Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ – ตอนที่ 768-769

ตอนที่ 768-769

อยากกินไหมล่ะ 768-769

 ตอนที่ 768

 

เตรียมออกเดินทาง

“ได้เลย เชิญนั่งก่อนนะ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วหันกลับไปทำอาหารต่อ

ฉูเสี่ยวนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆเพื่อรออาหาร

“อาหารจานใหม่เป็นหางไก่งั้นเหรอ? เป็นขนหรือว่าอะไรเทือกนั้นเหรอ?” อู๋ไห่ถามเมื่อเขาเห็นชื่ออาหารจานใหม่ เขาเป็นคนที่สองที่เข้ามาและแน่นอนว่าย่อมต้องมองหาอาหารจานใหม่เช่นเดียวกัน

“ไม่ใช่หรอกค่ะ มันเป็นส่วนที่ขนงอกขึ้นมาน่ะ” โจวเจียตอบอย่างจริงๆจังๆ

“งั้นก็ตูดไก่น่ะสิ? ได้เลย เอามาให้ฉันที่นึงด้วยล่ะ” อู๋ไห่สั่งอาหาร

บรรดาลูกค้าที่เข้ามาหลังจากนั้นต่างก็พบว่าอาหารจานใหม่ก็คือตูดไก่นั่นเอง ทุกคนจึงเริ่มพูดถึงมันขึ้นมา

ส่วนใหญ่พวกเขายินดีที่จะลองชิมดู ถึงอย่างไรส่วนหางก็ต่างจากตูดจริงๆ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสิ่งที่หยวนโจวปรุงขึ้นมาเองทำให้อาหารจานใหม่มีความคุ้มค่าน่าลอง

นอกเหนือไปจากไม่กี่คนที่เป็นแฟนตัวยงของหางไก่แล้ว นี่ก็เป็นสาเหตุที่ลูกค้าส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะลองชิมดู

ใช่แล้วล่ะ มีบางคนที่เป็นแฟนตัวยงของหางไก่อยู่แล้ว ถึงอย่างไรหางไก่ก็มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้รสชาติน่าหลงใหลมากขึ้นไปอีก ตัวอย่างก็คือจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่จางต้าเฉียนนั่นเอง

หยวนโจวมีชื่อเสียงมากและทุกอย่างที่เขาทำก็ต้องอร่อยอย่างแน่นอน

และนี่ทำให้จำนวนออเดอร์ที่สั่งอาหารที่สาบสูญไปแล้วเกินกว่าที่หยวนโจวคาดคิดเอาไว้

ฉูเสี่ยวทำตัวตามปกติ หลังมื้ออาหาร เขาก็ออกไปเงียบๆโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำเดียว

หยวนโจวคุ้นเคยกับเรื่องนี้แล้ว เขาจึงทำอาหารต่อไปเงียบๆ

ผ่านไปหลายวันก็ถึงเวลาที่หยวนโจวต้องเดินทางไปต่างประเทศแล้ว เขาทิ้งข้อความเกี่ยวกับการลาหยุดของตัวเองเอาไว้ เจ้าสิ่งนี้จะทำหน้าที่แสดงเจตจำนงในการออกเดินทางของเขา

[เพื่อให้ฉันสามารถให้บริการลูกค้าของร้านนี้ เพื่อเพิ่มเครือข่ายระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาฝีมือการทำอาหารให้ดีขึ้น ฉันถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจเรื่องที่ยากลำบาก ด้วยเหตุนี้ฉันก็เลยต้องลาหยุดนานหนึ่งอาทิตย์ ฉันจะไปประเทศไทยเพื่อเรียนรู้แก่นแท้ของอาหารไทยเพื่อช่วยให้ฉันจัดเตรียมอาหารอร่อยๆให้บรรดาลูกค้าของฉันได้มากขึ้นอย่างไรเล่า]

กระดาษ A4 แผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าร้านหยวนโจวอีกครั้ง กระดาษเพียงแผ่นเดียวมากพอที่จะแสดงถึงความจนปัญญาของหยวนโจวและความจริงจังในการพัฒนาตัวเอง เขาเชื่อว่าลูกค้าของเขาจะต้องเข้าใจเหตุผลของเขา

เขาเชื่อว่าทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่ออนาคตที่ดี

แน่นอนว่าคำอธิบายเช่นนี้ของหยวนโจวย่อมเชื่อถือได้มากกว่านี้ถ้าไม่มีกระดาษ A4 เปล่าๆตั้งใหญ่วางเอาไว้ใต้โต๊ะ

หยวนโจวซื้อกระดาษตั้งนี้มาเพื่อให้ปิดประกาศได้ง่ายขึ้นในภายภาคหน้า

“จะว่าไปแล้วคนเราก็มีเรื่องให้ต้องด่วนตัดสินใจอย่างน้อยสองเรื่องในชีวิต เรื่องแรกก็คือเรื่องความรักและอีกเรื่องก็คือเรื่องการออกเดินทางในนาทีสุดท้าย” หยวนโจวพึมพำพลางมองไปที่ประกาศลาหยุดของเขา “ตอนนี้ฉันก็กำลังด่วนตัดสินใจเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ฉันเชื่อว่าเดี๋ยวก็คงมีครั้งที่สองตามมา”

เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านายโปรดใช้รางวัลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

หยวนโจวแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเจ้าระบบ เขาคุ้นเคยกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาคิดว่าเจ้าระบบนี้ช่างแสนโชคดีที่ได้มาเจอกับเจ้านายที่ไม่เจ้าอารมณ์อย่างเขา เจ้าระบบก็ช่างน่ารำคาญเกินไปหากเป็นผู้อื่นคงได้ถูกตีตายไปนานแล้ว

หยวนโจวจัดการธุระของตัวเองเกือบเสร็จแล้ว เขากำลังจะไปประเทศไทยจริงๆ อีกไม่นานเขาก็จะนั่งอยู่ในห้องโดยสารชั้นหนึ่งและอาจจะพักอยู่ในโรงแรมระดับห้าดาว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกเดินทางไปต่างประเทศด้วยตัวเองเลยก็ว่าได้ เมื่อนึกถึงห้องโดยสารชั้นหนึ่งที่เขาจะขึ้นแล้ว เขาก็ชักจะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียแล้ว

ถ้าหากหลี่เหยียนอี้รู้ว่าหยวนโจวกำลังคิดอะไรอยู่แล้วล่ะก็เขาคงอยากจะตีหยวนโจวให้ตายเป็นแน่ ถึงแม้ว่าจะไม่นับการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในช่วงก่อนหน้านี้ของหยวนโจวก็เถอะ นอกจากนี้หยวนโจวยังได้พักอยู่การในโรงแรมระดับห้าดาวระหว่างการเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ในช่วงก่อนหน้านี้ของเขาด้วย หลี่เหยียนอี้ไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายได้เท่ากับเขามาก่อนเลย

อันที่จริงแล้ว ความตื่นเต้นของหยวนโจวก็พอเข้าใจได้ สิ่งที่คนอื่นจ่ายให้อย่างไรก็แตกต่างจากสิ่งที่ต้องควักเงินออกจากกระเป๋าตัวเองอยู่แล้วล่ะ การที่ถูกเจ้าระบบหลอกให้เดินทางจะรู้สึกเหมือนกับกำลังเดินทางที่หลี่เหยียนอี้เป็นคนจัดการหรือเปล่านะ? ทั้งสองอย่างไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้โดยสิ้นเชิง

“ฉันลองตรวจสอบดูแล้วและพบว่าในอาทิตย์ที่จะถึงนี้ อุณหภูมิในประเทศไทยจะอยู่ที่ราวๆ 25 – 30 องศา นั่นมันค่อนข้างร้อนมากเชียวล่ะ” หยวนโจวพึมพำ

ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะเคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อน แต่การเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในช่วงก่อนหน้านี้ของเขาก็มีคนคอยจัดการทุกอย่างให้เขา คราวนี้เขาต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ตอนนี้อุณหภูมิที่เฉิงตูยังค่อนข้างหนาวอยู่เลย แต่พอไปถึงประเทศไทยก็น่าจะร้อนแล้วล่ะ

“ฉันจะอยู่ในประเทศไทยสักอาทิตย์นึงก็แล้วกัน เสื้อผ้าหกชุดก็น่าจะพอแหละนะ” หยวนโจวมองไปที่กระเป๋าเดินทางของตัวเอง

เขาเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อผ้าที่เขาจะใส่พรุ่งนี้ออกมาวางไว้ข้างๆ จากนั้นเขาก็หยิบเสื้อผ้าออกมาอีกหกชุดแล้ววางลงในกระเป๋าเดินทาง จากการค้นหาข้อมูลของเขา อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในประเทศไทยจะอยู่ที่มากกว่า 20 องศา ไม่ต่างอะไรกับฤดูร้อนเลย

ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่ได้มีเหงื่อมากสักเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวันอยู่ดีหากอุณหภูมิเหมือนกับในฤดูร้อนเสียขนาดนั้น เขาไม่อาจเข้าใจพวกคนที่เดินทางด้วยเสื้อผ้าแค่เพียงชุดหรือสองชุดที่น่าจะซักเสื้อผ้าที่โรงแรมแล้วค่อยนำมาสวมใส่อีกครั้งได้เลย จะได้อะไรขึ้นมาล่ะ? พวกเขาพักร้อนอยู่นะยังต้องมาซักผ้าอีกงั้นเหรอ?

“มาดูกันซิว่าฉันยังต้องเอาอะไรไปอีกด้วย” หยวนโจวเปิดโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งจะบันทึกภาพตัวอย่างเมื่อตอนที่เขาค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต

“โลชั่นกันแดด พลาสเตอร์ ยาที่จำเป็น ชุดเย็บปัก แว่นกันแดด ถุงมือ อุปกรณ์ซักผ้าและปลั๊กเดินทาง” หยวนโจวพึมพำขณะที่เขาตรวจสอบกระเป๋าเดินทางซ้ำเพื่อดูว่าเขามีของพวกนั้นครบแล้ว

“มีตัวเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับโลชั่นกันแดดหรือยังนะ? คูณ 30 กับ 50 งั้นเหรอ? เอาล่ะ เบอร์ยิ่งเยอะก็น่าจะดีกว่านะ” หยวนโจวเปิดโลชั่นกันแดดคูณ 50 แล้วลองดมดู กลิ่นไม่ค่อยจะน่าพอใจจริงๆนั่นแหละ แต่กลิ่นก็ไม่ได้แย่เหมือนกัน

“ฉันมีของครบทุกอย่างแล้ว แต่ฉันจะเอาปลั๊กเดินทางกับชุดเย็บปักไปทำอะไรกันเล่า?” หยวนโจวไม่เข้าใจเลย เขาสามารถแสดงท่าทีเฉยเมยได้ด้วยถุงมือเพียงคู่เดียวแต่ชุดเย็บปักล่ะ?

เขามีของทุกอย่างระหว่างการเดินทางไปซูเปอร์มาร์เก็ตครบแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ทราบจุดประสงค์ของอุปกรณ์ที่แนะนำพวกนั้น แต่เขาก็ยังซื้อทุกอย่างในรายการอยู่ดี

“สะบัดแขนเสื้อแล้วย่ำเมฆา” หยวนโจวท่องวลีง่ายๆขณะที่เขากำลังแอบย่องลากกระเป๋าเดินทางออกมาราวกับโจรก็ไม่ปาน

แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ เขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการพบปะกับลูกค้าของตัวเอง

หยวนโจวเป็นคนพูดน้อย หรือจะพูดง่ายๆก็คือเขาเป็นคนที่ไม่รู้วิธีจะพูดมากกว่า

คราวนี้หยวนโจวออกเดินทางหลังจากติดประกาศเอาไว้แล้ว แต่อู๋ไห่กลับดูใจเย็นอย่างน่าประหลาด

เขาไม่ได้บ่นไปสารพัดหรือขอตามหยวนโจวไปด้วย เขาเพียงแค่พยักหน้าอย่างใจเย็น

เมื่ออู๋ไห่ทำตัวเช่นนี้กลับส่งผลให้หยวนโจวรู้สึกสันหลังเย็นเฉียบ “ฉันหวังว่านายคงไม่ได้เตรียมวางแผนอะไรลับหลังฉันอยู่ใช่ไหม”

ในขณะที่กำลังเป็นกังวลเรื่องนี้ หยวนโจวรีบขึ้นรถแท็กซี่แล้วออกเดินทางไปสนามบิน

เมื่อเขาขึ้นเครื่องบินไปแล้วเห็นว่าอู๋ไห่ไม่ได้อยู่บนเครื่องด้วย เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา

“เขาทำตัวประหลาดชะมัดเลย ฉันสงสัยจังว่าเขาวางแผนจะทำอะไรกันแน่” หยวนโจวรู้สึกสงสัย

ถูกต้องแล้วล่ะ คราวที่แล้วที่หยวนโจวออกเดินทาง อู๋ไห่ก็ออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่งเหมือนกัน ดังนั้นอู๋ไห่จึงทำตัวเชื่อฟังในเวลานั้น แต่คราวนี้อู๋ไห่กลับเงียบไปทำให้หยวนโจวชักจะอยากรู้ขึ้นมาตะหงิดๆเสียแล้ว

แต่เนื่องจากไม่เห็นอู๋ไห่อยู่บนเครื่องบิน หยวนโจวจึงพอที่จะคลายความวิตกของตัวเองลงไปได้บ้าง

“ประเทศไทย ฉันมาแล้ว” หยวนโจวสรรเสริญอยู่ในใจขณะที่เขาเหลือบมองท้องฟ้าภายนอก

ถึงอย่างไรหยวนโจวก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตารอคอยการเดินทางไปประเทศไทยของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ห้องโดยสารยังสะดวกสบายมากและเขาก็มีโรงแรมระดับห้าดาวรออยู่ นอกจากนี้ก็ยังมีการเตรียมเงินทุนสำหรับการเดินทางของเขาเอาไว้แล้วด้วย ทั้งหมดนี้ได้มาจากการเจรจาต่อรองกับเจ้าระบบนั่นเอง

 

 

 

ตอนที่ 769

 

มาถึงประเทศไทย

เที่ยวบินของสิงคโปร์แอร์ไลน์ช่างแสนสะดวกสบายแถมแอร์โฮสเตสยังสวยมากอีกต่างหาก แม้แต่สจ๊วตพวกนั้นก็แค่หล่อน้อยกว่าหยวนโจวเพียงนิดเดียวเท่านั้น พวกเขาให้บริการดีมากจนทำให้หยวนโจวอารมณ์ดี หยวนโจวรู้สึกดีมากทีเดียว เขาเชื่อว่าตัวเองสามารถกินข้าวได้หลายถ้วยในรวดเดียวทันทีที่ออกบินเลยล่ะ

หยวนโจวเตือนแอร์โฮสเตสว่าถ้าหากเขาเผลอหลับระหว่างมื้ออาหารก็ให้พวกเขาไม่ต้องปลุก

“ดึงตัวเองออกมาจากงานยุ่งๆแล้วผ่อนคลายจิตวิญญาณตัวเองเสียบ้าง” หยวนโจวพึมพำด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะหลับตานอน

ในขณะเดียวกัน มีสิ่งของวางระเกะระกะอยู่นอกร้านหยวนโจว ถึงแม้ว่าร้านหยวนจะติดประกาศทั้งยังเอ่ยปากบอกลูกค้าบางคนระหว่างเปิดร้านเอาไว้แล้วก็ตามที แต่มีลูกค้าเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นวันนี้จึงยังมีลูกค้าบางคนมาที่นี่อยู่เพราะคิดจะให้รางวัลตนเองด้วยอาหารดีๆสักมื้อ

เมื่อพวกเขามาถึงก็พบว่าประตูร้านปิดอยู่ ถึงแม้ว่าตรงทางเข้าจะยังมีแสงสว่างส่องอยู่ก็เถอะ แต่กลับมีกระดาษ A4 ที่โดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าโคมไฟแปะอยู่บนประตู พวกเขาถึงกับอึ้งงันไปทันทีเมื่อเห็นประกาศ

“ปัง เถ้าแก่หยวนอู้อีกแล้ว”

“เขาไปประเทศไทยงั้นเหรอ? เขาไปตามหากะเทยหรือไง? ถ้าเขาต้องการอะไรแบบนั้นไม่ต้องไปถึงประเทศไทยหรอกน่า พวกเราไม่ลองให้เถ้าแก่ใหญ่ในชุดสตรีดูล่ะ? แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว”

“นี่ต้องเป็นภาพลวงตา ทุกอย่างเป็นภาพลวงตา”

บรรดาลูกค้าเริ่มปรึกษาหารือเรื่องที่หยวนโจวลาหยุด บางคนเป็นลูกค้าขาประจำ บางคนเป็นลูกค้าใหม่และบางคนก็เป็นลูกค้าที่มาที่นี่แค่ไม่กี่ครั้ง ตอนนี้พวกเขามีเอกลักษณ์ร่วมกันคือ คนที่ถูกทอดทิ้ง

เถ้าแก่ใหญ่ในชุดสตรีที่เรียกกันเป็นลูกค้าชายคนหนึ่งที่ชอบแต่งตัวในชุดสตรีจะที่จะมาที่ร้านเป็นบางครั้งบางคราว เนื่องจากเขามีท่าทางเย็นชาจึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก ดังนั้นจึงมีคนรู้เรื่องของเขาน้อยมาก

“เพื่อทำอาหารให้อร่อยยิ่งขึ้นงั้นเหรอ? นั่นเป็นข้ออ้างของเจ้าเข็มทิศชัดๆ เขาไปที่นั่นเพื่อทำเรื่องสนุกๆเท่านั้นแหละน่า”

“เขาเป็นคนพเนจรไปแล้ว”

“ฉันมักจะเชื่อทุกสิ่งที่เถ้าแก่หยวนพูดนะ แต่ฉันไม่เชื่อประกาศลาหยุดนี้สักคำหรอก”

ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่แน่ใจกับข้ออ้างบนประกาศลาหยุด พวกเขาต่างถูกำปั้นอย่างโกรธเกรี้ยว ถ้าหากตอนนี้หยวนโจวถูกพวกเขาจับตัวได้แล้วล่ะก็เขาคงได้รับ “ความรัก” อันท่วมท้นล้นหลามของพวกเขาอย่างแน่นอน

โชคดีที่สมาชิกของคณะกรรมการเข้าคิวอยู่ที่นี่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย มิฉะนั้น สิ่งนี้คงจะเป็นจุดเริ่มต้นของการประท้วงที่ถนนเถ่าซือเป็นครั้งแรก

ประมาณสิบเอ็ดโมงเช้า มีลูกค้ามาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนกลับไปทันทีที่เห็นประกาศ บางคนรออยู่สักครู่เนื่องจากไม่เชื่อประกาศและบางคนวางแผนที่จะหาอะไรกินแถวนี้แทนในเมื่อพวกเขาก็อยู่ที่นี่แล้ว

ดังนั้น ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกของลี่ลี่ที่อยู่ห่างจากร้านหยวนโจวไปสองร้านจึงเป็นตัวเลือกที่ดี ถึงอย่างไรร้านของเขาก็ตกแต่งได้สวยงามมากจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น บทวิจารณ์ทางอินเตอร์เน็ตฉบับล่าสุดของร้านนี้ยังค่อนข้างเป็นที่นิยมมากทีเดียว

ดังนั้นวันนี้ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกของลี่ลี่จึงมีลูกค้าเยอะกว่าปกติ

ลี่ลี่ที่เป็นหัวหน้าเชฟสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงเนื่องจากจำนวนออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างล้นหลามที่เขาได้รับจากบริกรหญิง

“เริ่มมีเทรนด์การรับประทานอาหารสไตล์ตะวันตกหรืออะไรแบบนั้นงั้นเหรอ?” ลี่ลี่รู้สึกข้องใจ ถึงอย่างไรอัตราส่วนระหว่างคุณภาพกับราคาของร้านอาหารสไตล์ตะวันตกของลี่ลี่ก็ค่อนข้างแพง โชคดีที่ร้านหยวนโจวที่อยู่ละแวกข้างเคียงกันนั้นมีราคาแพงพอๆกัน เขาจึงสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยบรรดาลูกค้าอันเนืองแน่นที่เหลือจากร้านหยวนโจว

หลังจากจัดการทุกอย่างในครัวจนเสร็จสรรพแล้ว ลี่ลี่ก็เดินออกมาจากครัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ทันที่เขามองดูก็พบว่าบรรดาลูกค้าทั้งหลายต่างเป็นลูกค้าขาประจำของหยวนโจวนั่นเอง

ทำไมวันนี้พวกลูกค้าขาประจำของหยวนโจวถึงมาที่นี่กันเล่า? ยังค่อนข้างเช้าอยู่เลยแท้ๆ ตอนนี้พวกเขาต้องไปต่อคิวอยู่หน้าร้านหยวนโจวนี่นา

หรือว่า…

“หรือว่าฝีมือการทำอาหารของฉันจะดีขึ้นกันนะ?” นี่เป็นเพียงคำอธิบายเดียวที่ลี่ลี่นึกออก เมื่อเขานึกได้เช่นนี้แล้ว หัวใจของเขาก็เริ่มเร่าร้อนไปด้วยความตื่นเต้น

“ผู้จัดการหวัง วันนี้พวกเรามีลูกค้าเยอะ ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยล่ะว่าพวกเรารักษาคุณภาพการให้บริการของเรา…”

ลี่ลี่บอกผู้จัดการด้วยความรู้สึกค่อนข้างภาคภูมิใจราวกับชายชราที่จู่ๆก็ถูกจุดประกายความเร่าร้อนเมื่อครั้งยังเยาว์วัยขึ้นมาก็ไม่ปาน

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้สั่งการให้เรียบร้อย ผู้จัดการเล่าเรื่องบางอย่างให้เขาฟังด้วยความร่าเริงว่า “หัวหน้าเชฟครับ ผมได้ยินมาจากลูกค้าว่าหยวนโจวหยุดยาวอาทิตย์หนึ่ง กิจการของเราคงดีมากในช่วงวันหยุดของเขาแน่ๆเลย”

“หยุดยาวอาทิตย์นึงงั้นเหรอ…” ลี่ลี่ตะลึงงันไปเล็กน้อยก่อนเขาจะหันหลังกลับเข้าครัว

ดูเหมือนว่าลี่ลี่จะอดเป็นกังวลไม่ได้เลย…

ย้อนกลับไปที่ร้านหยวนโจวกันบ้าง

“โชคร้ายชะมัด โชคร้ายชะมัดเลย”

“ฉันหวังว่าเถ้าแก่หยวนจะกลับมาทันเวลานะ”

“ฉันคิดว่าตอนนี้เจ้าจิตรกรอู๋คงจะคลั่งไปแล้วแน่ๆเลย”

นี่คือบทสนทนาระหว่างพ่อค้าแม่ขายแผงลอยตรงหน้าร้านหยวนโจว จำนวนผู้คนอันเนืองแน่นที่ถนนเถ่าซือแห่งนี้ช่างแตกต่างไปมากเมื่อเถ้าแก่หยวนไม่อยู่

ดังนั้นพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายจึงเริ่มวางแผนที่จะหยุดไปสักสองสามวันเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีบางคนที่วางแผนยุติกิจการก่อนอาทิตย์หนึ่ง พ่อค้าแม่ขายเหล่านี้ค่อนข้างเคารพในตัวอู๋ไห่มากเนื่องจากเขามีสถานะเป็นจิตรกรในท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในรุ่นนี้

ถ้าหากคนที่นี่จัดอับดับจากความนิยมของพวกเขาแล้วก็น่าจะเป็นหยวนโจวตามมาด้วยอู๋ไห่และสุดท้ายเจียงฉางซี่นั่นเอง

“เขาลาหยุดอีกแล้วงั้นเหรอ? ลาหยุดนานอาทิตย์นึงเชียวรึ?” หลี่เหยียนอี้ขมวดคิ้วพลางบ่นพึมพำ “ฉันมาช้าเกินไปเสียแล้ว ดูเหมือนว่าฉันคงได้แต่มาลองชิมอาหารที่สาบสูญไปคราวหน้าแล้วล่ะ” จากนั้นเขาก็เดินจากไปพร้อมไพล่มือเอาไว้ด้านหลัง ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้ยินมาว่าอาหารที่สาบสูญไปแล้วได้รับการคืนชีพขึ้นที่นี่ เขาไม่ได้อยู่แถวนี้และเพิ่งจะกลับมาเฉิงตูวันนี้เอง เขารีบมาที่นี่ทันทีหลังจากกลับมาแล้ว แต่ก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี

มีรถรอเขาอยู่ตรงสี่แยก ในเมื่อร้านหยวนโจวไม่เปิด หลี่เหยียนอี้จึงไม่รู้สึกอยากอยู่แถวนี้อีก ถึงแม้ว่าเขาจะหิว แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะกลับมาทำอาหารเองแทน

ตอนเที่ยงตรง อู๋ไห่ปรากฏตัวอยู่ในชุดกีฬา เขาแทบจะไม่เคยแต่งตัวแบบนี้เลย เขาเดินเรื่อยเปื่อยไปร้านหยวนโจว บรรดาลูกค้าต่างหลีกทางให้เขาแล้วจับจ้องไปที่อู๋ไห่เพื่อรอดูปฏิกิริยาตอบสนองของเขากับเรื่องนี้ อู๋ไห่เป็นแฟนตัวยงอันดับหนึ่งของร้านหยวนโจว เขาจะมาที่นี่เกือบทุกวันเพราะเป็นคนที่ร้านหยวนโจวเลี้ยงอาหารราวกับเป็นห้องรับประทานอาหารค่ำส่วนตัวของเขาก็ไม่ปาน

อันที่จริงแล้ว หลายคนก็อยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน น่าเสียดายที่พวกที่มีเวลาว่างพอจะทำแบบนั้นกลับไม่สามารถจ่ายได้ไหว ในขณะที่พวกที่สามารถจ่ายไหวก็ไม่มีเวลาว่างพอที่จะทำได้ ดังนั้นอู๋ไห่จึงเป็นมีความพิเศษในแง่ที่ว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ใช้ร้านนี้เป็นห้องรับประทานอาหารค่ำส่วนตัวของเขา

ภายใต้สายตาของทุกคน อู๋ไห่หยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนลงกล่องใส่เงินไปเรื่อยเปื่อย ต่อมาเขาก็หันหลังเดินจากไปราวกับว่าเขาไม่สังเกตเห็นประกาศลาหยุดเลยสักนิด

“อู๋ไห่ นายไม่เห็นประกาศลาหยุดของเถ้าแก่หยวนงั้นเหรอ?” ลูกค้าที่อดจะรอดูปฏิกิริยาตอบสนองของอู๋ไห่ไม่ได้อีกต่อไปกล่าวเตือน

“อืม ฉันรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ” อู๋ไห่ตอบอย่างใจเย็น

น้ำเสียงใจเย็นของเขาปฏิเสธทุกคนที่นั่น ควรรู้ว่าเมื่อก่อนหน้านี้หยวนโจวก็เคยลาหยุดหนึ่งวันมาแล้วทำเอาอู๋ไห่ถึงกับคลั่งด้วยความกระสับกระส่ายราวกับว่าเขากำลังจะย้ายร้านอย่างไรอย่างนั้นแหละ ตอนนี้หยวนโจวปิดร้านไปอาทิตย์หนึ่ง อู๋ไห่กลับทำตัวแบบนี้งั้นเหรอ? นี่มันสมเหตุสมผลแล้วงั้นเหรอ?

เรื่องนี้มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!

“แต่ว่านะอู๋ไห่ นายจะอดทานอาหารของเถ้าแก่หยวนเพราะตอนนี้เขาจะอยู่ในประเทศไทยอาทิตย์นึงเชียวล่ะ” ลูกค้ากล่าวเสริม

“บังเอิญว่าวันนี้ฉันกำลังจะออกเดินทางไปกุ้ยโจวเพื่อวาดภาพภูเขาพอดีเลยน่ะสิ คงจะใช้เวลาสักห้าถึงเจ็ดวันกว่าจะกลับมาแหละนะ” จากนั้นอู๋ไห่ก็เริ่มหัวเราะด้วยความเบิกบานพลางกล่าวเสริมว่า “ยังไงเสียช่วงนี้ฉันก็ไม่ได้ทานอาหารของเถ้าแก่หยวน นับว่าเป็นเรื่องดีแล้วล่ะที่เจ้าเข็มทิศไปประเทศไทย ตอนนี้พวกนายต่างก็ต้องประสบชะตากรรมเดียวกันกับฉัน ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า รู้สึกดีอะไรแบบนี้นะ!”

อู๋ไห่ออกไปพลางหัวเราะไปตลอดทางกลับบ้าน

บรรดาลูกค้าทั้งหมดถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว

ทุกคนที่นั่นรวมทั้งพ่อค้าแม่ขายต่างจ้องมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปของอู๋ไห่ทั้งยังได้ยินเสียงหัวเราะดังแสบแก้วหูของเขา พวกเขาล่ะอยากจะตีอู๋ไห่ให้ตายเสียจริงเชียว!

Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ

Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ

Status: Ongoing

ณ ประเทศตะวันออกที่ห่างไกลมีร้านอาหารเล็ก ๆ แปลก ๆ แห่งหนึ่งที่อาจหาญกล้า ‘ปฏิเสธการจัดอันดับสามดาว‘ โดย Michelin Guide อยู่หลายครั้ง อาหารที่นี่ราคาแพงมากข้าวผัดธรรมดาจานหนึ่งกับซุปหนึ่งชาม ราคาก็ปาเข้าไป 288 หยวนแล้ว (ประมาณ 1500 บาท) เคี่ยวขนาดนี้ก็ยังมีคนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจะรอกิน อ้อ… ที่นี่เขาไม่รับจองคิวด้วยนะ! แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาเพื่อจองคิวอีก! ทำไมต้องนั่งเครื่องบินน่ะเหรอ ก็เขาไม่มีที่จอดรถให้น่ะสิ ที่นี่บริการแย่ ลูกค้ากินแล้วต้องล้างจานเช็ดโต๊ะเอง ไม่รู้เจ้าของร้านคิดอะไรอยู่… สงสัยคงเป็นคนบ้าคนหนึ่ง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท