หยู่เหวินเห้าเห็นหยวนชิงหลิงที่เหนื่อยกลับมาทุกวัน รู้สึกเสียใจที่ให้นางไปที่เขา เป็นเรื่องยากนักที่คืนนี้ได้กลับมาเร็วหน่อย เขากินมื้อดึกเป็นเพื่อนนาง มองเห็นขอบตาที่ดำคล้ำของนาง ก็พูดอย่างสงสาร พรุ่งนี้อย่าเพิ่งไปเลย พักสักสองวันเถอะ หากเจ้ายังฝืนต่อไป ผู้ป่วยนั้นดีขึ้น ชีวิตเจ้าก็ต้องเสี่ยงเข้าไปด้วย
หยวนชิงหลิงเหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว กินไปสองสามคำ ก็วางตะเกียบลง “ไม่ได้ พักไม่ได้ งานเยอะเกินไป ผู้ป่วยสามร้อยกว่าคน ในหนึ่งวันรักษาได้เพียงห้าสิบคน หากพักผ่อน การดำเนินงานก็จะล่าช้า”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว “แล้วชีวิตของเจ้าไม่เอาแล้วหรือ?”
“ท่านวางใจเถอะ ข้าจะจัดเวลาอย่างดี อยู่บนเขาตอนเที่ยงสามารถพักผ่อนครึ่งชั่วยาม ข้ารู้ร่างกายของตัวเองดี” หยวนชิงหลิงปลอบเขา จากนั้นก็คลานขึ้นไปบนเตียงอรหันต์ ถึงบนเตียงก็หลับไปเลย
หยู่เหวินเห้าเห็นแบบนี้ ก็ถอนหายใจ เรียกคนมาเก็บของออกไป แล้วก็อุ้มนางไปพักผ่อนบนเตียง
เช้าวันรุ่งขึ้น หยวนชิงหลิงยังคงตื่นแต่เช้า ง่วงนอนจนต้องหาวอยู่ตลอดเวลา แบกยาถุงใหญ่ออกเดินทาง เพิ่งจะมาถึงลานสวน ก็ถูกท่านชายสี่เหลิ่งขวางเอาไว้
เห็นสีหน้าที่มืดมนของท่านชายสี่เหลิ่ง หยวนชิงหลิงพยายามลืมตาให้กว้าง “ท่านชายสี่ ตื่นเช้าจัง? รัชทายาทยังไม่ตื่นเลย”
ท่านชายสี่เหลิ่งมองนางที่จะออกไปอีกแล้ว ก็กล่าวอย่างโกรธเคือง “หลายวันมานี้เจ้าเอาแต่ออกไปข้างนอก ยังจำเรื่องที่เป็นการเป็นงานได้มั้ย!”
ในหัวของหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยเรื่องราวของคนไข้ ในทันทีก็ไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร แล้วถาม “เรื่องเป็นการเป็นงานอะไร?”
ท่านชายสี่เหลิ่งเห็นนางแม้แต่เรื่องที่จะเรียนวรยุทธ์ก็จำไม่ได้แล้ว ยิ่งฉุนเฉียวเข้าไปใหญ่ “เรียนวรยุทธ์ เรียนวรยุทธ์!”
ทำไมถึงได้รับลูกศิษย์ที่ไร้ประโยชน์เช่นเจ้าด้วยนะ? มีคนตั้งเท่าไหร่เอาเงินมาให้เขาตั้งมากมายเพื่อให้เขาแนะนำสั่งสอน เขายังไม่สนใจ ตอนนี้สอนโดยไม่คิดเงิน นางยังไม่ให้ความสำคัญ
หยวนชิงหลิงเข้าใจขึ้นมาทันที “อ้อ เรื่องเรียนวรยุทธ์เหรอ? ได้ คืนนี้ข้าจะกลับมาตั้งใจเรียน ตอนนี้มีธุระสำคัญต้องไปทำ”
“เรื่องสำคัญอะไร? พรุ่งนี้ค่อยไป วันนี้ยังไงก็ต้องเรียน” ท่านชายสี่เหลิ่งถามาอย่างเย็นชา อย่างที่เขาว่าลาขี้เกียจกับคนโง่นั้นสอนไม่ได้ ตอนหลังเขานึกขึ้นได้ ตอนแรกที่รับปากจะบริจาคเงินให้สถานฝูโย่ว ก็เพราะว่าหยวนชิงหลิงรับปากจะเรียนวรยุทธ์กับเขา ตอนนี้เงินก็บริจาคไปแล้ว นางจะปัดความรับผิดชอบแล้วหรือ น่าเจ็บใจมาก
“ชีวิตคนสำคัญกว่า จริงๆ สำคัญมาก พรุ่งนี้ค่อยเรียน ข้าไปก่อนล่ะ” หยวนชิงหลิงก้มตัวแล้ววิ่งไปเลย
ท่านชายสี่โกรธจนอยากจะฆ่าคน รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่หนทาง เสียเวลานานเกินไป ปรับอารมณ์ ก็ไปที่ห้องนอนของหรงเยว่ดึงนางที่กำลังหลับสบายขึ้นมา “หรงเยว่ เตรียมม้า พวกเราไปดูว่าหยวนชิงหลิงไปทำอะไร”
หรงเยว่ที่สะลึมสะลือขยี้ตาไปครู่หนึ่ง มองไปใบหน้าที่จะฆ่าคนของนายท่าน ก็ตื่นตัวทันที “เป็นอะไร?”
“เตรียมม้า!” ท่านชายสี่เหลิ่งดึงหูของนางเอาไว้ ตะโกนไปหนึ่งที
หรงเยว่ตกใจจนสะดุ้ง รีบวิ่งจากเตียงไปเตรียมม้า ช่วงนี้นายท่านอารมณ์ไม่ค่อยจะดี อย่าไปยั่วโมโหจะดีที่สุด
ทั้งสองคนก็แอบติดตามรถม้าของหยวนชิงหลิงออกไปนอกเมือง เมื่อมาถึงประตูเมือง ประตูเมืองเพิ่งจะเปิด ท้องฟ้ายังมืดครึ้มอยู่เลย ลมแรงมาก อากาศเริ่มหนาวแล้ว
ข้างหน้าคนที่นั่งรถม้าไม่รู้สึกหนาว แต่คนที่ขี่ม้าโดนลมหนาวตีหน้า ลมหนาวพัดมา ท่านชายสี่ที่ใช้ชีวิตสุขสบายมาหลายปี ไม่เคยลำบากแบบนี้นานแล้ว จิตใจต้องมาทนรับกับการถูกหลอกลวง ร่างกายต้องทนทุกข์กับลมหนาว ทำให้อารมณ์ของเขาขึ้นสูงจนอยากจะระเบิดออกมา
สีหน้าของเขามืดมนตลอดทาง หรงเยว่ก็ไม่กล้าแหย่หนวดเสือ เงียบมาตลอดทาง ปล่อยให้ลมพัดอย่างเสรี
เมื่อถึงด้านล่างของเขาลูกหนึ่ง เห็นพวกหยวนชิงหลิงลงมาจากรถม้าเปลี่ยนเป็นขี่อูฐขึ้นเขา เขามองไปครู่หนึ่ง ถามหรงเยว่ “ตรงนี้มันเป็นเขาโรคเรื้อนใช่มั้ย?”
หรงเยว่เห็นป้ายห้ามขึ้นเขาที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ก็พยักหน้ากล่าว “ใช่เจ้าค่ะ ตรงนี้ก็คือเขาโรคเรื้อน”
“นางไปเขาโรคเรื้อนทำไม?” ท่านชายสี่แปลกใจ
หรงเยว่คาดเดา “ไปรักษาผู้ป่วยมั้ง?”
ท่านชายสี่ไม่เชื่อ “พระชายารัชทายาทไปที่เขาโรคเรื้อน? นางไม่ได้บ้าเสียหน่อย”
หรงเยว่ยักไหล่ “เราตามขึ้นไปก็จะรู้แล้วไม่ใช่หรือ?”
ท่านชายสี่คิดไปครู่หนึ่ง “เราตามอยู่ห่างๆ อย่าให้พวกเขาสังเกตเห็นล่ะ”
ตลอดทางก็ไม่ได้ใช้วิชาสะกดรอยอะไร เห็นมีเพียงผู้หญิงไม่กี่คนกับหลู่หม่างและสวีอีไม่มีทางที่จะสังเกตเห็นพวกเขาอย่างแน่นอน
ด้านหน้า กลุ่มคนที่ขี่ลาขึ้นเขา อะซี่เอียงหัวแอบถามหยวนชิงหลิง ท่านพี่หยวน ท่านชายสี่กับหยงเยว่ยังตามมาอยู่เลย ควรทำไงดี? เราจะหยุดรอพวกเขากันมั้ย?
หยวนชิงหลิงหัวเราะกล่าว “ไม่ต้อง พวกเขาคิดว่าเราไม่รู้ หากเราหยุดรอเขามันก็จะทำให้สถานการณ์อึดอัด”
สุดท้ายก็ได้เอาเงินเขามาแล้ว หยวนชิงหลิงก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง พวกเขามีความสุขก็พอ
“แต่ว่า จะกลัวพวกเขาที่รู้ว่าเราไปเขาโรคเรื้อนหรือเปล่า? พวกเขาจะแพร่งพรายออกไปมั้ย?” หยวงหย่งอี้ถามอย่างเป็นห่วง
หยวนชิงหลิงกล่าว “รอให้ไปถึงบนเขา เราก็ดึงพวกเขาเข้ามาร่วมด้วย ต่อไปก็จะกลายเป็นคนที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
อะซี่หัวเราะแล้ว “แผนการของพี่หยวนเจ๋งที่สุด”
ไม่มีใครอยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองนั้นมาที่เขาโรคเรื้อน มันจะถูกรังเกียจ โดยเฉพาะท่านชายสี่เป็นคนที่ทำการค้า ถ้าหากถูกคนอื่นรู้ว่าเขามาที่เขาโรคเรื้อน ใครยังจะกล้าคุยกับเขา? ดังนั้นเขาไม่พูดอย่างแน่นอน
หยวนหย่งอี้ถามอย่างสงสัย “ท่านชายสี่ตามมาทำไม?”
หยวนชิงหลิงยักไหล่ “ไม่รู้ วันนี้เห็นเขาโกรธมาก พูดว่าข้าไม่เรียนวรยุทธ์”
อะซี่กระพือปีกหัวเราะ “ท่านชายสี่คนนี้ช่างเป็นคนแปลกนัก จะให้ท่านเรียนวรยุทธ์ทำไม? ช่างเป็นอาจารย์ที่ดีจริงๆ ดูท่าทางของเขาสิ ก็ไม่เหมือนคนที่เก่งวรยุทธ์ อีกอย่าง ตอนนี้อาการบาดเจ็บเขาก็หายดีแล้ว ยังจะอยู่ที่จวนไม่ไปไหน หรือว่าจะชอบองค์รัชทายาทเข้าแล้วจริงๆ”
ยากที่จะมีคนคิดเหมือนสวีอี เขาก็รีบพูดขึ้นมา “ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว ยังต้องถามอีกเหรอ? ไม่เห็นสายตาที่เขามองรัชทายาทหรือ?”
หยวนหย่งอี้ตกใจ “จริงหรือ? มีผู้ชายชอบรัชทายาทจริงๆหรือ? เมื่อก่อนเข้าใจว่ามีแต่ผู้หญิงที่คิดถึงเขา คิดไม่ถึงตอนนี้ผู้ชายก็คิดถึงเขาด้วย พี่หยวน ศัตรูหัวใจของพี่ช่างเยอะเหลือเกิน”
หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองบนเขา ถอนหายใจกล่าว “ศัตรูหัวใจเยอะไม่เป็นไร ขอได้อย่าเหมือนคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ก็พอ ศัตรูหัวใจอย่างท่านชายสี่ที่ลงมือทีก็เป็นเงินล้านตำลึง มาเยอะหน่อยไม่เป็นไร ไอ้แก่ห้าถูกคนชอบ เราก็ไม่เสียหายเสียหน่อย มีอะไรน่าตื่นเต้น?”
“ท่านชายสี่เพื่อรัชทายาทแล้วทุ่มเงินล้านตำลึง ช่างใจกว้างนัก” อะซี่อิจฉาอย่างมาก
สวีอีไม่พอใจ “พวกท่านเห็นรัชทายาทเป็นอะไร? รัชทายาทเป็นองค์ชายแห่งประเทศเป่ยถัง อนาคตจะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ จะถูกผู้ชายมาชอบได้อย่างไร? หากแพร่งพรายออกไปมันจะเสียชื่อรัชทายาท”
ขณะที่พูด เขามองหยวนชิงหลิงอย่างขุ่นเคือง ไม่ว่าใครที่ทรยศความงามรัชทายาทก็อภัยได้ทั้งนั้น นางทำไมถึงทำเช่นนี้? ช่างผิดต่อรัชทายาทที่ดีต่อนางเลยจริงๆ
สวีอีรู้สึกว่าความลำเอียงของตัวเองที่มีให้กับหยวนชิงหลิงบัดนี้ค่อยๆเอียงไปทางรัชทายาทแล้ว
อะซี่ทำเสียงฮึ่มไปหนึ่งที “อย่างไรเสียมันก็ดีกว่ามาคิดถึงพระชายารัชทายาท”
สวีอีกตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างครุ่นคิด “มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ?”
หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างมั่นใจ “ไม่มีทางอย่างแน่นอน สายตาที่เขามองข้ารังเกียจสักขนาดนั้น ข้ารู้สึกได้”
เศรษฐีที่ต้องการเงินก็มีเงินอยากมีหน้าตาที่ดีก็มีหน้าตาที่ดี จะมาชอบผู้หญิงที่เป็นแม่ลูกสามได้อย่างไร? สวีอีค้าน