สวีอีรู้สึกว่าคนของสำนักเหลิ่งหลังช่างมีวัฒนธรรมจริง ๆ จึงยกนิ้วโป้งให้อีกครั้งอย่างชื่นชม
เขาไปบอกหยู่เหวินเห้า แต่หยู่เหวินเห้ากลับมีท่าทางราวกับรู้มานานแล้ว เพียงใช้สายตาที่เหมือนมองคนโง่มองดูเขา
สวีอีทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วถอนหายใจเฮือก “ถ้าอะซี่รู้ว่าข้าได้รับบาดเจ็บ คงจะโกรธมากแน่ ๆ ก่อนจะมานางกำชับข้าครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ แล้วก็อย่าตายด้วย”
หยู่เหวินเห้าเห็นว่าตลอดทางที่มา สวีอีเอาแต่พร่ำเพ้อหาอะซี่ไม่ขาดปาก ก็คิดว่าเขากับอะซี่ช่างรักกันหวานชื่นดีจริง ๆ เขากับเจ้าหยวนเป็นเพราะต้องเผชิญกับปัญหาในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาแบบติด ๆ กันไม่หยุดไม่หย่อน เวลาที่ได้ใช้อยู่ด้วยกันจึงลดน้อยลงทุกที ๆ จึงอดรู้สึกผิดในใจขึ้นมาไม่ได้
ครั้งนี้เขาเกือบต้องตายอยู่ในเมืองหยุนฝู แล้ว เมื่อครู่เขาคิดแค่ว่า ถ้าเกิดเขาต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่จริง ๆ แล้วเหลือลูก ๆ ทั้งห้าคนไว้ให้เจ้าหยวนเลี้ยงตามลำพัง จากนี้ชีวิตของนางจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรล่ะ?
ทุกวันนี้สิ่งที่คิดวนเวียนอยู่ในสมองคือ ต้องรีบแก้ปัญหาเหล่านี้ให้รวดเร็วที่สุด ไม่ลังเลที่จะเสี่ยง เพียงเพื่อให้ชีวิตมั่นคงมากขึ้น หวังแค่ว่าตัวเองจะได้ใช้เวลาที่สุขสงบ ได้มีเวลาอยู่บ้าน มีเวลาอยู่กับภรรยาและลูก ๆ มากกว่านี้
และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เจ้าตัวรู้สึกร้อนใจเหลือเกินแล้ว พูดได้ว่าแทบจะอกแตกตายอยู่ที่นี่ให้ได้แล้ว
หากไม่ได้อะไรเลย เขาก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะอธิบายให้เจ้าหยวนฟังอย่างไรดี
เขาเหนื่อยมาก ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เริ่มวิเคราะห์เบาะแสจากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ในใจรู้สึกอยู่เสมอว่าเหมือนยังมีเงื่อนงำบางอย่างหลงเหลืออยู่
ส่วนฝั่งเมี่ยตี้ก็ไปคุยกับทางเสี้ยวหงเฉิง ว่าสำนักของนางมีสามคนที่ไปอาศัยหลบภัยกับศัตรู ตั้งแต่เมื่อคืนเป็นต้นมาคนของสำนักเหมยแดงก็ไม่ได้ตามพวกเขาต่อแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกลงมือในเมืองหยุนฝู
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ที่ตลอดทางนี้ไม่มีการลงมือใด ๆ ก็เพราะคนของสำนักเหมยแดงยังจัดการได้ไม่เรียบร้อยนั่นเอง
เสี้ยวหงเฉิงกัดฟันกรอด “สามคนไหน?”
