เจ้าพระยาจิ้งรู้ว่าตนพลั้งปาก จึงเอ่ยพลางโบกมือ “ไม่ แค่พูดพล่อย ๆ เท่านั้น”
หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างเย็นชา “หากท่านยังรักศีรษะของตน เล่าเรื่องเลวทรามพวกนั้นที่นั้นก่อขึ้นออกมาให้หมด”
เจ้าพระยาจิ้งไม่พอใจ “เจ้าคิดว่าตอนนี้เป็นพระชายารัชทายาทแล้ว จะเสียมารยาทกับบิดาตนได้หรือ เรื่องเลวทรามอันใด ทั้งหมดที่ข้าทำ ไม่ใช่เพื่อจวนเจ้าพระยาของพวกเราหรือ วิธีการที่เจ้าได้แต่งกับรัชายาทในตอนแรกก็ไม่ขาวสะอาด ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอันใด กู้จือนั้นพูดไว้ไม่ผิด ตอนนี้เจ้าสูงส่ง จนลืมว่าตนเคยทำเรื่องน่ารังเกียจขนาดนั้นมาเช่นกัน!”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำนี้ โมโหจนบาดแผลเจ็บปวด ทรมานจริง ๆ เหตุใดเจ้าของร่างเดิมถึงมีบิดาเช่นนี้ และเหตุใดนางต้องมาเป็นเจ้าของร่างเดิมด้วย
หยวนชิงหลิงคิดว่า ไม้ปราบที่ไท่ซ่างหวงมอบให้ด้ามนั้นมีประโยชน์จริง ๆ อย่างน้อย บางครั้งหยิบออกมา ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
นางล้วงออกมาวางบนโต๊ะอย่างช้า ๆ “จะพูดหรืออยากโดนตี ข้าไม่อยากคำพูดเหลวไหลแม้ประโยคเดียว”
“หยวนชิงหลิง เจ้าคิดต่อกรกับบิดา?” เจ้าพระยาจิ้งเห็นไม้ปราบด้ามนั้น ขนลุกชันทั่วร่าง ถลึงตาเอ่ยคำรามขึ้น “บุตรควรกตัญญูต่อบิดามารดา เจ้ากล้าตีบิดาตนเองหรือ?”
หยวนชิงหลิงหยิบไม้ปราบ ก่อนเคาะลงไปที่โต๊ะตัวนั้นครั้งหนึ่ง เสียงดังปังปัง ก่อนเอ่ยอย่างเข้มงวด “พูด! ฮูหยินซ่างคือผู้ใด ท่านกับนางเกี่ยวข้องกันเช่นไร?”
เจ้าพระยาจิ้งได้แต่ใช้ท่าทีแข็งกร้าวแต่ในใจหวาดกลัว เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงโมโหเดือดดาลจริง รวมทั้งไม้ปราบนั้นสั่นไหวเช่นนี้ เขาจึงคลายความโมโหลง อับอายครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ฮูหยินซ่างคือภรรยาหม้ายของแม่ทัพสุ้นอี้”
แม่ทัพสุ้นอี้? คล้ายไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่แม้จะไม่ผิดศีลธรรม อย่างน้อยเป็นหญิงหม้าย ไม่ได้แย่งชิงภรรยาผู้อื่น
เจ้าพระยาจิ้งเอ่ยเตือนว่า “เรื่องฮูหยินซ่าง เจ้ารู้ก็ดีแล้ว แต่ห้ามพูดออกไป ฮูหยินซ่างถือว่ามีซุ้มประกาศเกียรติคุณ หากเจ้าพูดออกไปเป็นการทำร้ายบิดาเช่นข้า”
ทันใดนั้นหยวนชิงหลิงรู้สึกหายใจติดขัด แทบจะหมดสติไป
นางย่อมรู้ว่าซุ้มประกาศเกียรติคุณที่บิดาเอ่ยคือซุ้มประกาศเกียรติคุณซื่อสัตย์ภักดี(สำหรับหญิงพรหมจรรย์หรือหม้ายพรหมจรรย์)
คนไม่ด้อยประวัติศาสตร์เช่นนางย่อมรู้ว่าซุ้มประกาศเกียรติคุณซื่อสัตย์ภักดีคือสิ่งใด โดยทั่วไปจะใช้ชมเชยเหล่าสตรีสามีเสียชีวิตหรือไม่แต่งงานใหม่มาหลายปี หรือฆ่าตัวตายตาม สอดคล้องกับหลักคุณธรรมในยุคสมัย และราชสำนักหรือทางการสร้างซุ้มประกาศเกียรติคุณพระราชทานขึ้นมา
แม้สตรีซื่อสัตย์ภักดีคำนี้จะโหดเหี้ยมและไม่ยุติธรรมกับสตรี แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่สตรี
นางทราบดี ผู้ใดที่ทำลายซุ้มประกาศเกียรติคุณซื่อสัตย์ภักดีหรืออย่างอื่น โทษสูงสุดคือประหารชีวิต
มิน่าอ๋องอานจึงสั่งคนไล่ล่าสังหารกู้จือ ที่แท้ยังมีฮูหยินซ่างนี้เป็นหมาก
หยวนชิงหลิงใช้เวลาหลายนาที กว่าจะข่มความโมโหและลนลานในใจลงได้ แม้จะพยายามสงบใจแต่ความจริงยังใช้น้ำเสียงโมโหเอ่ยถามเขา “เหตุใดท่านจึงมีความสัมพันธ์กับฮูหยินซ่างได้?”
