พี่ชายหยวนรู้ว่าทางนี้ยังไม่จัดงานแต่งงาน ก็ค่อนข้างผิดหวัง แต่ก็รู้ว่าจะจัดงานแต่งงานทั้งที ไม่สามารถที่จะเตรียมงานเสร็จภายในไม่กี่วันแน่ เวลาของเขาก็ไม่อำนวย และหากเขาไม่สามารถอยู่ร่วมงาน เขาก็จะเสียดายอย่างมาก
ดังนั้นเขาก็กลับมาพูดปลอบหยู่เหวินเห้าว่า “ไม่เป็นไร รอพวกเจ้ากลับไป พวกเราค่อยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตอีกครั้ง”
ตอนนี้การศึกสงบลงแล้ว ในใจหยู่เหวินเห้า การจัดงานแต่งงานกลายเป็นสิ่งเดียวที่เขาคาดหวัง
เมื่อทุกคนกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว มีเหล่าขุนนางรอต้อนรับอยู่หน้าประตูเมือง ผู้คนต่างพากันแห่มาชมการกลับมาอย่างชัยชนะขององค์ชายรัชทายาทด้วยตาตนเอง ทันใดนั้น ประตูเมืองถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนา เสียงร้องชื่นชมยินดีดังก้องยิ่งๆขึ้น ม่านหน้าต่างรถม้าเปิดออก คนข้างในยิ้มหัวเราะจนแก้มแทบปริ หรงเยว่เอามือปิดหูไว้ พร้อมตะโกนใส่เจ้าหกที่อยู่ด้านข้างว่า “หูของข้าจะหนวกแล้ว”
เจ้าหกเอื้อมมือเช็ดหางตา เขาโตมาจนขนาดนี้ ยังไม่เคยทุกคนมากมายขนาดนี้ชื่นชอบ ร้องชื่นชมยินดี ถึงแม้เค้าจะไม่ใช่บุคคลหลัก แต่เขารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำศึกครั้งนี้
พี่ชายหยวนก็พอใจอย่างมาก เขาพูดกับฟางหวูว่า “หยู่เหวินเห้าเป็นวีระบุรุษ น้องสาวได้แต่งงานกับเขา ถือเป็นความโชคดีจริงๆ”
“ไม่ต่างกัน องค์ชายรัชทายาทมีวันนี้ได้ ดอกเตอร์หยวนก็มีส่วนช่วยอย่างมาก” ฟางหวูพูดขึ้น
พี่ชายหยวนไม่รู้ว่าน้องสาวกับหยู่เหวินเห้าผ่านเรื่องอะไรมาด้วยกันบ้าง แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินฟางหวู เล่าให้ฟังอยู่บ้าง รู้สึกว่าพวกเขาสองสามีภรรยานั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ
มองดูพวกเขาเข้าไปในเมืองที่รายล้อมไปด้วยเหล่าขุนนางและประชาชน นอกจากตื่นเต้นดีใจแล้ว ก็ยังตื่นเต้นดีใจอีก เพราะเขาจะได้เจอท่านยายในเร็วๆนี้แล้ว
ท่ามกลางฝูงคนมากมาย ในที่สุดอะซี่กับลู่หยาฉี่หลอ ก็สามารถเบียดออกมาได้ ตะโกนร้องเรียกมาที่รถม้า สวีอีได้ยินเสียงอะซี่ จึงลุกขึ้นมามองดูรอบๆ แล้วก็มองเห็นภรรยาสุดที่รักท่ามกลางฝูงชน กระโดดลอยบินขึ้น ตรงไปหาตรงหน้าอะซี่ ไม่สนใจว่าด้านข้างจะมีคนมากมายขนาดไหน ตรงเข้าไปโอบกอดนางแนบกาย
“สวีอี” อะซี่ตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาไหล กอดเขาไว้แน่นพร้อมพูดขึ้นว่า “ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ข้าคิดถึงเจ้าใจแย่แล้ว”
“ข้าก็เช่นกัน ข้าก็คิดถึงเจ้า” สวีอีโอบกอดนางไว้ คนรอบข้างเบียดเข้ามาตลอด จนเขาโกรธตะโกนพูดขึ้นว่า “อย่าเบียดภรรยาของข้า ภรรยาของข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่”
