อาจารย์บอกว่า ที่ว่ากันว่าฝึกฝน ที่จริงก็คือการเปิดหนทางแห่งปัญญา ไตร่ตรองทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต แก้ไขปัญหา พลังปัญญาถูกพัฒนาขึ้น สมองก็พัฒนาขึ้น ด้วยเหตุนี้ คนที่มีการฝึกฝนสูงส่ง จะได้รับพลังบางส่วนจากในสิ่งนั้น
มีบางคนได้เรียกสิ่งนี้ว่าความสามารถเฉพาะ แตกต่างจากที่นางมีโดยมาจากธรรมชาติ
อาจารย์ยังบอกอีกว่า มีบางคนรู้วิชาคุมอัคนี วิชาควบคุมน้ำ วิชาควบคุมนก อาจารย์ได้ยกตัวอย่างว่า ในประเทศหนึ่งมีคนต่ำต้อยกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ คนต่ำต้อยกลุ่มนี้มีวิชาควบคุมอีกา ถูกต้อง นั่นก็คือการสามารถควบคุมอีกาได้ ใช้อีกาทำงานเพื่อตน
แต่ว่า ความสามารถเฉพาะที่สุดแล้วก็เป็นแค่ความสามารถเฉพาะ เป็นความสามารถเฉพาะก็สามารถถูกไขได้ง่ายดาย
ทุกคนต่างก็คิวด่า ที่นางรู้คือวิชาคุมอัคนี แม้แต่เสด็จพ่อก็คิดเช่นนั้น
นางนั้นรู้จักวิธีการควบคุมสิ่งของและพลังงานบางอย่าง ไฟคือหนึ่งในนั้น พอดีกับที่นางทำได้ค่อนข้างโดดเด่น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถควบคุมน้ำได้
เพียงแต่ อ๋องเจิ่นกั๋วบอกว่าน้ำสามารถข่มไฟได้ มีเหตุผลที่พอจะเป็นไปได้อยู่ แต่เมื่อขยายความออกไป ก็ไม่อยากที่จะทำความเข้าใจ เหล็กน้ำไม้ไฟดิน เกิดมาเสริมสร้างและข่มซึ่งกันและกัน เขาแค่จับตาดูสิ่งที่ข่มกัน แต่กลับไม่รู้เรื่องการเกิดมาเสริมสร้างกัน
น้ำให้กำเนิดไม้ และไม้ให้กำเนิดไฟ แต่คนมากมายกลับไม่มีทางคิดเช่นนี้
เพียงแต่เรือนน้ำแข็งใต้ทะเลสาบนี้ ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ราวกับบ้านที่สร้างขึ้นจากกระจก ยังสามารถมองเห็นปลาที่ว่ายวนอยู่ภายนอกได้
แคว้นจินมีคนน่าประหลาดจริงๆ นี่ทำให้เจ๋อหลานรู้สึกตื่นเต้นมาก
นางชอบที่จะอยู่กับพวกพี่ชาย เพราะว่ามีเพียงตอนที่อยู่กับพวกเขา นางจึงไม่ใช่คนที่พิเศษ
แต่ว่า นางก็ปรารถนาที่อยากจะมีเพื่อน
นางคิดว่าจะขออยู่ต่อที่แคว้นจินก่อนเป็นการชั่วคราวและยังไม่ไปไหน
แน่นอนว่า ไม่สามารถให้เขาส่งจดหมายให้ท่านพ่อได้ พ่อที่มีจิตวิญญาณอ่อนแอเช่นนั้น ถ้าหากรู้ว่านางตกอยู่ในมือของแคว้นจิน คงต้องคลั่งแน่ๆ
ได้ส่งกระแสจิตกับน้องฟีนิกซ์ ให้มันช่วยขัดขวางจดหมายทุกฉบับที่ส่งออกไปจากมือของอ๋องเจิ่นกั๋ว
ช่วงสองวันแรกอ๋องเจิ่นกั๋วไม่ให้นางออกมา เพียงแต่ให้คนส่งอาหารไปให้นาง นอกจากไปเข้าห้องน้ำแล้ว ไม่สามารถออกไปไหนได้อีก แต่แม้ว่าจะเป็นการไปเข้าห้องน้ำ ก็มีสาวใช้ที่มีวิทยายุทธคอยเฝ้านางอยู่ด้วย
หลังจากผ่านไปสองวัน สามารถออกจากเรือนน้ำแข็งได้ แต่ไม่สามารถออกห่างจากผิวน้ำทะเลสาบ นางได้แต่นั่งอยู่บนเรือมองไปรอบๆบริเวณทะเลสาบเท่านั้น
มีองครักษ์สองคนคอยจับตาดูนางอยู่
วันที่สี่ ตอนที่นางนั่งชมทะเลสาบอยู่ ก็เห็นเรือลำเล็กอีกลำหนึ่ง
เป็นหนุ่มน้อยที่สวมชุดผ้าไหมสีขาวทั้งตัว อายุราวๆสิบสองสิบสามปี เขานั่งอยู่บนเรือ ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเรียวยาวดุจใบหลิว ร่างกายของเขามีไอแห่งความเย็นแผ่กระจายไปทั่ว ดวงตาของเขา เป็นสีฟ้าอ่อน
ตอนที่เจ๋อหลานอยู่ในยุคปัจจุบัน เคยเห็นคนต่างประเทศมาไม่น้อย ดวงตาสีฟ้าครามก็เคยเห็นมาแล้ว แต่ว่า ดวงตาของหนุ่มน้อยคนนี้ไม่เหมือนกัน เป็นสีฟ้าอ่อนเหมือนน้ำแข็ง มีไอเย็นแผ่ซ่าน ทำให้รู้สึกถึงความเย็นชาโดดเดี่ยว
เส้นผมดำขลับที่ไม่ได้มัดหรือรวบขึ้นทิ้งตัวแผ่สยายอยู่บนผ้าไหมที่นุ่มลื่น แสงแดดเป็นประกายสีทองระยิบระยับเคลื่อนไหวไปตามคลื่นบนผิวน้ำ ประกายสีทองที่เป็นจุดๆราวกับดวงดาว ราวกับประทับไว้ในดวงตาของเขา แต่ว่า พอเขาเงยหน้าขึ้น ยังคงเต็มไปด้วยสีฟ้าอ่อน ไม่เห็นแสงอาทิตย์
เขาโดดเดี่ยวมาก
เจ๋อหลานมองเขาแค่แวบเดียวเท่านั้น ก็รู้แล้ว
เขาเองก็มองเห็นเจ๋อหลาน นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย มองนางอยู่นิ่งๆ
เจ๋อหลานได้เผยรอยยิ้มน่ารักไร้เดียงสาให้กับเขา องครักษ์อยากจะพายเรือเล็กออกไป แต่ว่าพายอยู่ในน้ำได้ไม่กี่ที เรือเล็กราวกับไม่ฟังคำสั่ง มุ่งตรงไปทันที
เกือบจะชนเข้าแล้ว แต่เรือเล็กกลับหยุดลงเสียก่อน
องครักษ์ประสานสองมือขึ้นมา คำนับนายน้อย
นางคือ? หนุ่มน้อยยังคงจ้องมองเจ๋อหลาน ในสายตามีแววสงสัยอยู่บ้าง ในจวนไม่มีเด็ก สาวน้อยคนนี้มาจากที่ใดกัน
เรียนนายน้อย ท่านนี้คือแขกของท่านอ๋อง องครักษ์ตอบคำถาม
อ๋อ หนุ่มน้อยไร้ความสนใจขึ้นมาทันที แสงวาววับที่พาดผ่านดวงตาก็ดับมอดลง
แต่ในชั่วขณะที่องครักษ์จะพายเรือออกไปนั้น เจ๋อหลานก็กระโดดไปยังเรือของหนุ่มน้อย
ตอนที่โดดลงไปถึงเรือไม่ค่อยมั่นคงนัก เกือบจะหล่นลงไปในน้ำแล้ว
มือน้อยข้างหนึ่งดึงข้อมือของนางเอาไว้ ร้องเบาๆว่า ระวัง
เจ๋อหลานพูดด้วยรอยยิ้มว่า ขอบคุณเจ้ามาก เจ้าช่วยข้าไว้
หนุ่มน้อยพูดเสียงเรียบๆว่า ไม่เป็นไร เจ้าตกลงไปในทะเลสาบก็ไม่ตาย องครักษ์จะช่วยเจ้าเอง
เจ๋อหลานยิ้มอย่างซุกซน ยื่นมือออกไปภายใต้แสงแดดจ้า ข้าชื่อเจ๋อหลาน ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า
หนุ่มน้อยมองมือที่เรียวยาวและขาวดุจหยกที่ยื่นออกมาอย่างนิ่งอึ้ง เปล่งประกายอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
เจ๋อหลาน ชื่อไพเราะจริงๆ
เจ๋อหลาน เขาพูดชื่อนี้ขึ้น
ใช่แล้ว เจ้าล่ะ เจ้าชื่ออะไร เจ๋อหลานเก็บมือกลับไป และไม่ได้รู้สึกเขินอาย ยิ้มอย่างไร้เดียงสา ท่าทีน่ารัก ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
เจ้าสามารถเรียกข้าว่าเสี่ยวอู่ หนุ่มน้อยพูด
ดวงตาของเจ๋อหลานเป็นประกาย รู้สึกชื่นชอบอยู่บ้าง บังเอิญจริงๆ พ่อข้าก็เป็นลูกคนที่ห้า แต่แม่ข้าเรียกพ่อข้าว่าเจ้าห้า
หนุ่มน้อยมองรอยยิ้มของนาง ทันใดนั้นหัวใจก็กระตุก
เจ๋อหลานมองเขา เจ้าเป็นฮ่องเต้หรือ
ใบหน้าของหนุ่มน้อยเย็นชาขึ้นมาทันที เขาบอกเจ้าหรือ เขาให้เจ้ามาตีสนิทข้าหรือ
เจ๋อหลานส่ายหน้า ข้าเดาเอง อ๋องเต้แคว้นจินเป็นลูกลำดับที่ห้า แต่พวกเขาเรียกเจ้าว่านายน้อย คิดว่าเจ้าคงจะเป็นฮ่องเต้ของแคว้นจินแน่
เพียงแต่ ได้ยินว่าฮ่องเต้ของแคว้นจินอายุแค่สิบขวบ ทำไมจึงดูเหมือนคนอายุสิบสามสิบสี่ปีได้เล่า หน้าตาแก่กว่าอายุหรือ
หนุ่มน้อยไม่พูดอะไร เม้มปากเล็กน้อย ใบหน้ายิ่งดูเย็นชาเข้าไปใหญ่
เจ๋อหลานกลับทำราวกับไม่ได้รับรู้ถึงความเย็นชาห่างเหินของเขา เอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า ข้าอาศัยอยู่ในเรือนน้ำแข็ง เจ้าว่างก็มาเล่นกับข้าได้นะ
เจ้าเป็นแขกของเขา นอกเสียจากว่าเขาให้เจ้ามาตีสนิทกับข้า ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่มีทางไปหาเจ้าแน่ สายตาของหนุ่มน้อยไม่มีประกายอะไรหลงเหลืออีกแล้ว เต็มไปด้วยความว่างเปล่า
เจ๋อหลานโค้งริมฝีปากขึ้น ทำไมเจ้าต้องฟังเขาด้วยเล่า ข้าเองก็ไม่ได้ฟังคำพูดของท่านพ่อข้าทั้งหมด ตนเองต้องมีความคิดของตนเอง
หนุ่มน้อยยิ้มเย็น เจ้าเป็นแค่เด็ก ไม่รู้อะไรเลย
เจ๋อหลานเอียงศีรษะ ใบหน้าเป็นประกาย เจ้าเองก็เป็นแค่เด็ก เด็กสามารถทำผิดได้บ้างเป็นครั้งคราว ผู้ใหญ่ที่ถือสาเด็ก เช่นนั้นคนที่ผิดย่อมเป็นผู้ใหญ่ คนใต้หล้านี้ต่างก็รู้เหตุผลนี้
หนุ่มน้อยมองนาง แววตาราวกับถูกกระตุ้น
เจ๋อหลานแลบลิ้นที่ราวกับเปลวไฟออกมาชั่วครู่ แค่พริบตาเดียวก็เก็บกลับไป ร่างที่อ่อนนุ่มเขยิบใกล้เข้าไป กดเสียงลงต่ำ ไม่ให้องครักษ์ได้ยิน เจ้าทำผิดตอนอายุสิบสาม เขาจำเป็นต้องอภัยให้เจ้า แต่ถ้าเจ้าทำผิดตอนอายุสิบแปด เขาสามารถเด็ดหัวเจ้าได้
สีหน้าของหนุ่มน้อยเปลี่ยนไปทันที เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างกะทันหัน ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าเขาให้นางมาพูดเช่นนี้ หรือว่าเป็นการให้คำแนะนำดีๆอย่างบริสุทธิ์ใจจากการพบกันโดยบังเอิญกันแน่ หรือบางที เป็นเพียงคำพูดของเด็กที่พูดไปเรื่อยเปื่อย
แต่ว่า คำพูดนี้สำหรับเขาแล้ว มีความหมายยิ่งใหญ่มาก
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของเขา มีสีแดงอ่อนๆค่อยๆแผ่กระจายออกมา
เจ๋อหลานมอง ยิ้มบางๆ หันกลับไปมองเรือนน้ำแข็งใต้ทะเลสาบ กลับเห็นว่าค่อยๆละลายลงแล้ว
ดูสิ ไฟสามารถละลายน้ำแข็งได้ เจ๋อหลานยิ้มอย่างดีใจ
พี่ชายตัวน้อย พวกเราต้องได้พบกันอีกแน่ เจ๋อหลานพูด
หนุ่มน้อยคว้าข้อมือของนางเอาไว้ทันที จ้องมองนางนิ่ง หลังจากนี้สิบปี หากข้ายังไม่ตาย จะมาขอเจ้าแต่งงาน
เจ๋อหลานยิ่งยิ้มอย่างเบิกบานใจจนดวงตาหรี่ลง เช่นนั้นเจ้าจะถูกพ่อข้าตีตายแน่
ข้าไม่กลัว พ่อเจ้าจะดุแค่ไหน ก็ดุไม่เท่าคนที่ข้าต้องต่อกรด้วย หนุ่มน้อยพูดเสียงต่ำ
เจ๋อหลานไม่คิดเช่นนั้น พ่อไม่ดุ แต่ว่า ถ้ามีคนจะมาขอนางแต่งงาน เขาคงจะทำตัวดุมากแน่ๆ ดุจนสามารถฆ่าคนได้
ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว เจ๋อหลานถามเขา อย่างไรเสียก็ต้องถามให้แน่ใจว่าสิบปีหลังจากนี้เขาอายุเท่าไหร่กันแน่ ถึงเกณฑ์ที่จะสามารถแต่งงานได้ตามกฎหมายหรือยัง ข้าอายุสิบสามปี
หนุ่มน้อยลังเลชั่วครู่ ข้าอายุสิบสาม แต่ว่า เขาเอาแต่บอกกับคนภายนอกเสมอว่าข้าอายุสิบขวบ
เจ๋อหลานเข้าใจแล้ว สิบสามปี เช่นนั้นยังเหลือเวลาอีกสามปีที่จะต้องคืนประเทศให้เขา ถ้าหากเพิ่งจะสิบขวบ เช่นนั้นก็ยังมีเวลาอีกหกปี อ๋องเจิ่นกั๋วแก้ไขอายุของเขาโดยมีจุดประสงค์ที่ไม่ดี
เจ้าเป็นคนเดียวนอกจากเขา คนเดียวที่รู้ว่าข้าอายุเท่าไหร่ หนุ่มน้อยระแวงขึ้นมาบ้างทันที
นี่เป็นความลับของพวกเรา เจ๋อหลานเผยให้เห็นรอยยิ้มที่งดงาม
ความลับ หนุ่มน้อยพึมพำสองคำนี้เบาๆ
นางกระโดดกลับไปยังเรือเล็กของตัวเอง นั่งลงอย่างมั่นคง ผิวน้ำกลับไม่มีร่องรอยการกระเพื่อมของน้ำเลยสักนิด แสงแดดสาดส่องลงมา ส่องมาบนผิวที่ขาวผุดผ่องของนาง แววตาที่มีสีแดงจางๆ คนที่ราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แค่หมุนตัว ก็ราวกับนำพาความงดงามทั้งหมดที่มีบน.โลกจากไปด้วย
บนนิ้วมือของหนุ่มน้อยยังมีความร้อนผะผ่าวหลงเหลืออยู่ ความเย็นชาที่มีมาเป็นเวลานาน แทบจะไม่เคยได้รับความอบอุ่นมาก่อน ความอบอุ่นนี้ให้ความรู้สึกแทบจะเป็นความร้อนระอุด้วยซ้ำไป ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง