินข้าสูงเกินไปแล้วล่ะ”
“ควรต้องประเมินให้สูงหน่อยก็ดี วิธีการของพระชายาจี้ ข้าก็ได้เห็นเองกับตาแล้ว วันนี้พวกเราก็อย่ามัวพูดจาไร้สาระกันอยู่เลย มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ ดีกว่า” เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ด้วย หยวนชิงหลิงก็คร้านจะพูดจาสุภาพอ้อมค้อมให้เหนื่อย
พระชายาจี้ยืดตัวขึ้นมองหยวนชิงหลิง “ข้ามาวันนี้ ก็เพื่อเจรจาเงื่อนไขบางอย่างกับเจ้า เจ้าให้ยาข้า แล้วข้าจะช่วยให้หยู่เหวินเห้า ได้ครองตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท”
หยวนชิงหลิงรู้สึกเหนือคาดไปมาก สำหรับพระชายาจี้แล้ว ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท ไม่ใช่สิ่งที่ควรประเคนให้กับอ๋องจี้หรอกรึ?
“เจ้าไม่เชื่อ?” พระชายาจี้ยิ้มจาง ๆ สีหน้าของนางค่อย ๆ เผยแววเศร้าโศกทุกข์ตรม “แค่จะรักษาชีวิตตัวเองข้ายังทำไม่ได้ ยังจะต้องการลาภยศสรรเสริญอะไรอีกล่ะ?”
“เงื่อนไขนี้ ข้าไม่เห็นด้วย” หยวนชิงหลิงตัดบท
พระชายาจี้จ้องมองนาง ด้วยท่าทางคล้ายมีความมั่นใจบางอย่าง “เจ้าจะตกลงแน่ หรือเจ้าไม่อยากเป็นพระชายารัชทายาทหรอกรึ? เมื่อได้ตำแหน่งพระชายารัชทายาท จากนั้นเจ้าก็จะได้เป็นฮองเฮา เป็นผู้หญิงที่สูงส่งที่สุดในแผ่นดินนี้ เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าไม่ต้องการได้จริง ๆ น่ะรึ? ไม่จำเป็นต้องแสร้งหน้าซื่อใจคดหรอก พูดกันตรง ๆ ไปเลยดีกว่า “หากเจ้าช่วยข้า ข้าจะช่วยเจ้า และถ้าข้าช่วยเจ้า เจ้าก็จะได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่า โดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว เรื่องนี้เจ้ายังไม่ต้องรีบให้คำตอบข้าก็ได้ เจ้าจะไปพูดคุยปรึกษากับเจ้าห้าก่อน ขอเพียงข้าช่วยเจ้า พวกเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชาของอ๋องจี้เหล่านั้น ข้ายังสามารถพาออกไปได้มากกว่าครึ่ง หรือจะสั่งให้พวกเขาทำงานรับใช้เจ้าห้าก็ยังได้”
“นี่แปลว่า เจ้าจะทรยศอ๋องจี้แล้ว?” หยวนชิงหลิงถามอย่างกังขา
พระชายาจี้หัวเราะอย่างเย็นชา “ทรยศ? เขาทอดทิ้งข้าไปเสียตั้งนานแล้ว รอให้เขากลับมาจากวัดฮู่กว๋อ เขาก็จะแต่งคุณหนูรองของตระกูลฉู่เป็นพระชายารอง ต่อให้ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงเวลานั้นจริง ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่มีวันเป็นข้าได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมข้าจะต้องเติมเต็มความปรารถนาของตระกูลฉู่? กับผู้ชายที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้หญิงพรรค์นั้นให้เป็นจริงด้วยล่ะ?”
หยวนชิงหลิงมองเห็นความสิ้นหวัง ระคนความโกรธแค้นในดวงตาของนาง แต่ก็ทำได้เพียงพูดออกไปว่า: “ขอโทษด้วย ข้าช่วยไม่ได้จริงๆ”
พระชายาจี้ยันที่เท้าแขนของเก้าอี้เพื่อพยุงตัวยืนขึ้น พูดเป็นนัยๆว่า “ อย่างที่ข้าบอกไปนั่นล่ะ ว่าไม่ต้องรีบให้คำตอบ ไปปรึกษากับเจ้าห้าก่อนเถอะ”
พูดจบ นางก็เดินออกไปช้าๆ
หยวนชิงหลิงตกอยู่ในความเงียบงัน
ไม่ใช่เพื่อเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยนนี้ แต่เพราะการร่วมมือกันระหว่างอ๋องจี้กับฉู่หมิงหยางนั้น เป็นอะไรที่ค่อนข้างรับมือได้ยาก
ไม่รู้ว่าทำไมฉู่หมิงหยางนั่น ถึงได้ชอบจับผิดนาง ทั้งยังจ้องหาโอกาสกัดนางตลอดเวลา จนเหมือนกับหมาบ้าอย่างนั้น
ยิ่งอ๋องจี้ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดเข้าไปใหญ่ เพื่อตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท เขาสามารถกลายเป็นคนบ้าคลั่งชนิดไม่สนอะไรทั้งนั้นได้เลยทีเดียว
ในคืนนั้น เมื่อหยู่เหวินเห้ากลับมา หยวนชิงหลิงก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
“คนอย่างพระชายาจี้ผู้นี้ไว้ใจไม่ได้ หรือต่อให้ไว้ใจได้ พวกเราก็ไม่ควรรักษานาง เจ้าเองก็กำลังตั้งครรภ์ ไม่เหมาะที่จะทำงานหนักเช่นนี้” หยู่เหวินเห้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
หยวนชิงหลิงมองเขาแล้วถามว่า “เจ้าไม่รู้สึกหวั่นไหวสักนิดเลยจริง ๆ น่ะรึ?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ไม่สนใจ”
หยวนชิงหลิงเอามือเท้าคาง แล้วพูดว่า “พระชายาจี้นี่ก็แปลกเสียจริง อยู่ดี ๆ ก็มายื่นเงื่อนไขนี้ให้ข้าง่าย ๆ ไม่รู้จริง ๆ ว่านางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
“อย่าไปสนใจนางเลยน่า” หยู่เหวินเห้า แสนจะเกลียดชังสามีภรรยาคู่นี้ชนิดเข้าไส้เข้าปอด