ทุกคนต่างก็หัวเราะขึ้นมา มีคนที่รู้จักพวกเขาพูดล้อขึ้นว่า “แม่ทัพสวี ท่านกำลังจะได้เป็นพ่อคนแล้ว ถึงตอนนั้นต้องเลี้ยงเหล้าพวกเรานะ”
ทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมา ต่างก็พูดขอให้แม่ทัพสวีเลี้ยงเหล้า
สวีอีมองดูคนพวกนี้ ดูมีชื่อเสียงมีอำนาจ หากเลี้ยงเหล้าเขาจะต้องจนแน่ จึงรีบดึงอะซี่แล้วจากไป
หยู่เหวินเห้าไปอีกเส้นทางหนึ่ง พร้อมกับเหล่าขุนนาง เขาจะกลับจวนไปทันทีไม่ได้ จะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าก่อน ดังนั้น หยวนชิงหลิงจึงพาคนที่เหลือกลับไปที่จวนอ๋องก่อน
เดิมหนานเปียนเค่อกับคนในยุทธภพคิดว่า หลังจากส่งพวกเขากลับถึงจวนแล้วก็จากไป แต่ทังหยางกับสวีอีรั้งไว้ ขอให้อยู่ร่วมงานเลี้ยงด้วยกันสักมื้อก่อน ดื่มกันจนเมา ไม่พูดถึงเรื่องเศร้าเช่นการจากลา
ตลอดการเดินทางทุกคนต่างเหนื่อยล้ายากลำบาก ทุกอย่างลำบากอย่างที่สุด สามารถพูดได้ว่าระหว่างทางยังไม่เคยได้ดื่มเหล้าดีๆสักมื้อ ตอนนี้ที่สวีอีพูดรั้งไว้ คำพูดอื่นต่างไม่ได้ผล มีเพียงดื่มกันจนเมา ไม่พูดถึงเรื่องเศร้าเช่นการจากลา ประโยคนี้ถูกใจทุกคนอย่างมาก จึงต่างก็ยอมอยู่ต่อก่อน
ส่วนหนานเปียนเค่อไปจากจวนก่อน บอกว่าตอนค่ำๆจะพาลูกศิษย์มา ทุกคนต่างแปลกใจ ลูกศิษย์ของเขาเป็นใครกันแน่ เขาหัวเราะอย่างเล่นรับ เดี๋ยวตอนกลางคืนก็รู้
เด็กๆพาท่านย่าทวดรออยู่แล้ว เห็นหยวนชิงหลิงกับลุงใหญ่กลับมา ทันใดนั้นเด็กทั้งห้าก็วิ่งกระโจนไปหา พี่ชายหยวนอ้าแขนกอดเด็กๆไว้ แต่ชะตาที่ต้องล้มลงกับพื้นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เขาไม่สนใจว่าสะโพกจะเจ็บไหม เงยหน้าขึ้นมองดูท่านย่าที่ค่อยๆเดินมา น้ำตาเอ่อพร้อมรีบลุกขึ้นมาแล้วเร่งเดินไปหา ท่านย่ามองดูหลานชายที่ไม่ได้เจอกันนานด้วยน้ำตาคลอเบ้า น้ำตาไหลลงทั้งสองข้างอย่างเงียบๆ พี่ชายหยวนโผเข้าไปกอดนาง พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านย่า ในที่สุดก็ได้เจอท่าน ท่านสบายดีไหม? สุขภาพท่านแข็งแรงดีไหม? มีความสุขดีไหม? ไม่คุ้นเคยอะไรไหม?”
หลานชายถามมาเป็นชุดเช่นนี้ ทำให้ท่านย่าหยวนทั้งดีใจทั้งเศร้าใจ หลานชายหลานสาว เป็นเหมือนดั่งเนื้อตรงฝ่ามือกับเนื้อตรงหลังมือ การมาที่นี่ ถึงแม้จะได้เห็นหลานสาว แต่ก็เป็นการทอดทิ้งหลานชาย
กอดอยู่เนิ่นนาน ย่าหลานค่อยแยกจากกันช้าๆ ท่านย่าหยวนเอื้อมมือไปลูบใบหน้าของเขา แล้วก็ตอบคำถามของเขาว่า “ย่าอยู่ที่นี่สบายดีทุกอย่าง คุ้นเคยดี สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง บอกพ่อกับแม่ของเจ้าว่าไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขาล่ะ? พวกเขาสบายดีไหม? อาการป่วยของแม่ของเจ้าเป็นยังไงบ้าง? อาการป่วยกำเริบอีกไหม?”
ถึงแม้ท่านย่าหยวนจะรู้สถานการณ์ของพวกเขาจากพวกเด็กๆ แต่ก็ยังอยากได้ยินจากปากหลานชาย
พี่ชายหยวนดวงตาแดง น้ำเสียงก็พูดขึ้นอย่างยิ่งสะอึกสะอื้นว่า “ทุกคนสบายดี อาการป่วยของแม่ก็ไม่กำเริบนานมากแล้ว ตอนนี้นางมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขทุกวัน แต่ก็มักจะพูดว่าคิดถึงพวกเจ้า”
ท่านย่าหยวนถอนหายใจเบาๆ ครอบครัวที่สมบูรณ์ครอบครัวหนึ่ง กลับต้องแยกจากกันเป็นสองห้วงเวลา
สิ่งที่โชคดีก็คือ ทุกคนต่างก็มีชีวิตที่ดี
ย่าหลานมองตากัน ทุกอย่างต่างล้วน ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้
แต่พวกเด็กๆค่อนข้างเสียงดัง ถามตลอดว่าทำไมพ่อยังไม่กลับมา หลังจากหยวนชิงหลิงอธิบายแล้ว บอกเขาก็ถามถึงเสด็จปู่ทวดล่ะ ถามถึงเสด็จปู่ทวด แล้วก็ดึงแม่นมสี่มา ช่วยแม่นมสี่ถามถึงโสวฝู่
ทังหยวนยังพูดขึ้นอย่างจริงจังลึกซึ้งว่า “แม่นมคิดถึงโสวฝู่อย่างมาก นอนร้องไห้ทั้งคืนจนสว่าง แม้ตอนฝันยังละเมอพูดชื่อฉู่หลาง”
หยวนชิงหลิงกับพวกทังหยาง ฟังเขาพูดประโยคนี้ออกมาจากปาก จนต่างก็นิ่งอึ้ง
แม่นมสี่กระทืบเท้าจนหน้าแดงไปหมด ทั้งโกรธทั้งหัวเราะ คว้าจับเขาไว้แล้วก็พูดเตือนอย่างจริงจังว่า “ต่อไปห้ามดูหนังสือของฉี่หลออีก เหลวไหลแย่แล้ว เป็นเด็กเป็นเล็ก ยังร้องไห้ทั้งคืนจนสว่าง ข้าเคยเรียกฉู่อะไรตั้งแต่เมื่อไหร่…..จริงๆเลย”
ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา หยวนชิงหลิงก็ยิ้มหัวเราะ เดินไปจับมือแม่นม พร้อมพูดขึ้นว่า “แม่นมวางใจ ระหว่างทางได้ยินสวีอีเคยพูด ไท่ซ่างหวงกับโสวฝู่ต่างสบายดี ไม่ช้าพวกเขาก็จะกลับมาแล้ว”
ในชีวิตนี้ของแม่นม ผู้ชายสองคนที่นางเป็นห่วงที่สุดก็คือโสวฝู่ฉู่กับไท่ซ่างหวง ถึงแม้นางจะไม่ถาม แต่เมื่อกี้หยวนชิงหลิงเห็นนางยืนอยู่ด้านข้าง ท่าทีอยากจะพูดแล้วก็หยุด ก็รู้ว่านางเป็นห่วงพวกเขา
หลังจากแม่นมสี่ฟังแล้ว ก็ไม่เสแสร้งแล้ว พูดขึ้นอย่างค่อยโล่งอกว่า “ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดี”
หยวนชิงหลิงตบมือของนางเบาๆ แล้วค่อยเดินไปพูดคุยกับท่านย่าและพี่ชาย
ท่านย่าหยวนไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่า หลานชายหลานสาวจะสามารถปรากฏอยู่ตรงหน้าของนางพร้อมกัน วันนั้นได้ยินซาลาเปาพูดว่าลุงมาแล้ว นางยังไม่ค่อยเชื่อเลย ต่อมาเมื่อถามคนในจวน บอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อหยวนชิงโจวมา จากนั้นก็ออกไปกับพระชายารัชทายาทแล้ว นางถึงค่อยเชื่อ
หลานชายหลานสาวอยู่ข้างกาย เหลนทั้งห้ารายล้อม ท่านย่าหยวนดีใจอย่างที่สุด
ส่วนหยู่เหวินเห้าเข้าวังไปเข้าเฝ้า เมื่อมาถึงห้องทรงพระอักษร ก้าวเท้าเดินเข้าไปในพระตำหนัก คุกเข่าถวายบังคมฮ่องเต้หมิงหยวน
ครั้งนี้ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ได้นั่งนิ่ง รีบลุกขึ้นเดินลงมาหา เอื้อมมือประคองหยู่เหวินเห้าขึ้นมา มองดูลูกชายที่เพิ่งรอดพ้นจากความตาย ในใจฮ่องเต้หมิงหยวนตื่นเต้นอย่างที่สุด และก็ยังหวาดผวาอยู่เนืองๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ดี กลับมาแล้วก็ดี