บัลลังก์หมอยาเซียน – บทที่ 1100 แยกแยะจริงเท็จได้

บทที่ 1100 แยกแยะจริงเท็จได้

ทังหยางไม่มีไฝที่ใต้คาง นั่นก็หมายความว่าคนที่ถูกตัดลิ้นจนขาดคนนั้น ก็คือทังหยางตัวจริงอย่างนั้นรึ?

แต่หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า นี่เป็นกลยุทธ์ที่ยังไม่ทันสมบูรณ์ ก็ถูกพวกเขาบุกเข้ามาทำลายแผนจนแตกกระเจิง ดังนั้น ใครคือทังหยางตัวจริงกันแน่ ชั่วขณะนี้จึงไม่สามารถอาศัยแค่การดูว่ามีหรือไม่มีไฝใต้คางมาตัดสินได้

หรงเยว่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่กลับไม่เห็นฮูหยินเหยา จึงอดถามด้วยใบหน้าซีดเผือดไม่ได้ว่า “ท่านชาย ฮูหยินเหยาล่ะ?”

ท่านชายสี่พูดอย่างเฉยเมย: “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ? ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนรับผิดชอบเฝ้าดูนางจากทางด้านหลังหรอกรึ?”

“อะไรคือข้ารับผิดชอบด้านหลัง? เป็นเจ้าต่างหากที่ต้องตามอยู่ด้านหลัง ข้าเป็นหน่วยบุกให้ด้านหน้า มันก็ต้องเป็นกลุ่มที่รับผิดชอบด้านหลัง ที่ต้องคอยดูแลความปลอดภัยของฮูหยินเหยาอยู่แล้วสิ ที่ข้าไปเชิญเจ้ามา ก็หวังว่าจะให้เจ้าดูแลความปลอดภัยให้ฮูหยินเหยาต่างหาก!” หรงเยว่ร้อนรนกังวลใจแทบแย่แล้ว

ท่านชายสี่ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเค้นคำพูดลอดริมฝีปากออกมาสองสามประโยคว่า “ไม่ใช่อย่างแน่นอน ใครตามด้านหลังยังไม่ชัดเจนอีกรึ? ข้าเข้ามาก่อนแท้ ๆ”

“ นั่นเป็นเพราะข้าคิดว่าเจ้าพบตัวฮูหยินเหยาแล้ว ถึงได้เข้ามาก่อน แล้วเจ้าก็ตามรอยฮูหยินเหยามาตลอดทาง พื้นฐานข้ามีหน้าที่รับผิดชอบในการบุกโจมตีด้านหน้า….” หรงเยว่รู้ว่าท่านชายสี่เริ่มโยนความผิดหน้าด้าน ๆ แล้ว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญมากจนชนิดที่ใต้หล้านี้ไม่มีใครเกินอีกด้วย จึงไม่มัวเสียเวลาพูดอะไรอีก รีบพาคนออกไปตามหาทันที

ท่านชายสี่มองตามเงาแผ่นหลังของหรงเยว่อย่างไม่พอใจ “พอแต่งงานแล้ว เริ่มผลักความรับผิดชอบเก่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ”

หยู่เหวินเห้าก็ร้อนใจมากเช่นกัน เขายังไม่รู้เรื่องของฮูหยินเหยา หลังจากถามจนได้ความแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนอย่างรุนแรง “นั่นหมายความว่า ฮูหยินเหยาน่าจะเกิดเรื่องแล้วน่ะสิ?”

ท่านชายสี่พูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง: “ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้หรอกน่า ตอนที่พวกเรามา ก็มีคนไปบอกฮุ่ยเทียนให้รีบมาแล้วล่ะ ถ้าฮุ่ยเทียนมา ฮูหยินเหยาไม่มีทางเกิดเรื่องได้แน่”

หยู่เหวินเห้าตกใจจนผงะ “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกหรงเยว่ล่ะ? เมื่อครู่นางร้อนใจแทบแย่แล้ว”

“ นางเริ่มรู้จักผลักความรับผิดชอบแล้ว ยังไม่ควรให้บทเรียนนางสักหน่อยหรือ? ให้นางร้อนใจนิด ๆ หน่อย ๆ จะเป็นไรไป ” ท่านชายสี่พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ยี่หระ

เมื่อหยู่เหวินเห้าได้ยินว่าฮูหยินเหยาจะปลอดภัย ก็รู้สึกโล่งอก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของทังหยางที่มีถึงสองคน เขาปรายตามองทั้งสองแวบหนึ่งด้วยความปวดหัว ทำได้แค่พาทั้งสองคนกลับไปด้วย

ทุกคนที่ถูกจับได้ในเรือนนั้น ต่างก็ถูกนำตัวกลับไปด้วยเช่นกัน

นี่ไม่ใช่สำนักงานใหญ่ของพวกเขา มีคนไม่มาก ไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่ถูกทำลาย ทั้งยังสามารถช่วยคนออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้แน่

เมื่อทังหยางทั้งสองถูกพาตัวกลับไป หยวนชิงหลิงก็ยังรู้สึกว่า ไม่ว่าคนไหนจะเป็นตัวจริง นางก็รู้สึกทุกข์ทรมานใจไม่ต่างกัน

หมอหลวงเฉาเพิ่งจะกลับมาพร้อมกับฮูหยินใหญ่พอดี จึงรีบเข้ามาช่วยทำการรักษา

หมอหลวงเฉารับผิดชอบรักษาคนที่ลิ้นถูกตัด หยวนชิงหลิงตรวจสอบอาการของคนที่เหมือนจะมีอาการสมองเสื่อม หยวนชิงหลิงให้สวีอีลองตรวจสอบดูว่า มีบาดแผลบนร่างกายของเขาบ้างหรือไม่ หรือว่ามีร่องรอยการถูกทุบตีบ้างหรือไม่ หลังจากที่สวีอีตรวจสอบดูแล้ว ก็บอกหยวนชิงหลิงว่าเขาไม่มีร่องรอยของการถูกทุบตี

หยวนชิงหลิงได้ทำการตรวจสอบที่ส่วนหัว กับส่วนของมือ ล้วนไม่มีบาดแผล มีรอยแผลเป็นอยู่บ้าง สวีอีบอกว่าเป็นบาดแผลเมื่อสมัยก่อนตอนที่อยู่ในสนามรบ ทำศึกจึงได้รับบาดเจ็บ จากนั้นสวีอีก็ไปดูอีกคนที่อยู่ทางฝั่งหมอหลวงเฉา มีรอยแผลเป็นเหมือนกันทุกประการ แม้แต่ตำแหน่งก็ยังเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้มีแผลเป็นใหม่ ๆ ที่เละเทะกระดำกระด่างเพิ่มเข้ามามากขึ้น ทำให้ใครที่ได้เห็นต่างก็อดรู้สึกสงสารจับใจไม่ได้

คนที่ถูกตัดลิ้นขาดคนนั้นยังมีสติชัดเจนครบถ้วน ยังจำสวีอีกับหมดหลวงเฉาได้ เขามีท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสวีอีทำท่าเหมือนอยากจะยื่นมือออกไปจับมือสวีอีสักหน่อย แต่เมื่อเขายื่นมือออกมา มือของเขาก็สั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ แม้กระทั่งจะแตะมือสวีอีสักครั้งก็ยังทำไม่ได้

สวีอีจ้องมือทั้งสองข้างของเขา นิ้วมือทั้งสิบบิดเบี้ยวผิดรูปอย่างรุนแรง ไม่สามารถยืดออกได้ หรือแม้แต่จะออกแรงสักนิดก็ยังทำไม่ได้

สวีอีร้องไห้ด้วยความทรมานใจอย่างสุดจะฝืน แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นทังหยางตัวจริงหรือตัวปลอม แต่เขาคิดในใจว่าถ้าเป็นตัวจริง แล้วต้องมาโดนทรมานถึงขนาดนี้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมีดคม ๆ กรีดแทงเข้าไปที่หัวใจจริง ๆ

