พระชายาซุนมองใบหน้าขาวซีดนั้น ก็โมโหมากขึ้น “เจ้ากลัวอะไร เจ้าก็ลองสู้กับหญิงคนนั้นดูสักครั้งจะเป็นไรไป เจ้ารู้จักแสวงหาความตาย แล้วความกล้าในตอนแรกนั้นหายไปไหน ตอนนั้นเป็นตายอย่างไรก็จะต้องแต่งกับเจ้าสามให้ได้ ทำไมตอนนี้จึงได้เปลี่ยนเป็นคนอ่อนแอเช่นนี้ไปได้”
พระชายาซุนพูด แล้วก็หันมาพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “เจ้าก็เข้ามาช่วยกล่อมนางที ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าสักวันอาจจะตายด้วยน้ำมือตัวเองจริงๆ ไม่คุ้มค่าเลย ”
ที่จริงรอยแผลพวกนี้ หยวนชิงหลิงเห็นตั้งแต่ตอนที่ทำการตรวจให้นางแล้ว
แต่ว่าตอนนี้นางได้ปกปิดมันไว้อย่างรวดเร็ว แสดงว่าไม่อยากให้ใครรู้ นางก็เลยไม่พูดอะไร
แต่ตอนนี้ถูกพระชายาซุนรู้เข้าแล้ว อีกทั้งพระชายาซุนยังด่าออกไปตรงๆ นางจึงพูดว่า “พี่สะใภ้รองท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าคิดว่าพี่สะใภ้สามคงไม่ได้คิดสั้นเพราะกู้จือคนนั้นหรอก”
พระชายาซุนพูดอย่างโกรธๆว่า “ไม่ใช่เพราะนางก็เพราะเจ้าสาม ยังจะเพราะใครได้อีก”
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไป ดึงพระชายาเว่ยให้นั่งลง พระชายาซุนเห็นดังนั้น ก็ค่อยๆเข้ามานั่งลง
พระชายาเว่ยแววตานิ่งขรึม มุมปากโค้งลง ขอบตาดำคล้ำมาก สีหน้าขาวซีดไปหมด ดูแล้วไม่มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย
นางจึงถามขึ้นว่า “กลางคืนนอนไม่หลับตลอดเลยหรือ”
พระชายาเว่ยพยักหน้า “ใช่แล้ว นอนไม่ดีเลย”
“นอกจากเรื่องนอนไม่หลับเล่า ”หยวนชิงหลิงถาม
พระชายาเว่ยมองนาง ตอบอย่างสุภาพเยือกเย็นว่า “พระชายาฉู่อยากถามอะไร”
“ใจสั่น ปวดหัว หายใจลำบาก เกิดภาพหลอน หรือว่ารู้สึกไม่สบายตรงไหน เจ็บตรงนั้นตรงนี้หรือไม่ ”
พระชายาเว่ยนิ่งอึ้ง ดวงตาจ้องเขม็ง “เจ้ารู้ได้อย่างไร ”
พระชายาซุนได้ยิน ก็สะดุ้งตกใจ “คงไม่ใช่ถูกวางยาพิษหรอกนะ”
หยวนชิงหลิงไม่สนใจพระชายาซุน ยังคงถามต่อไปว่า “เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
พระชายาเว่ยคิดอยู่สักครู่ “หลังจากแท้งลูก ก็พักฟื้นอยู่เดือนกว่า แต่พักอย่างไรก็ไม่รู้สึกดีขึ้น ยังคงรู้สึกปวดหัวเวียนหัว จากนั้นก็รู้สึกปวดที่หู ปวดที่เอว ได้เรียกให้หมอมาดูแล้ว แต่หมอก็บอกว่าไม่เป็นไร ช่วงหลายวันมานี้ ก็เกิดภาพหลอนบ่อยๆ แค่หลับตาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก”
“ตอนที่กรีดข้อมือ ใช่ตอนที่เกิดภาพหลอนหรือไม่ ”หยวนชิงหลิงถาม
พระชายาเว่ยยิ้มขม“ใช่ ก็ตอนที่ข้าเห็นภาพหลอนของเขาที่มาร้องไห้ต่อหน้าข้า ข้ารู้สึกทนไม่ได้ และข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงได้ลงมือไปอย่างนั้น ”
พระชายาซุนเบิกตาและอ้าปากกว้าง “สวรรค์ นี่เจ้าถูกทำคุณไสยหรือนี่”
พระชายาเว่ยเองก็สะดุ้งตกใจ “ไม่ใช่กระมัง ข้าไม่เคยไปล่วงเกินใครนี่นา”
“แล้วกู้จือคนนั้นเล่า เจ้าช่วยนางกลับมา ข้าดูแล้วนางก็ไม่ใช่คนดีอะไร ต้องเป็นนางที่ปองร้ายเจ้าแน่”พระชายาซุนเอ่ยด้วยเสียงฮึดฮัด
พระชายาเว่ยโบกมือไปมา “ไม่เกี่ยวกับนาง นางไม่เคยมาที่เรือนของข้าด้วยซ้ำ ข้าพบหน้านางน้อยมาก”
“เจ้ายังจะพูดจาแทนนางอีก เจ้านี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ ”พระชายาซุนยังคงคุกรุ่น “ผู้ชายของเจ้าก็ถูกนางแย่งไป เจ้ายังบอกว่านางเป็นคนดี”
พระชายาเว่ยเอ่ยอย่างระอาใจว่า “ข้าไม่ได้บอกว่านางเป็นคนดี แต่เรื่องนี้อาจไม่ใช่ฝีมือนางก็ได้ อย่างน้อยพวกเราก็ไม่มีหลักฐาน ส่วนเรื่องนางกับท่านอ๋อง ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังอยู่แล้ว จะโทษนางคนเดียวมันก็ไม่ยุติธรรม”
หยวนชิงหลิงรู้สึกคาดไม่ถึง ก่อนหน้านี้ได้ยินจากพระชายาซุนว่านางเสียใจเรื่องที่กู้จือคนนั้นตั้งครรภ์เป็นอย่างมาก เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ เดิมคิดว่านางคงจะยึดติดอยู่อย่างนั้น คิดไม่ถึงว่านางจะใจกว้างมีเหตุผลขนาดนี้ อย่างน้อยนางก็สามารถพูดออกมาคำหนึ่งว่าจะโทษผู้หญิงฝ่ายเดียวนั้นมันไม่ยุติธรรม
พระชายาซุนสะบัดหน้า เอ่ยอย่างโมโหว่า “ข้าไม่อยากพูดกับเจ้าแล้ว เจ้ามันก็นิสัยอย่างนี้ คนอื่นจะขึ้นมาขี่หัวเจ้าอยู่แล้ว เจ้ายังจะบอกว่าไม่โทษคนอื่นเขาอีก”
พระชายาเว่ยสีหน้าลำบากใจ “พี่สะใภ้รอง พอเถอะ ทำไมท่านต้องโมโหกว่าข้าด้วย ถึงกับพูดจาหยาบคายขึ้นเรื่อยๆแล้ว”
พระชายาซุนพูดว่า “ข้าเป็นอย่างนี้ก็เพราะเจ้า ถ้าเจ้ามีใจสู้สักหน่อย ก็ไม่ต้องให้ข้ามาคอยร้อนใจแทนแล้ว เฮ้อ ไม่ไหว โมโหจนข้าปวดก้นไปหมด ไร้ประโยชน์จริงๆ”
“ทำไมจึงยังปวดอีก ก่อนหน้านี้กินยาของท่านหมอหายแล้วมิใช่หรือ”พระชายาเว่ยถามขึ้น
พระชายาซุนนั่งตะแคงข้าง ขมวดคิ้วราวกับเจ็บปวดจริงๆ “ไม่รู้ทำไมจึงกำเริบขึ้นอีก ตั้งแต่พระชายาฉู่ถูกจับตัวไปวันที่สองก็เริ่มปวดขึ้นมาแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะร้อนใจเกินไป”
หยวนชิงหลิงมองนางใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “เจ็บตรงไหน”
พระชายาซุนหน้าแดงก่ำ “ก็ที่ก้นนั่นแหละ”
“ประสาทกระดูกก้น ปวดเวลานั่งใช่หรือไม่ ใช่ตรงนี้หรือไม่ ”หยวนชิงหลิงยื่นมือไปกดตรงบริเวณกระดูกก้นกบของนาง “ตรงนี้ปวดหรือไม่ ”
พระชายาซุนส่ายหน้า “ไม่ใช่ แต่ว่าบางทีที่ปวดขึ้นมา ก็ปวดไปทั้งหมด ปวดจนจุกไปถึงหน้าอก”
หยวนชิงหลิงประหลาดใจ “ทำไมจึงปวดไปถึงหน้าอกด้วย ท่านปวดที่ไหนกันแน่ ท่านบอกให้ข้าฟังที ”
พระชายาซุนรีบมองออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด จากนั้นก็เอ่ยด้วยอาการหน้าแดงและเขินอายว่า “ก็เจ็บตรงนั้นน่ะสิ”
“ตรงไหนเล่า”หยวนชิงหลิงประหลาดใจ พระชายาซุนทำไมจึงหน้าแดง พระอาทิตย์คงขึ้นจากฝั่งตะวันตกแล้ว
พระชายาซุนเอ่ยเสียงอ่อนว่า “ก็คือที่ดวง……”
“ดวงตาหรือ เจ็บที่ตาทำไมจึง……”หยวนชิงหลิงเข้าใจขึ้นมาทันที ถามยิ้มๆว่า “ถ่ายหนักเป็นเลือดหรือไม่ ”
“สองวันมานี่ใช่“พระชายาซุนพูดเสียงเบา “หาท่านหมอแล้ว ท่านหมอบอกว่าข้างในมีฝี เคยกินยาแก้ร้อนในแก้พิษแล้ว แต่พอผ่านไปสักพักก็ปวดอีก จะนั่งนานไม่ได้ ”
หยวนชิงหลิงนึกถึงยาริดสีดวงที่นอนนิ่งๆอยู่ในกล่องยาของนาง เห็นที วันนี้จะได้ใช้ประโยชน์แล้ว
ที่แท้ก็เตรียมไว้เพื่อพระชายาซุนนี่เอง
ตอนที่ตั้งครรภ์แรกๆ นางยังคิดว่าหญิงตั้งครรภ์นั้นง่ายต่อการเป็นริดสีดวงมาก ในกล่องยาจึงได้มียานี้เตรียมไว้ให้ ฉะนั้น นางก็คอยแต่คำนวณอยู่ว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะเป็นริดสีดวง แต่ก็ไม่เห็นเป็นสักที ทำให้รู้สึกราวกับว่ายังคงมีเรื่องค้างคาทำไม่เสร็จเสียที
นางพูดยิ้มๆว่า “ข้ามียาอยู่หลอดหนึ่ง รักษาอาการฝีของท่านได้ผล ข้าจะหาให้ ”
เมื่อครู่ตอนที่ทำการตรวจให้กับพระชายาเว่ย นางก็เอากล่องยาออกมายังไม่ได้เก็บกลับไป
นางหาอยู่ชั่วครู่ ยาริดสีดวงวางอยู่ด้านล่างสุด ยื่นส่งให้กับพระชายาซุนยิ้มๆ “ใช้บีบกดเข้าไปด้านใน แท่งนี้สามารถใช้ได้ห้าวัน หลังจากผ่านไปห้าวัน คิดว่าคงจะไม่เป็นไรแล้ว ถ้าหากยังกำเริบอีก ท่านก็มาหาข้าเพื่อเอายาแล้วกัน ”
พระชายาซุนดีใจมาก “ได้ผลจริงหรือ เช่นนั้นก็ดีมากเลย นี่ก็ทรมานข้ามานานแล้ว”
พระชายาเว่ยยิ้มขึ้นมา
พอดีกับที่หยวนชิงหลิงหันไปมอง ชั่วขณะนั้นทำให้นางรู้สึกว่ายิ้มนั้นทำให้ห้องนั้นสดใสขึ้นมาทันที
มีรอยยิ้มของคนอยู่ประเภทหนึ่งที่มักทำให้บรรยากาศรอบๆเปลี่ยนไป นางไม่ค่อยยิ้ม แต่พอยิ้มขึ้นมา ก็ง่ายมากที่จะดึงดูดสายตาของผู้คน ทำให้รู้สึกหลงใหล
พระชายาก็เป็นคนประเภทนั้น
พระชายาเว่ยเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีอิทธิพลทางอารมณ์และเสน่ห์ต่อผู้อื่น แม้ว่าจะพูดคุยกันไม่นาน แต่ว่าสามารถมองออกจากการพูดจาของนางได้ว่า นางเป็นคนได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี มีความคิดเป็นของตนเอง นับว่าเป็นหญิงประเภทที่มีจิตวิญญาณของตนเอง
อีกทั้งนางยังมีหน้าตาที่งดงาม คนงามนั้นงามที่ภายในไม่ใช่ภายนอก นางนั้นเป็นประเภทงามตั้งแต่ภายนอกจรดภายใน
ตรงกันข้ามกับที่ได้เจอกู้จือในวันนั้น ดูแล้วไม่มีจุดเด่นอะไรเลย
แน่นอน ก็ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มทุกคนจะมองแค่รูปลักษณ์ภายนอกหรือตัวตนแท้จริงภายใน ถ้าหากกู้จือทำให้อ๋องเว่ยหลงใหลได้ปลื้ม เช่นนั้นก็ต้องมีจุดเด่นบางอย่างที่เหนือกว่าคนอื่นอยู่ และจุดนี้เอง ที่อ๋องเว่ยชื่นชอบ
หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของพระชายาซุนที่พูดในวันนั้น ทำเรื่องอย่างว่าได้ดี
นางครุ่นคิด บางทีสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องอย่างว่าก็จัดว่ามีแรงดึงดูดมหาศาล เพราะว่า ในหลายๆครั้งผู้ชายก็ไม่ชอบใช้สมองในการครุ่นคิดปัญหา
ส่วนพระชายาเว่ย เดาว่าคงจะเป็นโรคซึมเศร้า
โรคนี้ ในสมัยนี้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นโรคสำคัญอะไร บางครั้ง ยังถูกมองว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจด้วยซ้ำไป