เจ้าพระยาจิ้งเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ “เจ้าอย่าพูดไม่น่าฟังเช่นนั้น มีความสัมพันธ์อันใดกัน?”
“ดังนั้น พวกท่านรักใคร่กันจากใจจริงหรือ?” ความโกรธที่หยวนชิงหลิงข่มเอาไว้ ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าพระยาจิ้งหดคอ “ป้าของนางคือพระชายาอ๋องชินลุ่ย และนางให้ท่าข้าก่อน บิดาเพียงไม่ทันระวังตัว สตรีนางนี้ภายนอกสง่างามทรงเกียรติ แต่เจ้าไม่รู้ ความจริงนาง…”
หยวนชิงหลิงไม่รอให้เขาพูดจบ รับเอ่ยตัดบททันที “หุบปาก ไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้”
หยวนชิงหลิงยื่นมือกดบาดแผลบริเวณหน้าท้อง แผ่นหลังเย็นยะเยือกขึ้น ฮูหยินซ่างผู้นี้ กลับเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระชายาอ๋องชินลุ่ย ฮึ เหมาะเจาะเสียจริง!
“ยังมีผู้ใดอีก?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามอย่างเหนื่อยหอบ
“มะ…ไม่มีแล้ว” เจ้าพระยาจิ้งเห็นนางเช่นนี้ ก็ไม่กล้าพูดขึ้นอีก
หยวนชิงหลิงกำมือ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนกลืนยาซู่เสี้ยวจิ้วซินเม็ดหนึ่งลงไป “ไม่ ท่านพูดมา พูดมาเถิด ข้าทนไหว อย่างมากแค่ตายเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดใหญ่โตกว่านี้แล้ว กลับกัน ไม่ท่านตาย ก็ข้าตาย”
เจ้าพระยาจิ้งเห็นนางหายใจถี่และทานยา รู้ว่านางโมโหเกินไป ตรงกันข้ามต้องซื่อสัตย์ เพราะตอนนี้จวนเจ้าพระยาจิ้งทั้งหมดล้วนพึ่งพานาง หากโกรธเคืองขึ้นมาจริง ในทางกลับกันอาจท่าไม่ดี
เขาจึงพูดตามความจริง ในจำนวนนี้ มีมากกว่าสิบคนที่เป็นสตรีมีสามี และล้วนเป็นภรรยาหลวงของผู้อำนาจในราชสำนัก
หลังหยวนชิงหลิงฟังจบ โมโหจนจดจำไม่ได้ ได้แต่ทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าเช่นเขาหยวนปาหลงนี้เหตุใดจึงดึงดูดให้สตรีชมชอบมากขนาดนั้น?
นางจึงมองเขา ความจริงหน้าตาไม่เลว คนอายุสี่สิบ รูปร่างท่าทางล้วนอ่อนเยาว์กว่าอายุหลายปี มีดวงตาดอกท้อคู่หนึ่ง ฝึกฝนวิทยายุทธมาบ้าง แม้จะถูกสุราและสตรีล่อลวงจนหมดสิ้น แต่พื้นฐานโดยรวมยังถือว่าได้
เจ้าพระยาจิ้งเอ่ยอย่างเนิบช้า “หลายปีนี้มีเพียงพวกนี้ และไร้หนทางจริง ๆ บางครั้งต้องใช้เส้นสาย ไม่งั้นอาศัยชื่อเสียงสกุลของพวกเรา พ่อจะเป็นรองเจ้ากรมได้เช่นไร และการประเมินประจำปีเข้มงวดยิ่งนัก กรมข้าราชการพลเรือนทางนั้นไม่รับของขวัญ เหลือเพียงวิธีให้ภรรยาช่วยเกลี้ยกล่อมสามี แต่หากสามารถส่งของขวัญคลี่คลายได้ พ่อก็ไม่เต็มใจทำเรื่องนี้หรอก ขายหน้ายิ่งนัก”
ครั้งนี้เจ้าพระยาจิ้งรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว อับอายขายหน้า
เรื่องประเภทนี้ เอ่ยกับผู้อื่นไม่รู้สึกละอายเท่าเอ่ยกับบุตรสาวเช่นนี้
หยวนชิงหลิงมองเขา เพื่อไม่ให้โมโห นางจึงเอ่ยขึ้นสั้น ๆ ว่า “มีสองทางเลือก หนึ่งขอรับโทษด้วยตนเอง สองพาบ้านรองของท่านออกจากเมืองหลวงไป ไม่ทำให้ตระกูลลำบากอีก และไม่ตัดอนาคตของพี่ชาย”
เจ้าพระยาจิ้งได้ยินคำพูดนี้ของนาง จึงเอ่ยขึ้นว่า “ความจริงทั้งสองอย่างนี้ไม่จำเป็น เรื่องนี้ เพียงเจ้าไม่พูด ไม่มีผู้ใดทราบ พวกนางก็ไม่พูดออกไปแน่ เพราะเรื่องนี้ก็ผิดศีลธรรม”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดน่าประหลาดใจนี้ของเขา จึงโมโหขึ้น “ท่านคิดจริง ๆ ว่าเรื่องที่ท่านทำไม่มีผู้ใดรู้หรือ ประการแรกเรื่องท่านและกู้จือ อ๋องอานทรงทราบ แล้วอ๋องอานจะปล่อยท่านไปหรือ?”
“ข้าตอนนี้ไม่มีประโยชน์กับอ๋องอานแล้ว เขาจะทำเช่นไรได้?” เจ้าพระยาจิ้งตอนนี้กลัวหยวนชิงหลิงเล็กน้อย และไม่กล้าอยู่ต่อไปอีก จึงเอ่ยว่า “พ่อยังมีธุระ ขอตัวลาก่อน สรุปเรื่องนี้เจ้าอย่ากังวลใจเลย ไม่มีผู้ใดรู้หรอก เจ้าเพียงไม่พูดก็พอแล้ว และกู้จือผู้นั้นไม่ต้องสนใจนาง รีบไล่ออกไป เด็กคนนั้นเป็นตายร้ายดีข้าก็ไม่ยอมรับ”
เอ่ยจบ เขารีบดึงประตูเดินออกไปทันที หยวนชิงหลิงเรียกเขา เขาทำเป็นไม่ได้ยิน วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หยวนชิงหลิงหอบหายใจอย่างโมโห ตำแหน่งเจ้าพระยา รองเจ้ากรมในราชสำนัก ไม่ได้ทำให้เขาสุขุมขึ้นเลย
สุดท้ายเขายังเป็นลูกผู้ลากมากดีมักใหญ่ใฝ่สูงผู้นั้น
คนที่มีอายุเท่าเขานี้แล้ว ยังสามารถทำตัวเป็นลูกผู้ลากมากดีได้ พูดได้เพียง สิ่งของและคนที่เขาสามารถขายได้มีมากมาย มิฉะนั้นคงจบไปนานแล้ว
ในที่สุดนางก็เข้าใจ เหตุใดตอนนั้นท่านย่าจึงคัดค้านเขาอย่างหนักไม่ให้รับราชการ
ท่านย่าไม่ใช่ไม่รู้เรื่องเลวทรามพวกนั้นของเขา แต่อาจไม่รู้ครบทั้งหมดเท่านั้น
หยวนชิงหลิงลากร่างกายที่เหนื่อยล้า กลับตำหนักเซี่ยวเยว่
แม่นมสี่เข้ามารายงาน “กู้จือผู้นั้นจัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าคะ บ่าวหยิบชุดหนึ่งที่ท่านเคยสวมเมื่อก่อนให้แก่นางเปลี่ยน เสื้อผ้าชุดนั้นของนางสกปรกอย่างที่สุดเจ้าคะ”
“มอบให้นางเถิด อย่างไรเสียชุดพวกนั้นมีขนาดใหญ่ ตอนนี้ข้าสวมไม่ได้แล้ว” หยวนชิงหลิงรู้สึกปวดศีรษะ จึงเอ่ยถามว่า “ข้าของีบสักครู่ หากเจ้าห้ากลับมา ท่านบอกเขาว่าข้ามีเรื่องคุยกับเขา ให้เขามาปลุกข้าด้วย”
“ท่านนอนพักเถอะเจ้าคะ เรื่องใหญ่โตเพียงใด สู้ท่านต้องพักผ่อนให้มากไม่ได้หรอกเจ้าคะ” แม่นมสี่ห่มผ้าให้นาง เอ่ยเสียงอ่อนโยน
หยวนชิงหลิงมองแม่นมสี่ที่อ่อนโยน หางตาแดงก่ำ ก่อนดึงมือแม่นมสี่พร้อมเอ่ยว่า “ข้าปรารถนาจริง ๆ ว่าท่านจะเป็นท่านแม่ของข้า”