ขณะทำความสะอาดแผล เนื่องจากลิ้นในปากนั้นถูกตัดออกไป บาดแผลนั้นดูเรียบ เวลาที่อ้าปาก ก็จะมีเพียงหลุมดำ ๆ หลุมหนึ่ง ซึ่งดูแล้วชวนให้รู้สึกว่าน่าหวาดกลัวมาก

หยวนชิงหลิงทำการตรวจสอบอาการทั้งหมดเท่าที่ทำได้ให้กับทังหยางอีกคนแล้ว หลังจากจัดการกับบาดแผลเสร็จ โดยพื้นฐานแล้ว ต้องพอตัดสินได้แล้วว่าเป็นเพราะโดนวางยา หรือเป็นเพราะโดนมนต์กู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางเกิดอาการสมองเสื่อมแบบนี้ได้แน่ ๆ

หยู่เหวินเห้าสั่งให้คนไปคุมตัวฮูหยินทังมา เพื่อให้นางระบุตัวตน

ฮูหยินทังถึงกับอึ้งจนตาค้าง บอกได้แค่ว่าไม่รู้ว่าใครคือตัวจริงใครคือตัวปลอม หยู่เหวินเห้าจึงสั่งให้คนมาคุมตัวนางออกไป จากนั้นให้นำตัวไปสอบปากคำพร้อม ๆ กับพวกที่จับกลับมาได้

หยู่เหวินเห้ายังส่งคนไปเชิญหงเย่มาด้วย การที่หงเย่ได้รับเชิญให้มาเป็นแขกที่จวนด้วยความจริงใจเช่นนี้ นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยทีเดียว

หงเย่มองสำรวจทังหยางทั้งสองอย่างละเอียด จากนั้นค่อยเดินออกไปพร้อมกับหยู่เหวินเห้า แล้วถามขึ้นว่า “ตัวเจ้าเองคิดว่า คนไหนคือตัวจริงล่ะ?”

หยู่เหวินเห้ารู้สึกทรมานใจอย่างอธิบายไม่ถูก นั่งลงตรงหน้าระเบียง ใช้มือทั้งสองถูที่ใบหน้า ดวงตาแดงก่ำ “จากการอนุมานแบบคร่าว ๆ น่าจะเป็นทังหยางคนที่มีอาการสมองเสื่อม”

“โอ๋? ทำไมล่ะ? ตามการอนุมาน น่าจะเป็นคนที่โดนตัดลิ้นมากกว่าไม่ใช่รึ? ในเมื่อเขาทั้งถูกทุบตีอย่างรุนแรง ทั้งยังถูกตัดลิ้นขาด ดูเหมือนว่าจะถูกใช้ทัณฑ์ทรมานขั้นสุดเชียวนะ !” หงเย่พูด

“ ก็เพราะว่าลิ้นถูกตัดออกนี่ล่ะ ข้าถึงเดาว่าเขาคงไม่ใช่ทังหยาง นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการอย่างหนึ่ง ความตั้งใจเดิมคือต้องการให้ข้าช่วยทังหยางตัวปลอมออกไป จากนั้นทังหยางตัวปลอมก็จะแฝงตัวอยู่ในจวนอ๋องฉู่ของข้า ทันทีที่ทำได้สำเร็จ ทังหยางตัวจริงก็จะถูกฆ่า หรือไม่ก็ย้ายตัวไปที่อื่น แต่ก็เห็นได้ชัดอีกเช่นกันว่า แผนการของพวกนั้นยังไม่ทันสำเร็จ พวกเราก็พบที่นี่เสียก่อน ซึ่งสิ่งนี้ยังเป็นการทำลายแผนการทั้งหมดของพวกนั้น รูปร่างหน้าตาของคนเรายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการตกแต่งปลอมแปลง หรือไม่ก็ใช้ยา แต่น้ำเสียงกลับไม่สามารถทำให้เหมือนกันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น พวกมันจึงตัดลิ้นของคนผู้นี้ ทำให้เขาไม่มีโอกาสพูดได้อีก กำจัดจุดที่จะทำให้คนจำง่ายที่สุดลงก่อน จึงจะสามารถป้องกันความผิดพลาดได้ดีที่สุด ”

หงเย่ประหลาดใจอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะวิเคราะห์ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้ เขาพยักหน้าเห็นด้วย “อื้ม วิเคราะห์ได้มีเหตุผล”

“ที่ข้ามีการคาดเดาเช่นนี้ ก็เพราะหลินเซียว!” ดวงตาของหยู่เหวินเห้ามืดทะมึน คล้ายกับมีหมอกควันสายหนึ่งก่อตัวขึ้น “ตอนนั้นหลินเซียวแกล้งปลอมเป็นข้าไปตีสนิทกับฉู่หมิงหยาง ฉู่หมิงหยางก็ดูไม่ออก อีกทั้งตอนนี้หลินเซียวที่ข้ารู้จัก เรียกว่าเป็นหนึ่งในสายลับที่มีความเชี่ยวชาญมากกลุ่มหนึ่ง ซึ่งสายลับพวกนี้จะมีทักษะด้านการปลอมตัวศาสตร์หนึ่งที่ร้ายกาจมาก ”

หงเย่ก็นั่งลง พลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “การปลอมตัวแบบนี้เรียกว่าวิชาผีจำแลงหน้าเมื่อเทียบกับทักษะการปลอมตัวธรรมดาทั่วไป ข้อดีของวิชาหน้าผีนี้คือไม่ต้องทำหน้ากากปลอมขึ้นมา สามารถใช้การกินยาเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของบุคคลคนใดบุคคลหนึ่งได้ แต่หลังจากกินยาแก้พิษ หรือหยุดกินยาไปราว ๆ สองสามวัน ใบหน้าดั้งเดิมก็จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา ดังนั้นการที่จะแยกแยะทังหยางตัวจริงออกจากตัวปลอมจึงไม่ใช่เรื่องยาก แค่อดทนรออีกสักสองสามวันก็ได้แล้ว”

หยู่เหวินเห้ามองเขาเขม็ง “เจ้ารู้จักวิชาผีจำแลงหน้าหรือ?”

หงเย่พูดอย่างเย็นชาว่า: “ตอนแรกข้าคิดว่า ข้ารู้กลอุบายทั้งหมดของเขาเป็นอย่างดี แต่ก็คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายเขาก็ยังมีลูกไม้ซ่อนไว้อีกชั้นจนได้ คนที่ตายไปในการต่อสู้ครั้งนั้นจะต้องไม่ใช่เขาแน่ แต่เป็นคนที่กินยา แล้วใช้ วิชาผีจำแลงหน้าปลอมตัวให้ดูเหมือนเขา ตัวเขาคงหนีไปนานแล้ว การที่วันนี้ข้ามาวิเคราะห์ตำแหน่งที่ซ่อนกับเจ้า แล้วเจ้าสามารถหาตัวเจอได้ตามตำแหน่งที่ข้าบอก เช่นนั้นก็มั่นใจได้เลยว่า เป็นเขาแน่นอน”

หยู่เหวินเห้ามองดูความโกรธเกรี้ยวที่เพิ่มขึ้นในดวงตาของเขา ชั่วขณะหนึ่งเกิดความรู้สึกผสมปนเปที่ยากจะเอ่ย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี

แต่ความโกรธของหงเย่ก็ค่อย ๆ ถูกระงับลงอย่างช้า ๆ แต่กลับปรากฏสัมผัสบางอย่างที่ใกล้เคียงกับคำว่าน่าสยดสยองเข้ามาแทนที่ “ก็ดี! ก็ดีแล้ว! ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดอยู่ตลอดเลยล่ะ ว่าเขาตายสบายเกินไปจริง ๆ”

หลังจากการแก้แค้น วันเวลานับจากนั้นก็เหมือนจะสูญเสียทิศทางไป ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ต้องอย่างนี้สิถึงจะดี!

บัลลังก์หมอยาเซียน

บัลลังก์หมอยาเซียน

Status: Ongoing

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง”หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: “ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น”อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: “เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่” หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: “ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท