หยู่เหวินเห้าเห็นแล้วก็เศร้าใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เขาไม่เคยเห็นสถานการณ์ศพกองพะเนิน บนสนามรบ ไม่ต้องพูดถึงศพไม่กี่ร้อยศพ เป็นพันๆหมื่นๆก็เห็นมาแล้ว
แต่ว่า ทหารเหล่านั้นตายอย่างมีคุณค่า พวกเขาเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเมือง ตอนมีชีวิตและหลังจากเสียชีวิตพวกเขาล้วนมีค่าที่จะนับถือ
แต่คนเหล่านี้ ตอนมีชีวิตก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก หลังจากตายแล้วก็เต็มไปด้วยความยากลำบากยิ่งกว่า ตอนมีชีวิตและหลังจากที่ตายแล้วล้วนถูกผู้คนละทิ้งรังเกียจ
ก็เหมือนกับตัวอ่อนของแมลงวันตัวหนึ่ง ทำให้คนอยากจะอาเจียนแม้ได้มองเพียงแค่แวบเดียว
ดังนั้น หากบอกว่าแรกเริ่มหยู่เหวินเห้าตัดสินใจต้องการให้การรักษาผู้คนที่เขาโรคเรื้อนเป็นเพราะสนับสนุนหยวนชิงหลิง ตอนนี้เห็นทุกอย่างแล้ว เป็นความยินยอมของเขาเองแล้ว
พวกเขาใช้อีกเส้นทางหนึ่งเดินไปทางกำแพงที่ล้อมไว้ สามารถมองเห็นคนป่วยเป็นกลุ่มๆบางตานั่งอยู่บนที่ราบเรียบหน้าประตู ระยะทางค่อนข้างไกล แต่ก็สามารถมองรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมากของพวกเขาออกได้
พวกเขามีทั้งผู้ชายผู้หญิง มีทั้งคนแก่และเด็ก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง หน้าตาเหงาหงอย ใกล้อีกหน่อย สามารถมองเห็นดวงตาที่เหมือนไร้ชีวิตชีวาเช่นนั้นของพวกเขา
หมันเอ๋อตกตะลึง “ทำไมยังมีเด็กๆด้วยล่ะ? พระชายารัชทายาท ท่านไม่ได้บอกว่าโรคนี้ตั้งแต่ติดเชื้อจนโรคกำเริบต้องใช้เวลาสองสามปีหรือ? ทำไมถึงมีเด็กได้เพคะ?”
หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เด็กๆเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กที่ส่งขึ้นมาทีหลัง หลังจากที่พ่อแม่อาการกำเริบแล้ว ผ่านไปสองสามปี ก็พบว่าเด็กๆอาการกำเริบแล้ว จึงส่งขึ้นมา”
เหล่านี้คือทังหยางไปตรวจสอบแล้วกลับมารายงานให้เขารู้ ขณะนั้นฟังแล้ว จิตใจก็ไม่ได้มีความแปรปรวนอะไร แต่ตอนนี้เห็นแล้ว ในใจของเขารู้สึกเป็นทุกข์จริงๆ
ตัวเองเป็นพ่อคน ลูกของเขาอยู่ในจวนกินอยู่ดีมีเสื้อผ้าดีๆใส่ แต่เด็กๆเหล่านี้ ดูท่าทางแล้วก็เจ็ดแปดขวบ แต่กลับถูกเงาแห่งความตายครอบคลุมไว้ ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่สามารถได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองได้อีก
หยวนชิงหลิงเคยดูข้อมูลตัวเลขอ้างอิงที่ทังหยางให้กลับมา ตอนนี้บนเขามีเด็กสามสิบคน เด็กที่โตที่สุดอายุสิบสี่ปี เล็กที่สุดหกขวบ คนป่วยที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ส่งขึ้นมาเมื่อห้าปีก่อนทั้งหมด สองสามปีนี้ เพียงแค่พบคนป่วยโรคเรื้อนก็จะส่งขึ้นเขาหมด แม้กระทั่งสงสัยว่าเป็นอาการป่วยคล้ายกันก็ล้วนส่งขึ้นมาแล้ว ไม่สนว่าเป็นเด็กหรือคนแก่
หยู่เหวินเห้าขยิบตาให้สวีอี สวีอีจึงใส่ผ้าปิดปาก พลิกตัวข้ามรั่วเดินไปทางผู้คนเหล่านั้น
โดยปกติทหารเฝ้าระวังจะไม่สนความเคลื่อนไหวของด้านใน พวกเขามีบ้านหลังหนึ่งอยู่ด้านนอก ดังนั้น แม้ว่าจะมีคนสองคนเข้าไป ทหารเฝ้าระวังก็สังเกตไม่เห็น เพียงแค่จำนวนคนไม่มากหรือไม่ได้เข้ามาจากด้านหน้าก็พอแล้ว
แรกเริ่มขณะที่สวีอีเข้าไป คนเหล่านั้นก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ทุกใบหน้าล้วนเพิกเฉยชินชา แม้แต่เด็กๆก็เป็น แม้ว่าจะมีที่ว่างส่วนหนึ่ง พวกเด็กๆก็ไม่ได้เล่นกัน เพียงแค่นั่งอยู่บนพื้นหรือนอนอยู่บนพื้นเงียบๆ
สวีอีสนทนากับคนหนึ่งในนั้นอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แต่คนป่วยผู้นั้นแรกเริ่มไม่ได้สนใจเขา หลังจากนั้นสวีอีเอาเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งยื่นให้คนผู้นั้นอย่างเงียบๆ พริบตานั้นก็เผยให้เห็นดวงตาตะกละเช่นนั้นออกมา จับจ้องเนื้อชิ้นนั้นติดๆ สวีอีชี้ไปที่ป่าทึบ คนผู้นั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปพร้อมกับสวีอี
ไม่กี่คนนั้นล้วนใส่ผ้าปิดปาก รอสวีอีพาคนป่วยผู้นั้นเข้ามา
คนผู้นั้นดูแล้วท่าทางคือห้าหกสิบปี ผอมแห้งเห็นกระดูก ไม่สวมรองเท้า เพราะนิ้วเท้าเปลี่ยนรูปแล้ว กระดูกนิ้วมือก็ดูออกว่าเปลี่ยนรูปแล้ว และไม่มีนิ้วแล้วสามนิ้ว กลมๆแบนๆด้านบนนิ้วมือคือสะเก็ดที่ม่วงครึ่งหนึ่งแดงครึ่งหนึ่ง
จุดๆบนใบหน้าแข็งรวมกันเป็นชิ้นๆ กลายเป็นสีเทาดำแล้ว นี่ก็เกี่ยวข้องกับที่เขาไม่ได้ล้างหน้าด้วย รอยพับย่นล้วนซ่อนเต็มไปด้วยโคลนและสิ่งสกปรก ทั้งร่างส่งกลิ่นเหม็น
เขานั่งบนพื้น สวีอีให้เขากินเนื้อ เขาดูเหมือนหมาป่าแก่ที่อ่อนแอและกลับหิวโหยเป็นที่สุด ฉีกกัดกินเนื้อแห้งชิ้นนั้น
หยวนชิงหลิงกล่าวถาม “ผู้เฒ่า ข้าถามท่านสองสามเรื่อง ได้ไหม?”
คนผู้นั้นได้ยินคำพูดของหยวนชิงหลิง เงยหน้าแล้ว สะเก็ดแผลบนเปลือกตาก็ยกขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นรอยยิ้มแปลกประหลาด “ผู้เฒ่า?”
เสียงของเขา แหบแห้งจนแทบจะแยกไม่ออก รอยยิ้มแปลกประหลาดนั้นทำให้ใบหน้าของเขาดูเหมือนดั่งเนื้อจามรีถูกลมพัดแห้ง ไม่มีส่วนของน้ำแม้แต่น้อย
เขาไม่เหมือนคน กลับเหมือนดั่งปีศาจในนรก
สวีอีกล่าวเบาๆ “เขาบอกว่า เขาอายุสามสิบสองปี”
ทันใดนั้น เงียบกริบไร้คำพูด มีเพียงลมที่แฝงไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่านั่นที่พัดผ่านข้างหูไม่หยุด
สักพักหนึ่ง หยวนชิงหลิงบอกให้สวีอีเอาขนมเปี๊ยะโรยหน้างาอีกชิ้นหนึ่งให้ พวกเขาล้วนเอาเสบียงอาหารแห้งขึ้นเขา สวีอีให้ชิ้นหนึ่ง เขาก็กินขึ้นมาแล้ว กัดกินอย่างมูมมาม เหมือนกับว่ากินช้าก็จะไม่มีแล้ว
หยวนชิงหลิงกล่าว “ท่านกินช้าๆหน่อยเถอะ ระวังสำลัก”
คนผู้นั้นหัวเราะอย่างเย็นยะเยือกขึ้นมา หัวเราะจนน่ากลัวมาก “สำลักตายดีสิ อย่างน้องก็ได้กินอิ่มไปมื้อหนึ่ง”
หยวนชิงหลิงมองไปทางหยู่เหวินเห้า ใบหน้าของหยู่เหวินเห้าไม่เคยจริงจังและตกใจมาก่อน เขาไม่เปล่งเสียงสักคำ เพียงแค่มองดูคนผู้นั้นกินขนมเปี๊ยะโรยหน้างา
รอเขากินเสร็จแล้ว หยู่เหวินเห้าจึงถาม “เจ้าชื่ออะไร? พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าวปลาอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการหรือ?”
คนผู้นั้นดูดเศษที่อยู่บนนิ้วมือ อีกทั้งกลับคืนเป็นความเย็นชาแล้วกล่าว “ข้าชื่อหลี่เห้อ หนึ่งวันมีของกินหนึ่งมื้อ ของที่กินล้วนเป็นขนมรังนก แห้ง เน่าเสีย มากที่สุดคือกินข้าวต้มรำข้าว เมื่อวานวันไหว้พระจันทร์ กินหมั่นโถวหน้าขาวมื้อหนึ่ง ปีหนึ่งสามารถกินได้สองครั้ง วันไหว้พระจันทร์และปีใหม่”
คนป่วยต้องการอาหารบำรุงในตัวเอง กินอาหารเช่นนี้ เทียบไม่ได้แม้แต่สุนัข จะมีการบำรุงได้อย่างไร? มิน่าล่ะแต่ละคนดูแล้วล้วนมีท่าทางผอมหนังหุ้มกระดูก
“ข้างในนี้ยังมีคนอีกเท่าไหร่?” หยู่เหวินเห้าถามอีก
หลี่เห้อกล่าว “โดยละเอียดไม่รู้ ประมาณสามร้อยล่ะมั้ง ยังไงซะไม่กี่ปีนี้มีคนตายมากมาย และบางครั้งก็มีคนถูกส่งขึ้นมา ที่นี่คือสุสานคนเป็น ขึ้นมาก็คือนับถอยหลังวันสู่วันตาย ใครจะสนใจว่ายังมีอีกกี่คนล่ะ”
หยวนชิงหลิงถาม “คนในครอบครัวของพวกเจ้าเคยขึ้นมาเยี่ยมเจ้าหรือไม่?”
หลี่เห้อชะงักเล็กน้อย “คนในครอบครัว?”
เขาหัวเราะขึ้นมาแล้ว หัวเราะจนเหมือนร้องไห้เช่นนั้น “ไม่สามารถให้พวกเขาขึ้นมาได้หรอก ขึ้นมาทำอะไรล่ะ? ติดโรคแล้วก็ถูกส่งมาที่นี่อีกหรือ?”
หมันเอ๋อฟังจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว กล่าวถามด้วยความงงงัน “ท่านคิดถึงคนในครอบครัวไหม?”
หลี่เห้อนิ่งแล้ว ส่ายหน้าอย่างไร้ความรู้สึก “ไม่คิด ไม่กล้าคิด คิดแล้วแค่วันหนึ่งก็มีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว”
เขาหันหน้ามองไปทางด้านหลัง ชี้ไปทางหน้าผาด้านหลังสิ่งปลูกสร้าง กล่าวพึมพำ “คนมากมายเท่าไหร่แล้วที่กระโดดลงไปเพราะคิดถึงบ้าน? ข้าอิจฉาความกล้าหาญของพวกเขานัก อันที่จริงไม่ว่ายังไงก็ล้วนรอความตายเท่านั้น ทำไมถึงไม่กล้ากระโดดล่ะ? ก็เพราะข้าไม่กล้ากระโดดนี่”
หยวนชิงหลิงมองความอยากตายในดวงตาของเขาออก รีบกล่าว “หลี่เห้อ เจ้าฟังข้าพูด อย่าหาที่ตาย ลำบากเท่าไหร่ตรากตรำเพียงไหนต้องอดทนไว้ก่อน ข้าจะคิดหาทางช่วยเหลือพวกเจ้า”
หลี่เห้อมองดูนาง ในดวงตาที่หรี่ขึ้นมานั่นมีประกายการเยาะเย้ยออกมา ยิ้มขึ้นมาด้วยความสุข “ช่วยพวกเรา? เจ้าเป็นใคร? เป็นเทพเซียนลงมาจุติหรือ? พวกเราป่วยเป็นโรคร้ายแรง ตายเป็นแน่ ใครจะสามารถช่วยพวกเราได้?”
เขาพูดพลาง ลุกขึ้นมาด้วยความโซเซ เดินไปทางสิ่งปลูกสร้างทางนั้นแล้ว
ทั้งสี่คนไม่ได้พูดจาอยู่นาน มองดูคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามป่าทึบ มีหลายคนมองมาแล้ว แต่ ไม่มีคนมีความสนใจ พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งความแปลกใจแล้ว เงาแห่งความตายทรมานพวกเขาจนสูญเสียความเฝ้าหวังและความสนใจทุกอย่างต่อโลกมนุษย์แล้ว
เป็นเวลาเนิ่นนาน หยู่เหวินเห้ากล่าวขึ้นเงียบๆ “พวกเราลงเขา กลับเมืองหลวงเถอะ