คลื่นใต้น้ำในจวนอ๋องจี้นั้นไหลลึกมาก พระชายารองสองคนก็ล้วนตายไปแล้วทั้งหมด
คู่อ๋องจี้สามีภรรยาต่างก็ใช้ชีวิตแบบทั้งรักทั้งชัง ทั้งเกื้อกูลทั้งเข่นฆ่ากันเองเรื่อยมา พวกเขาเปรียบเสมือนเชือกเส้นหนึ่งที่ถูกบิดเป็นเกลียว แต่เป็นการบิดไปในทิศทางตรงกันข้าม พวกเขาต่างคนต่างก็มุ่งทำไปตามความคิดของตัวเอง
เมื่อหยู่เหวินเห้ากลับมาในตอนค่ำ หยวนชิงหลิงก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เขาฟัง
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเฉยเมยว่า: “ไม่น่าแปลกใจหรอก ถ้าพระชายาจี้ล้มป่วยจนตายจากไปจริงๆ ทางตระกูลถงก็คงจะไม่สงสัยในเรื่องนี้ ทั้งยังจะสนับสนุนเขาต่อไปอย่างแน่นอน”
“อ๋องจี้นี่ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ” หยวนชิงหลิงพูด
“ทั้งสองคนก็ไม่ต่างกันหรอก ทั้งสามีทั้งภรรยา ล้วนมีความทะเยอทะยานกันทั้งคู่” หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่า พวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งกว่าอะไร ทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งโหดเหี้ยมพอ ๆ กัน “จริงสิ ท่าทีของนางเป็นเช่นไรบ้าง?”
หยวนชิงหลิงตอบไปว่า “แม้ว่าคำพูดของข้า จะไม่ถึงขั้นทำให้นางอับอายขายหน้าอะไร แต่คำที่อาซี่ไปพูดกับนาง เป็นอะไรที่เกินการคาดหมายอย่างยิ่ง แต่นางก็อดทนกับมันได้ทั้งหมด ท่าทีของนางเรียกได้ว่า ถ่อมตนจนแทบจะลงไปติดอยู่กับดินเลยเชียวล่ะ”
“นางรู้สถานการณ์ตอนนี้ดี” หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ไว้พรุ่งนี้ตอนที่นางมาถึง บอกนางเรื่องคดีที่เกี่ยวกับเมืองถิงเจียงนั่นด้วย ข้าจะยอมเหลือทางถอยไว้ให้นางสักทาง ให้รีบตัดขาดกับโม่เหวินเสียก่อน ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ที่โม่เหวิน ไปมาหาสู่กับทางเมืองหลวงนั้น ข้าจะปล่อยว่างไว้ก่อน”
“แต่เจ้าจะอธิบายกับเสด็จพ่ออย่างไรล่ะ?” หยวนชิงหลิงถาม
หยู่เหวินเห้าหันไปมองหยวนชิงหลิง ตอบกลับด้วยท่าทีจนใจว่า: “เสด็จพ่อเองก็ไม่เต็มใจที่จะดึงเอาพี่ใหญ่เข้าไปรับผิดชอบด้วยเช่นกัน”
หยวนชิงหลิงตกตะลึงไปแล้ว “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
“เน่ย์เก๋อ ได้ออกหนังสืออย่างเป็นทางการ สั่งให้จัดการกับคดีนี้โดยทันที และให้ทำสำนวนไต่สวนตรวจสอบ และฟ้องร้องทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีของเมืองถิงเจียง
“เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าฝ่าบาทหมายถึงอะไร?” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าหนังสือคำสั่งจากทางการนั้น ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แค่เป็นคำสั่งให้จัดการคดีก็เท่านั้น
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ความหมายของเน่ย์เก๋อ คือ ก่อนอื่นให้พ้นจากตำแหน่ง แล้วทำการสอบสวนอย่างละเอียดก่อน จากนั้นจึงโอนไปยังกรมอาญา หรือกรมข้าราชการพลเรือนเพื่อจัดการต่อ ซึ่งอันนี้ข้าเองก็ไม่รู้แล้ว สรุปง่าย ๆ คือมันไม่มีส่วนให้กรมพระนครของข้าเข้าไปเกี่ยวข้องได้ ในหนังสือราชการที่เน่ย์เก๋อ ออก ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการใช้อำนาจระหว่างขุนนางในเมืองถิงเจียงกับทางเมืองหลวงไว้เลย ”
“ดังนั้น เจ้าจึงรู้สึกว่า เสด็จพ่อยังคิดจะปกป้องให้ท้ายอ๋องจี้อยู่สินะ?” หยวนชิงหลิงคิดตามอย่างลึกซึ้ง
“ไม่ใช่ข้ารู้สึกว่า วันนี้มู่หรูกงกง มายังกรมการพระนครด้วยตัวเอง ประกาศพระราชดำรัสของเสด็จพ่อแก่ข้าด้วยวาจา โดยตรัสชมมาว่า ข้าจัดการคดีได้รวดเร็วฉับไวดีมาก จนสามารถปิดคดีได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ แต่อันที่จริง ข้ายังไม่ได้ปิดคดีนี้เลย”
หยวนชิงหลิงพูดอย่างห่อเหี่ยวใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับว่าเสด็จพ่อมีใจที่จะปกป้องให้ท้ายเขาจริง ๆ แล้วล่ะ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้ามีหลักฐานในมือ ไม่สำคัญว่าเสด็จพ่อต้องการอะไร เราไม่ต้องไปสนใจ ตราบใดที่เรารู้ว่าเราถืออะไรอยู่ในมือ เราก็สามารถควบคุมพระชายาจี้ได้ ให้นางไม่กล้าประพฤติอะไรที่มันชั่วช้าอีก”
หยู่เหวินเห้าหลับตาลง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “หากข้าสืบลงลึกต่อไป ข้าจะทำลายเกียรติยศของราชวงศ์อย่างใหญ่หลวงแน่นอน ที่เสด็จพ่อไม่ตรวจสอบ ข้าก็พอจะเข้าใจได้ แต่หากเสด็จพ่อไม่ลอบจัดการอะไรกับพี่ใหญ่เสียบ้าง นั่นคงทำให้ข้าผิดหวังเกินไปแล้วจริง ๆ นั่นล่ะ ”
หยวนชิงหลิงกอดเขาแน่น “ ทำไปตามหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอแล้วล่ะ”
หยู่เหวินเห้าวางคางแนบลงบนหน้าผากของนาง ” ข้าไม่เป็นไร ข้าชินแล้วล่ะ”
ยิ่งฟัง นางก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจไปกับเขามากขึ้นทุกที
นางรู้สึกจากใจจริงเลยว่า ฮ่องเต้ช่างลำเอียงสิ้นดี
เพราะเรื่องที่เกิดในจวนเจ้าหญิงเป็นเหตุ จึงทำให้เจ้าห้า ถูกทอดทิ้งไม่ไยดีเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ
เรื่องนี้แท้ที่จริงไม่ได้ทำร้ายต่อราชสำนัก หรือทำร้ายอะไรต่อประชาชนเลย พูดตรง ๆ ก็คือ มันแค่ทำให้ชื่อเสียงหน้าตาของราชวงศ์เสียหาย
แต่เขากลับถูกแช่แข็งเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ
ส่วนอ๋องจี้ล่ะ? เขาทั้งทำร้ายพี่น้องร่วมสายเลือด ทำลายรากฐานงานราชสำนักพังพินาศ จัดตั้งระดมทุนรับส่วยเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัว สุดท้ายแค่ถูกสั่งกักบริเวณในวัดฮู่กว๋อหนึ่งเดือน
อีกทั้งในหนึ่งเดือนนี้ เขาก็ยังไม่รู้จักเก็บเนื้อเก็บตัว ยังมีการเรียกขุนนางมาหารือ วางแผนการสมรู้ร่วมคิดกันอย่างออกนอกหน้า
วัดฮู่กว๋อเป็นวัดของราชวงศ์ นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่าฮ่องเต้จะไม่ทรงทราบเรื่องนี้
ทั้งเรื่องการรักษาอาการป่วยให้พระชายาจี้ ก็ไม่มีทางที่จะปิดซ่อนไว้ได้เช่นกัน
เมื่อมาถึงจวนอ๋องหวยในวันนี้ หลู่เฟยตรงเข้ามาขวางหยวนชิงหลิงไว้ทันที “เจ้ากำลังรักษาอาการป่วยให้พระชายาจี้รึ?”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าเบา ๆ “ใช่เพคะ”
หลู่เฟยโกรธมาก “ทำไม นางเคยทำร้ายเจ้านะ?”
หยวนชิงหลิงก็จนใจ ไม่สามารถอธิบายให้นางเข้าใจได้
หลู่เฟยพูดอย่างโกรธเคือง: “ข้ายังคิดว่าอย่างน้อย เจ้าก็รู้ความ มีเหตุมีผลแท้ ๆ เจ้าช่วยนางวันนี้ วันหลังเจ้าก็รอถูกนางกัดแล้วเคี้ยวกลืนลงท้องไปเสียเถอะ”
พูดจบ ก็หันหลังแล้วเดินจากไปอย่างเย็นชา
เมื่อหยวนชิงหลิงกลับถึงจวน พระชายาซุนก็มาด้วยแล้ว
พระชายาซุนไม่ได้พูดตรงๆ แค่พูดอย่างเรียบเฉยเย็นชาว่า: “คนอย่างพระชายาจี้คนนี้ เจ้าต้องระวังไว้ให้มากล่ะ”
หยวนชิงหลิงรู้ว่า นางเองก็เกลียดพระชายาจี้เช่นกัน แต่การเตือนอย่างขุ่นเคืองนี้มาจากความหวังดีจากใจจริง จึงค่อย ๆ อธิบายว่า: ” กับท่านแม่หลู่ ข้ามีคำพูดที่ไม่อาจพูดออกไปได้ แต่สำหรับพี่สะใภ้รอง ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบัง การที่ข้ารักษานาง ข้าคิดพิจารณาดีแล้ว หากนางตาย มันจะเป็นการช่วยลูกสาวตระกูลฉู่ทั้งสองคนในระยะยาว แม้ว่าข้าจะเกลียดพระชายาจี้ก็จริง แต่ข้ากลับยิ่งเกลียดลูกสาวของตระกูลฉู่มากกว่า”
พระชายาซุนพยักหน้า “เจ้าไม่บอก ข้าก็พอจะเดาได้ สิ่งที่ผู้หญิงเราเกลียดที่สุด ก็คือผู้หญิงที่คิดถึงสามีของตัวเราเองนี่ล่ะ ไหนจะฉู่หมิงชุ่ยนั่นแล้วหนึ่ง แล้วก็มีฉู่หมิงหยางคนนี้อีกคน”
“ฉู่หมิงหยาง…” หยวนชิงหลิงตกใจจนตาค้าง
พระชายาซุนมองนาง แล้วพูดด้วยท่าทีรังเกียจรังงอนว่า: “ใช่สิ ที่จริงฉู่หมิงหยางก็รักเจ้าห้าของเจ้า เหมือน ๆ กันกับฉู่หมิงชุ่ยนั่นล่ะ”
หยวนชิงหลิงถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งตัว “ฉู่หมิงหยางก็รักเจ้าห้าด้วย?”
พระชายาซุนตกตะลึง “เจ้าไม่รู้หรอกรึ?”
“ไม่ใช่ฉู่หมิงชุ่ยรึ?” หยวนชิงหลิงตกตะลึงอึ้งค้าง สับสนไปหมดแล้ว
พระชายาซุนมองนางด้วยอาการ หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “ทำไมเจ้าจึงเลอะเลือนเช่นนี้นะ? ฉู่หมิงชุ่ยเป็นเพื่อนที่รักใคร่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กกับสามีเจ้าไม่ผิด แต่ฉู่หมิงหยางก็ชอบเขาด้วยเช่นกัน”
“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” หยวนชิงหลิงจำได้ว่า ฉู่หมิงหยางเกลียดนางโดยไร้เหตุผล ทั้งยังก่อปัญหาให้นางอยู่หลายครั้ง ที่แท้เป็นเพราะนางเองก็ชอบเจ้าห้าน่ะรึ?
พระชายาซุนหัวเราะ “ทุกครั้งที่เจ้าห้าไปที่จวนตระกูลฉู่ ฉู่หมิงหยางจะซ่อนตัวแล้วเฝ้าแอบดูเขาอย่างลับ ๆ ในจวนมีคนตั้งมากมายเพียงนั้น มันต้องมีคนปากเปราะไปเล่าลือบ้างเป็นแน่ เพราะเรื่องนี้ก็มีการเล่าลือแพร่กระจายออกไปเช่นกัน ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ แต่แค่ไม่พูดออกมาเฉยๆ เพราะถึงอย่างไร สุดท้ายนางก็เป็นแค่เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่ง หากพูดไปก็มีแต่จะทำลายชื่อเสียงสถานะของนางเปล่าๆ”
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้วมุ่น “ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ข้าก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมนางถึงได้จ้องจะเล่นงานข้านัก ตอนแรกข้ายังคิดไปว่า นางออกตัวเดือดร้อนแทนฉู่หมิงชุ่ยเสียอีก”
พระชายาซุนกล่าวว่า “ถ้าไม่เช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่รู้สึกแปลกใจล่ะว่า เพราะอะไรตระกูลฉู่ถึงต้องเสนอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้แต่งฉู่หมิงหยางเป็นพระชายารองของเจ้าห้า? เจ้ายังไม่เห็นความในใจของฉู่หมิงหยางอีกหรือ ? แต่ฉู่หมิงหยางคนนี้ก็เป็นคนเย่อหยิ่งมากเช่นกัน ตอนที่เจ้าห้าแต่งกับเจ้า นางก็ดูถูกเจ้าห้าไปแล้วล่ะ แต่อย่างไรก็เป็นคนที่เคยชอบ ต่อให้นึกดูถูก แต่ก็ยอมแพ้เจ้าไม่ได้ แม้ว่าข้าจะไม่อยากจะพูดแบบนี้ แต่ข้าก็ต้องพูดจริงๆว่า เจ้าทำถูกแล้วที่ช่วยพระชายาจี้”
หยวนชิงหลิงมองพระชายาซุน ด้วยสายตาที่ชื่นชมอย่างจริงใจ “พี่สะใภ้รอง ท่านช่างมีหัวใจที่ปราดเปรื่องถึงเจ็ดห้องจริงๆ” (อ้างจากตัวละครที่ชื่อปี้กัน จากวรรณกรรมเรื่อง ฮ่องสิน)
ในบรรดาท่านอ๋องและพระชายามากมาย พระชายาซุน คือผู้มีหัวใจอันปราดเปรื่องซึ่งมีถึงเจ็ดห้องเพียงผู้เดียวโดยแท้จริง
พระชายาซุนยิ้มอย่างสงบสำรวม
“พี่รองตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? ร่างกายดีขึ้นมากแล้วหรือไม่?” หยวนชิงหลิงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้พบอ๋องซุนมานานพอสมควรแล้ว
พระชายาซุนตอบว่า: “ลดน้ำหนักอยู่ที่จวน”
“ลดลงมาได้แล้วหรือ?” หยวนชิงหลิงยิ้ม การลดน้ำหนัก น่าจะกลายเป็นอาชีพหลักของพี่รองไปโดยปริยายแน่แล้ว
พระชายาซุนหน้าแดง “ลดลงมาได้นิดหน่อยแล้ว ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากเลยเชียวล่ะ”
“จริงรึ? เช่นนั้นวันหลังข้าจะไปเยี่ยมเขาที่จวนดูเสียหน่อย” หยวนชิงพูดอย่างนึกแปลกใจ ได้เห็นพระชายาซุนที่จู่ ๆ ก็หน้าแดงก่ำ ยิ่งทำให้นางต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้สักครั้งจริง ๆ
“ไม่จำเป็นต้องเป็นวันหลังหรอก อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดพี่รองของเจ้าแล้ว เราก็มีเหตุผลที่จะมารวมตัวพบหน้ากันได้แล้วล่ะ” พระชายาซุนจับมือของนาง พลางพูดด้วยรอยยิ้ม: “ถึงตอนนั้น พระชายาฉี กับพระชายารองหยวน ก็ต้องมาด้วยแน่ ช่วงนี้สองคนนั้นกำลังทะเลาะกัน ชนิดที่เอะอะอึกทึกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวเชียวล่ะ”