ทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้หญิงที่กล้าทำตามอำเภอใจ ไม่เกรงกลัวใคร กล้าเรียกชื่อจูกั๋วกงว่าเป็นขี้หมู มีเพียงคนเดียวคือท่านย่าตระกูลหยวน
ตระกูลหยวนฮูหยินใหญ่อายุน้อยกว่าจูกั๋วกง แต่ตอนนั้นพ่อสามีของฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนกลับเป็นคนอบรมสั่งสอนจูกั๋วกง เดิมตระกูลจูเป็นตระกูลแม่ทัพ แต่ต่อมาไม่มีใครได้เรื่อง ไม่ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหยวนกง จูกั๋วกงก็ไม่สามารถมีความเจริญก้าวในหน้าที่การงาน จนได้รับแต่งตั้งเป็นกั๋วกง
จูกั๋วกงกับฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวน ร่วมกันต่อสู้ในสนามรบหลายครั้ง ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนก็เคยช่วยชีวิตจูกั๋วกงไว้ครั้งหนึ่ง และเพื่อช่วยชีวิตเขา ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
นี่ก็ไม่สำคัญ ยังไงก็อยู่ในสนามรบ ไม่ใช่เจ้าช่วยข้า ก็เป็นข้าที่ช่วยเจ้า เดิมก็ไม่มีอะไรควรพูดถึง แต่เพราะตอนนั้นจูฮูหยินของกั๋วกง คลอดลูกอยาก เกือบเสียชีวิตทั้งสองคน เป็นฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนที่เชิญเซียนโล่มาได้ ภายใต้สถานการณ์ที่คับขัน ถึงสามารถช่วยชีวิตจูฮูหยินของกั๋วกงกับนางจูใหญ่ไว้ได้
หลังจากที่ติดหนี้บุญคุณมากขนาดนี้แล้ว จูกั๋วกงกลับกระทำเรื่องเลอะเลือนอย่างหนึ่ง นั่นก็คือตอนนั้นเคยมีการสู้รบพ่ายแพ้ เซียวเหยากงกับฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนร่วมออกรบด้วย หลังจากพ่ายแพ้ มีคนเขียนฎีกาขึ้นทูลว่าเกิดจากพวกเขาโลภบวกกับเหล่าทหารรักตัวกลัวตาย จูกั๋วกงออกความเห็นด้วย ฮ่องเต้สั่งลงโทษลงมา เงินบำนาญของทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกลดลงครึ่งหนึ่ง
หยินใหญ่ตระกูลหยวนโกรธจัดมาก ถือขวานภูเขามาหนึ่งเล่ม ฟาดฟันไปทั่วจวนกั๋วกง ด่าว่าเป็นเพราะความคับข้องใจส่วนตัวระหว่างเขากับเซียวเหยากง ทำให้พวกทหารต้องเดือดร้อน จูกั๋วกงรู้ตัวว่าตนผิด ปล่อยให้ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนระบายความโกรธตามอำเภอใจ ถึงแม้ต่อมาจะดีกันแล้ว แต่ยังไงจูกั๋วกงก็กระทำเรื่องที่ผิดไปแล้ว หลายปีมานี้ทั้งยำเกรงและหวาดกลัวฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวน ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ ล้วนไม่สามารถที่จะแข็งข้อขึ้นมาได้
ตอนนี้ ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนมาถามหาความผิดถึงที่ บ่าวใช้มารายงานเขา เขาหดลงก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากปรากฏท่าทีหวาดกลัวสยองขวัญแล้ว ก็ไม่กล้าเสียเวลา รีบออกมาต้อนรับ
ตระกูลหยวนมีคนเยอะสามัคคีมีพลัง อยู่ในสถานที่ตระกูลจูก็แสดงให้เห็นถึงอำนาจครอบงำ ไม่มีใครกล้าเข้ามาถามว่าเรื่องอะไร เพราะนางจูใหญ่ได้รับบาดเจ็บ พักผ่อนอยู่ด้านใน เพราะฉะนั้นจึงรู้ว่ามีคนตระกูลหยวนมา แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
จูกั๋วกงรีบวิ่งมาหา เห็นสีหน้าโกรธโมโหของตระกูลหยวนแต่ละคน สีหน้าคนนำฮูหยินใหญ่ยิ่งเคร่มขรึม ตรงกลางก็มองเห็นหญิงสาวที่มากับพระชายารัชทายาทในวันนี้ ถูกคนประคองไว้ ก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็นเรื่องของหญิงสาวคนนี้แน่ คิดว่าคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกับนางจูใหญ่ในวันนี้แน่ จึงค่อยน่าพูดกันหน่อย
เดินหน้าไปยกมือ พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่ให้เกียรติมาถึงที่ ยินดีต้อนรับ…”
ฮูหยินใหญ่พูดดักเขาอย่างหยาบคาย พร้อมพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ต้อนรับเหี้ยอะไร ข้าไม่มาหลานสาวของข้าคงถูกโบยจนตายไปแล้ว ให้การต้อนรับจริง ชีวิตของนางไม่ตายอยู่ในกำมือของจวนกั๋วกงพวกเจ้าหรือ?”
จูกั๋วกงขมวดคิ้ว รู้สึกว่าฮูหยินใหญ่เอะอะเดือดร้อนขนาดนี้ ดูเหมือนจะเกินไปแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก วันนี้พวกเขาแค่กระทบกระทั่งกันทางวาจาเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง เป็นเรื่องเข้าใจผิด ต่อมาก็ได้อธิบายกันชัดเจนแล้ว ข้าก็ได้ตำหนิสั่งสอนนางจูแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องเอะอะเดือดร้อนถึงขนาดนี้”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนได้ยินเช่นนี้ ก็โกรธจนแทบกระอักเลือด เส้นเลือดบนหน้าผากนูนเขียวขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “กระทบกระทั่งกันทางวาจา? เข้าใจผิด? แค่ความเข้าใจผิดก็สามารถสั่งให้กรมการพระนครไปจับตัวคนมาจากจวนอ๋องฉู่ พาหลานสาวของข้าไปลงโทษทรมาน? ตระกูลจูของเจ้ามีอำนาจค้ำฟ้าหรือ?เมืองหลวงอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่ให้เจ้าสามารถแก้แค้นได้ตามใจหรือ? หลายสิบปีแล้ว สันดานเจ้ายังไม่เปลี่ยน อาศัยกฎหมายระบายความแค้นส่วนตัวเล็กน้อย เรียกลูกสาวของเจ้าออกมา ข้าจะดูสิ เป็นอะซี่ของข้าทำร้ายนางจริงหรือเปล่า”
เดิมจูกั๋วกงแอบซ่อนความโกรธไว้ ไม่กล้าระบายออกมา ตอนนี้เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วก็มึนงง พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่ ท่านพูดว่าอะไร? ใครแก้แค้นใคร? ลงโทษทรมานอะไร? ท่านพูดมาให้ชัดเจนสิ ที่ท่านพูดไม่ใช่เรื่องที่วันนี้นางจูเข้าใจผิดแล้วทะเลาะมีปากเสียงกันหรือ? จะเดือดร้อนไปถึงที่ทำการปกครองได้อย่างไร?”
พูดเสร็จ เขาหรี่ตาดวงเล็กลง พร้อมพูดขึ้นด้วยแววตาไม่ค่อยแน่ใจว่า “เรื่องเมื่อก่อน ทำไมถึงชอบเอามาพูด? คนเราก็เปลี่ยนแปลงกันได้ ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้มีความเพียรขนาดนั้นแล้ว ท่านก็อย่าเอาแต่เรื่องที่ผ่านมามาตอกย้ำเรื่อยๆเลย”
ไว้หน้ากันหน่อยไม่ดีหรือ? มีคนอยู่เยอะขนาดนี้นะ
ฮูหยินใหญ่หัวเราะเยาะ ไม่พูดตอบ หันไปเรียกอะซี่มาด้วยสีหน้าเยือกเย็น
อะซี่เดินมาด้วยเท้ากะเพลก ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มีรอยแดงเล็กน้อยหลายรอย บนใบหน้าสีขาวผ่อง เหมือนโดนใครทุบตี กั๋วกงเหมือนเห็นไม่ชัด ตอนนี้อะซี่เดินมาใกล้ แทบจะยืนเบียดอยู่ตรงหน้า เขาถึงค่อยมองเห็น
อะซี่คุกเข่าก้มหัวให้กับจูกั๋วกง พร้อมร้องไห้พูดขึ้นว่า “ท่านกั๋วกง วันนี้ที่ข้าทะเลาะกับฮูหยินของแม่ทัพใหญ่ก็เพื่อปกป้องพระชายารัชทายาท แต่ไม่เคยทำร้ายนาง ตอนที่ข้าไปข้าไปพร้อมกับพระชายารัชทายาท ผู้เฝ้าก็เห็น ใครจะไปรู้ว่าฮูหยินของแม่ทัพใหญ่จะไปฟ้องข้าที่ทำการปกครอง ฟ้องว่าข้าทำร้ายนางได้รับบาดเจ็บ คนของที่ทำการปกครองบุกเข้ามาจับข้าที่จวนอ๋อง ลงโทษทรมานข้าอย่างไร้เหตุผล หากไม่ใช่เพราะท่านย่าไปช่วยข้าไว้ ถูกโบยไปห้าสิบที ข้าจะยังมีชีวิตอยู่อีกไหม? ข้าไม่กล้ามีเรื่องกับฮูหยินของแม่ทัพใหญ่อีกแล้ว ขอท่านช่วยข้าด้วย ช่วยพูดขอความเห็นใจให้ข้าด้วย ต่อไปข้าไม่กล้าล่วงเกินนางอีกแล้ว ได้ไหม?”
อะซี่พูดเสร็จ ก็รู้สึกเสียใจอย่างหนัก จึงร้องไห้ขึ้นมาอย่างแรง
เดิมอะซี่ก็เป็นเด็กที่เพิ่งโต นิสัยตรงไปตรงมา เป็นที่พอใจของจูกั๋วกง ตอนนี้เห็นนางร้องไห้อย่างน่าสงสารขนาดนี้ และเห็นบนใบหน้าของนางทุกตบตี ยังถูกโบยอีก ก็อดไม่ได้ที่จะเห็นใจ ความโกรธที่มีต่อนางจูใหญ่เพิ่มพูนขึ้นมาอีกครั้ง เงยหน้าจ้องมองดูจูโห้วเต๋อ พร้อมพูดขึ้นว่า “ไป สั่งคนไปพาน้องสาวของเจ้ามาจากจวนแม่ทัพใหญ่”
จูโห้วเต๋อพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ น้องใหญ่ยังอยู่ในจวน”
จูกั๋วกงได้ยินเช่นนี้ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช้ให้นางไสหัวไปแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงยังอยู่ในจวน? ไปพาตัวมา”
จูโห้วเต๋อไม่กล้าชักช้า รีบไปด้วยตนเองทันที
จูกั๋วกงยื่นมือไปประคองอะซี่ลุกขึ้นมา อะซี่ร้องไห้ไม่หยุด น้ำตาจะไหลเหมือนลูกปัดที่แตกสลาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความคับข้องใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าก็แค่ทนไม่ได้ที่เห็นนางรังแกพระชายารัชทายาท พระชายารัชทายาทหวังดีมารักษาอาการป่วยให้กับฮูหยินของกั๋วกง ทำไมถึงตำหนิว่าร้ายพระชายารัชทายาทล่ะ? ท่านก็ไม่รู้ เมื่อคืนพระชายารัชทายาทไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ก็ยังคิดถึงอาการป่วยของฮูหยินของกั๋วกง นางเพิ่งลูกได้ไม่นาน ร่างกายยังอ่อนแออย่างมาก นางใจดีมีเมตตา ยังไม่ได้คุณความดี เป็นใครก็ทนไม่ได้หรอก ท่านกั๋วกงท่านเองก็ไม่ได้ช่วยพระชายารัชทายาทพูดอะไรเลย วันนี้อาศัยว่าองค์ชายรัชทายาทไม่ได้อยู่ที่จวน ผู้ช่วยเจ้ากรมพาคนไปที่จวนด้วยตนเอง ไม่ยอมให้ข้าพูดอธิบายสักคำ พระชายารัชทายาทเรียกร้องความเป็นธรรมให้ข้า กลับถูกนางพูดว่าพระชายารัชทายาทให้ท้ายบ่าวใช้ ไม่มีความเป็นพระชายารัชทายาท เขาถือว่าเขาเป็นใคร? ไม่ใช่เพราะครอบครัวพระชายารัชทายาทไม่ได้มีอำนาจอะไร นางจึงรังแกพระชายารัชทายาทไม่ใช่หรือ? คนพวกนี้ทำไมเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้? มารุมรังแกคนอย่างผึ้งทั้งรัง ข้าอดทนรับไม่ได้….”นางพูดพร้อมกับนั่งลงบนพื้น ร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา ราวกับคับข้องใจไม่สามารถพูดออกมาได้เป็นพันหมื่นคำ
จูกั๋วกงได้ยินนางพูดเช่นนี้ ในใจโคตรทรมาน ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ช่วยพระชายารัชทายาทพูดอะไร เพียงแค่คิดว่าพระชายารัชทายาทมาช่วยรักษา จะต้องมีความหมายแฝง อย่างน้อยก็ทำเพื่อองค์ชายรัชทายาท หากเป็นการแลกเปลี่ยน งั้นคนหนึ่งเต็มใจสู้ อีกคนเต็มใจที่จะทนทุกข์ จะคับข้องใจยังไงล่ะ?