เมี่ยตี้ให้รายชื่อมาชุดหนึ่ง แต่ไม่มีชื่อของเฉียวเฟิงทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่ในสำนักเหมยแดงมานาน สามารถบงการชี้นำพวกนางได้
“แล้วเฉียวเฟิงล่ะ?” เสี้ยวหงเฉิงถาม
เมี่ยตี้ส่ายหัว “ไม่รู้ แต่พวกนั้นสารภาพว่าฆ่าผู้นำกลุ่มคนหนึ่งของสำนักเหมยแดงไป ไม่รู้ว่าเป็นเฉียวเฟิงคนที่เจ้าพูดถึงหรือไม่ หลังจากฆ่าคนผู้นี้แล้ว สำนักเหมยแดงก็ถูกสามคนนี้ควบคุมอย่างรวดเร็ว ทั้งยังกรุยทางกลับไปยังเมืองหลวงเรียบร้อยแล้วด้วย ซึ่งหลังจากนี้สำนักเหมยแดงจะค่อย ๆ ถูกคนเซียนเปยใช้งานอย่างเต็มตัวในที่สุด ”
เสี้ยวหงเฉิงคิดว่ามีโอกาสที่จะเป็นเฉียวเฟิงมากกว่าครึ่งแน่แล้ว นางสับสนเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าคนที่มีเจตนาเป็นอื่นคงไม่พ้นเฉียวเฟิงแน่ หลายวันมานี้เฉียวเฟิงพยายามบอกนางเสมอว่า นางไม่อาจติดตามทำงานให้รัชทายาทแบบนี้ไปตลอดได้ ยังบอกอีกว่าวันหนึ่งนางจะเป็นคนที่นำพาหายนะมาให้สำนักเหมยแดง ตอนที่นางออกมาครั้งนี้ ยังบอกด้วยว่าไม่ควรให้สำนักเหมยแดงต้องส่งคนทั้งหมดออกมาแบกรับ นางยังถึงกับตำหนิเฉียวเฟิงอย่างรุนแรงด้วยความโกรธเคืองว่า ถ้านางไม่เต็มใจทำงานให้รัชทายาท เช่นนั้นก็เชิญไสหัวไปตายซะ!
ในใจนางรู้สึกทุกข์ทรมานมาก นางข้ามผ่านความเป็นความตายกับเฉียวเฟิงมาหลายครั้งหลายหน นางนับว่าเป็นคนที่อยู่ข้างกายนางมาได้นานที่สุด หากเกิดอะไรขึ้นกับเฉียวเฟิงจริง ๆ การจากลาครั้งสุดท้ายของนางกับเฉียวเฟิง จะเป็นความทรงจำเรื่องที่นางโกรธเคืองและคำตำหนิติเตียนอันร้ายกาจ
นางกล่าวขอบคุณเมี่ยตี้ทื่อ ๆ นั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบ ๆ เป็นนานสองนาน หลายปีมานี้ต้องรบราฆ่าฟันไม่หยุดหย่อน จริง ๆ แล้วนางเหนื่อยล้ามาก แต่เพราะตอนแรกนางสาบานไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือรัชทายาท ความสัมพันธ์ของพวกเขา นอกจากจะเป็นราชากับขุนนางแล้ว ยังเป็นเพื่อนกันอีกด้วย นางเป็นคนที่รักษาสัจจะ เรื่องที่นางเคยรับปากไว้ ไม่ว่าจะเหนื่อยยากหรือต้องลำบากอีกสักแค่ไหน นางก็จะทำมันให้สำเร็จ
แต่คนอื่น ๆ ในสำนักเหมยแดงล่ะ?
เสี้ยวหงเฉินเพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า ตัวเองเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยจริง ๆ
หลังจากนั่งนิ่งอยู่นาน นางก็ไปหาหยู่เหวินเห้า แล้วบอกว่า “มีคนทรยศในสำนักเหมยแดง ถึงได้เกิดความผิดพลาดแบบนี้ขึ้น ความผิดครั้งนี้สำนักเหมยแดงยากจะปัดให้พ้นตัวได้ รอให้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าจะเรียกทุกคนในสำนักเหมยแดงออกมาเพื่อเค้นหาคนทรยศ จะเรียกประชุมคนในสำนักทั้งหมด ถ้าหากทุกคนไม่เต็มใจจะทำงานนี้ต่อ ข้าก็จะยุบสำนักเหมยแดง หวังว่ารัชทายาทจะไม่ตำหนิข้า”
หยู่เหวินเห้ามองนางนิ่ง ๆ จำได้ว่านับตั้งแต่รู้จักเสี้ยวหงเฉิงมา นางช่วยเขาแก้ปัญหามากมายน้อยใหญ่ไม่เคยว่างเว้น อีกทั้งทุกคนในสำนักต่างก็วิ่งเป็นธุระให้เขาไม่เคยหยุด แต่จวนอ๋องฉู่กลับไม่เคยให้ผลประโยชน์ใด ๆ กับนางเลย กระทั่งเงินค่าเหนื่อยที่คอยวิ่งทำธุระให้ ก็ไม่เคยได้แม้แต่แดงเดียว
เขาพูดเสียงแผ่วเบา: “เช่นนั้นก็ยุบเถอะ มองหาคนดี ๆ สักคน ล้างมือออกจากวงการไปแต่งงานมีลูก ไปใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ อย่าต่อสู้ฆ่าฟันต่อไปอีกเลยนะ”
เสี้ยวหงเฉิงยังคิดว่าเขาคงจะโกรธแน่ ๆ เพราะตอนแรกนางเป็นคนพูดเองว่า สำนักเหมยแดงจะรุกและถอยไปพร้อม ๆ กับนาง จะทุ่มเทช่วยเหลือเขาอย่างสุดความสามารถ มาตอนนี้นางกลับละเมิดคำสาบาน ทั้งยังเกือบจะทำให้เขาต้องตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดที่ชวนอบอุ่นใจเช่นนี้ ดวงตาของนางก็แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ช่วงนี้นางเอะอะก็น้ำตาไหลง่าย ๆ เสียจริง สังเกตได้ว่าจิตใจนางอ่อนไหวลงไปมาก นางพูดขึ้นว่า: “หลังจากยุบสำนักเหมยแดงแล้ว ข้าจะยึดตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ จะช่วยเหลือเจ้าต่อไป นอกเสียจากว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในการขึ้นครองบัลลังก์ หรือไม่มีคนคิดคดทรยศอีก ข้าถึงจะเลือกถอยออกไป”
หยู่เหวินเห้าให้นางนั่งลง แล้วพูดชี้แนะอย่างจริงจังว่า: “ไม่ หงเฉิง ข้าจะขอเปิดอกพูดกับเจ้าแบบหมดเปลือกเลยนะ เจ้าไม่ใช่ขุนนางของข้า ทั้งไม่ใช่คนติดตามของข้าด้วย พวกเราเป็นเพื่อนกัน เจ้าช่วยข้าตอนแรก นั่นเป็นเพราะความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อน ตอนนี้ข้าเลื่อนขึ้นมาเป็นรัชทายาท ทั้งยังก่อตั้งคณะทำงานแห่งราชสำนักประจำตงกงแล้ว ข้างกายข้าไม่ขาดคนทำงานหรอกนะ ดังนั้น เจ้าฟังข้านะ แต่งงานกับลู่หยวนเถอะ ดูแลเขาให้ดี คลอดลูกให้เขา เลี้ยงลูกทำงานบ้านให้เขา ช่วยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเขา ในอนาคตเขาจะกลายเป็นขุนนางที่เก่งกาจ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้กับราชวงศ์เป่ยถังได้อย่างแน่นอน!”
เสี้ยวหงเฉิงกลับโพล่งขึ้นอย่างกะทันหันว่า: “ไม่ ในเมื่อข้าสาบานไว้อย่างหนักแน่นแล้ว ข้าจะไม่มีวันผิดคำสาบานเด็ดขาด เมื่อไหร่ที่ข้าควรถอย ตัวข้าเองย่อมรู้ดี ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะมาอธิบายเรื่องของสำนักเหมยแดงให้เจ้าฟัง ส่วนเรื่องคนทรยศสามคนนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าจัดการเองได้เลย จะฆ่าจะแกงอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องถามข้า ครั้งนี้สำนักเหมยแดงของข้าทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ล้วนเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของข้าเอง จากนี้ไปข้าจะขออยู่คนเดียว จะบุกน้ำลุยไฟเพื่อไถ่บาปในวันนี้”
พูดจบ นางก็หันหลังเดินออกไป
หยู่เหวินเห้ามองตามเงาแผ่นหลังของนาง พลางถอนหายใจเบา ๆ แม้จะไม่รู้หัวใจของผู้หญิง แต่เจ้าหยวนเคยบอกว่า ผู้หญิงทุกคนต่างก็หวังอยู่เสมอว่าจะมีใครสักคนที่รู้ร้อนรู้หนาวคอยอยู่เคียงข้าง ตลอดหลายปีมานี้เสี้ยวหงเฉิงดูดีและมีเสน่ห์มาก แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครรู้ว่านางต้องใช้ชีวิตอย่างทุลักทุเลขนาดไหน เขาหวังจากใจจริงว่านางจะแต่งงานกับลู่หยวน ออกจากวงการที่ต้องต่อสู้ฆ่าฟันกัน ได้ไปใช้ชีวิตอย่างมั่นคง
แต่เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ไว้รอให้กลับไปเมืองหลวงค่อยคุยก็แล้วกัน
หลังจากพักผ่อนช่วงสั้น ๆ ในตอนกลางคืน เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนก็ขี่ม้าไปยังสถานที่ที่เกิดการต่อสู้กันใหญ่โตเมื่อวานนี้
ร้านน้ำชาถูกคนของที่ทำการปกครองมาเก็บกวาดทำความสะอาดไปหมดแล้ว หยู่เหวินเห้าขี่ม้าวนดูอยู่พักหนึ่ง ไม่เห็นว่ามีเสือปลากับงูเหลือม แต่กลับมีซากของเสือปลาสองสามตัวเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุ หยู่เหวินเห้าจึงลงไปขุดหลุมฝังศพฝังพวกมันให้
คำถามค่อยๆ ผุดขึ้นในใจของเขา ร้านน้ำชานี้ถูกเตรียมขึ้นโดยนักฆ่า และเพิ่งสร้างขึ้นใหม่จุดประสงค์หลักจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน เวลานั้น ในร้านน้ำชารวมเจ้าของร้านและภรรยาก็มีคนอยู่ทั้งหมดสิบคน ทุกคนต่างล่วงหน้ามาดักรอซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่
พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมาที่นี่แน่ ๆ ? ถ้าเขาไม่มาที่นี่ การซุ่มโจมตีครั้งนี้จะไม่ถูกจัดฉากไว้อย่างสูญเปล่าหรอกหรือ?
ก่อนที่เขาจะมา เจ้าเมืองก็กำชับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าไปบนเส้นทางภูเขา มีงูเหลือมและสัตว์ร้ายออกอาละวาด พอนึกถึงคำพูดเหล่านี้แล้ว ก็สัมผัสได้ว่า แท้ที่จริง มันเป็นคำพูดที่ใช้บอกเขาเสียมากกว่า
บริเวณใกล้เคียงมีประชากรเบาบาง ถ้าต้องการจะดึงดูดนักฆ่า ที่นี่คือสถานที่ที่ดีที่สุด
หลังจากได้ยินคำพูดของเจ้าเมืองแล้ว เขาถึงได้ตัดสินใจที่จะไปเส้นทางนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้าเมืองแสร้งชี้นำให้พวกเขามาที่นี่อย่างลับ ๆ เพราะเจ้าเมือง รู้ว่านักฆ่าจะซุ่มโจมตีที่นี่ ตลอดทางที่มา พวกคนร้ายต่างก็จับจ้องมาที่เขา เขาเคยให้ความสนใจกับคนที่ผ่านไปมาระหว่างทาง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเหมือนกัน เมื่อมาคิดดูดี ๆ แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นการใช้วิชาปลอมตัวหรือเปลี่ยนชุด หรือไม่ก็อาจเป็นการเปลี่ยนกลุ่มคนที่จะลงมือหลาย ๆ กลุ่ม หรือไม่ก็อาจมีนักฆ่าหลายร้อยคน แล้วก็ยังคนที่สะกดรอยตามมาระหว่างทางด้วย ดูเหมือนว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะอยากฆ่าเขาให้ได้จริง ๆ