บัลลังก์หมอยาเซียน – บทที่ 1655 พวกเขากลับมาแล้ว

บทที่ 1655 พวกเขากลับมาแล้ว

นอกจากฮ่องเต้ฮุยจงกับองค์รัชทายาทแล้ว มีอีกคนหนึ่งที่ชื่อโพ่ตี้อวี้ ตอนนั้นมาถึงที่นี่โดยไม่ได้คิดอะไรไว้ล่วงหน้า เพราะต้องตามทวงหนี้กับสองสามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอัน จึงกระโดดเข้าสู่ทะเลสาบจิ้งไปด้วย ผลสุดท้าย ไปแล้วก็กลับมาไม่ได้อีก ตอนนี้ได้เดินทางกลับแล้ว ในใจของเขากำลังคิดคำนวณว่าตอนนั้นยังมีใครบ้างที่ติดหนี้ค่าสินค้าของเขายังไม่จ่าย ครั้งนี้ต้องเก็บกลับมาให้หมด แม้จะตายไปแล้ว ตามไปเก็บถึงนรกก็จะทำ

อีกคนหนึ่งชื่อว่าเหยียนซูหลิ่ว เป็นฮองเฮาของฮ่องเต้ฮุยจง ตอนนั้นถูกส่งมาพร้อมกับฮ่องเต้ฮุยจง เหยียนซูหลิ่วท่านนี้แต่ก่อนก็เคยอาศัยอยู่ที่หอจัยซิง ก่อนที่ฮ่องเต้ฮุยจงจะขึ้นครองราชย์ พวกเขาก็แต่งงานกันแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา

ตอนที่ฮ่องเต้ฮุยจงจะถูกส่งตัวมาที่นี่ นางเลือกที่จะตามมาเอง นับว่าเป็นที่มีความรักและภักดีคนหนึ่ง

นางนิ่งเงียบมาตลอดทาง ที่จริงก็เหมือนกับองค์รัชทายาท หลายปีนี้นางพยายามจะมีชีวิตอยู่ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ก็เพราะหวังว่าจะมีสักวันที่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักครั้ง

พวกเขาทะลุมิติผ่านทะเลสาบจิ้ง ทังหยวนให้เซเว่นอัพเอารายงานกลับไปที่เมืองหลวงก่อน จากนั้นให้บอกท่านแม่ บอกว่าพวกของท่านเทียดได้ตามกลับมาด้วย ถามว่าจะให้จัดการอย่างไรดี พวกเขานั้นไม่สามารถกลับไปยังเมืองหลวงในยามค่ำคืนทันทีแน่ เพราะผู้อาวุโสทั้งสี่อายุมากแล้ว คงทนกับการเดินทางที่ยากลำบากไม่ไหว ระหว่างทางต้องเดินทางอย่างช้าๆจึงจะได้

แต่จิตในอันมุ่งมั่นที่อยากจะกลับเมืองหลวงของฮ่องเต้ฮุยจง กลับบอกว่าไม่กลัวการเดินทางลำบาก จะใช้ความเร็วที่สุดในการกลับเมืองหลวง

เซเว่นอัพรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เอารายงานมา รีบกลับเข้าเมืองหลวง รีบเข้าวังหลวง และรีบไปคุยกับพ่อแม่ถึงเรื่องนี้

หยวนชิงหลิงได้ยินแล้ว ก็ยื่นมือไปนวดที่ขมับ  เรื่องนี้ยุ่งยากแน่ ที่จริงตอนที่ข้ากลับไป พวกเขาเอาแต่จะให้ข้าพากลับมาด้วย แต่ข้าคิดว่าในเมื่ออ๋องชินเฟิงอันก็ไม่ให้พวกเขากลับมา ข้าก็ไม่กล้ายุ่ง ตอนนี้อ๋องชินเฟิงอันกับพระชายาไปนอกเมือง พวกเขากลับมาในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหรือไม่ 

เรื่องยุ่งยากเหล่านี้ รวมไปถึงข่าวใหญ่ที่จะปรากฏขึ้นด้วยในเร็ววันนี้ ฮ่องเต้ฮุยจงกับองค์รัชทายาทเป็นศพเดินได้

แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นผู้อาวุโสของหยู่เหวินเห้า หยู่เหวินเห้ากลับรู้สึกว่ากลับมาเยี่ยมสักครั้งไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไร ให้คนคอยจับตาดูเอาไว้ก็พอ เขาเอ่ยขึ้นว่า เช่นนั้นข้าไปที่จวนอ๋องซู่ด้วยตนเอง พูดคุยเรื่องนี้กับเสด็จปู่ให้ชัดเจน ให้เสด็จปู่ส่งคนไปจับตาดูดีกว่า  

เรื่องนี้เขาต้องไปเอง ไม่สามารถให้คนไปส่งข่าวได้

 ได้ เช่นนั้นท่านไปเถอะ ข้าจะดูรายงาน หยวนชิงหลิงพูด พลางเปิดรายงานขึ้นมาอ่าน

 ได้ เช่นนั้นข้าจะไปเดี๋ยวนี้ พวกเขาจะกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ดีไม่ดีอาจจะถึงพรุ่งนี้ช่วงพลบค่ำแล้ว ไปบอกกล่าวเสด็จปู่พรุ่งนี้เกรงว่าจะเตรียมการไม่ทัน ทางที่ดีที่สุดคือให้พวกผู้อาวุโสที่หอจัยซิงไปเอง คุ้มครองตลอดการเดินทางกลับเมืองหลวง หยู่เหวินเห้าพูดจบก็รีบสวมเสื้อคลุมออกไปทันที บอกว่าคุ้มครอง ที่จริงคือคอยจับตาดู

ไม่สนใจว่าจะดึกแค่ไหน เรียกตัวสวีอี ฮ่องเต้และขุนนางตรงไปยังจวนอ๋องซู่กันสองคน

ชีวิตของพวกอู๋ซ่างหวงในตอนนี้คือเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้า ตามปกติแล้วเวลานี้พวกเขาเข้านอนกันนานแล้ว แต่ว่า คืนนี้ผู้อาวุโสทั้งสามกลับนอนไม่หลับ รู้สึกหัวใจหนักอึ้งอย่างไร้สาเหตุ ทั้งสามคนรวมตัวกัน คิดทบทวนไปมา ก็รู้สึกว่าช่วงนี้ไม่ได้มีเรื่องให้ต้องกังวลอะไร ทำไมจึงได้รู้สึกถึงความอันตรายที่หนักหน่วงเช่นนี้กันนะ

และในเวลานี้เอง ก็ได้ยินข้างนอกรายงานว่าฮ่องเต้เสด็จมา

ทั้งสามคนรู้สึกตกใจพร้อมกัน ดึกขนาดนี้แล้ว อีกทั้งเจ้าห้ายังมาด้วยตนเอง ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ

 รีบเชิญเข้ามา อู๋ซ่างหวงสั่งการลงไป จากนั้นทั้งสามคนก็รีบสวมเสื้อคลุมออกไปรอที่ห้องโถงของเรือนทิงหยู่เซวียน

พวกเขาทั้งสามคนได้เตรียมใจไว้แล้ว ว่าต้องได้ยินข่าวร้ายอันน่าตกตะลึงของประเทศ

แต่คิดไม่ถึงว่า กลับเป็นข่าวที่องค์รัชทายาทกับฮ่องเต้ฮุยจงจะกลับมา

ผู้อาวุโสทั้งสามผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง  เป็นเรื่องนี้นี่เอง 

แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา อู๋ซ่างหวงขมวดคิ้ว ทำไมจึงตามกลับมาด้วย เหมือนพี่เหว่ยจะเคยบอกไว้ว่าไม่ให้พวกเขากลับมาเป็นการชั่วคราว 

เซียวเหยากงพูดว่า  ข้าจำได้ว่าพี่เหว่ยบอกว่าไม่ใช้ฮ่องเต้ฮุยจงกลับมา ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้พูดถึง เขาบอกว่าฮ่องเต้ฮุยจงเป็นคนหัวดื้อ กลับมาจะเกิดเรื่อง 

 ไม่ ข้าจำได้ว่าโพ่ตี้อวี้ก็ไม่ให้กลับมา โสวฝู่ฉู่พูด

เช่นนั้นก็มีคนหัวดื้อสองคน

ฮ่องเต้ฮุยจงกับผู้เฒ่าโพ่ตี้อวี้คนนั้น

 น้องสิบแปด เจ้าไปหาคนที่หอจัยซิง ให้พวกเขาไปสกัดกั้นที่ทะเลสาบจิ้ง จากนั้นก็ส่งกลับไปที่เมืองหลวงอย่างลับๆ ระหว่างทางห้ามเผยโฉมหน้าเด็ดขาด กลับไปถึงแล้วให้รีบเข้าไปที่จวนอ๋องซู่ อู๋ซ่างหวงสั่งการลงไป

เซียวเหยากงลุกขึ้นยืน  ได้ ข้าจะไปตามคน 

ก่อนที่ฮ่องเต้ฮุยจงจะเป็นฮ่องเต้นั้น ได้เป็นอ๋องชินสู้ จวนอ๋องซู่ที่นี่ เป็นรังเก่าของฮ่องเต้ฮุยจง หรือพูดอีกอย่างคือเขาเป็นเจ้าของจวนอ๋องซู่

กลุ่มคนที่หอจัยซิงได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว ก็รู้สึกตื่นตะลึงตกใจเป็นอย่างยิ่ง

ผู้เฒ่าในหอจัยซิง ไม่รู้ถึงความเป็นไปของพวกเขา เพียงแค่รู้จากปากของอ๋องชินเฟิงอันว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าทุกคนยังคงแสดงความสงสัยอยู่ เพราะว่าพวกเขาต่างก็แก่มากแล้ว คนแก่จนถึงระดับหนึ่งก็ต้องตาย

ตอนที่เซียวเหยากงบอกว่าเหยียนซูหลิ่วก็ตามกลับมาด้วย อารมณ์ของทุกคนต่างก็ตื่นเต้นขึ้นมา โดยเฉพาะแม่นมชิวกับฮูหยินแก่อีกหลายคน ตื่นเต้นกันมาก ต่างก็พูดว่าไม่คิดว่าจะได้พบหน้าฮองเฮาอีกครั้งไม่ขาดปาก

หอจัยซิงได้ส่งคนออกไปหลายคน ควบม้าออกจากเมืองหลวงกลางดึก

หยู่เหวินเห้าเห็นพวกอู๋ซ่างหวงแบกรับเรื่องนี้ไป ก็รู้สึกวางใจอย่างแท้จริง

หวังว่าพวกเขากลับมา จะไม่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น

เขาไม่วางใจฮ่องเต้ฮุยจงมากที่สุด เพราะว่าคนที่อายุมากขนาดนี้แล้ว ยังจะทรมานกับการดึงหน้า ส่วนใหญ่คนเหล่านี้จะมีพฤติกรรมไม่เรียบร้อย

ระหว่างทางกลับเข้าวังหลวง หยู่เหวินเห้ายังคงรู้สึกไม่วางใจอยู่เล็กน้อย

ฮ่องเต้ที่เป็นศพเดินได้ ถ้าหากควบคุมไม่ได้เที่ยวเดินพล่านไปทั่ว เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหลกันขนาดไหน

เพราะว่า ฮ่องเต้ฮุยจงไปทำการดึงหน้ามา ไม่ได้ดูแก่ขนาดนั้น คาดว่าคงจะคล้ายกับตอนที่เขา  ตายไป  ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ง่ายมากที่จะทำให้พวกขุนนางเก่าแก่ที่ชื่นชอบการร้องไห้จำหน้าได้

แน่นอนว่า ตอนนี้เหล่าขุนนางเก่าแก่เหล่านั้น บางทีอาจจะเห็นภาพของเขาจากตอนที่ทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ขุนนางที่เคยเห็นหน้าเขาและยังคงอยู่ในตำแหน่งขุนนาง คาดว่าคงจะไม่มีแล้ว

สวีอีกลับรู้สึกว่าไม่เห็นจะเป็นอะไร ฮ่องเต้ฮุยจงก็อายุปูนนี้แล้ว ใครจะจำเขาได้ ได้ยินว่าเมื่อก่อนตอนที่เขาเป็นอ๋องชินสู้ไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ ส่วนการเป็นฮ่องเต้ รวมแล้วทั้งหมดก็เป็นเวลาแค่สองปีเศษกระมัง

ฉะนั้น เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วก็พูดกับหยู่เหวินเห้าว่า ฮ่องเต้ ที่ทรงเป็นกังวลที่สุดคือฮ่องเต้ฮุยจงกับองค์รัชทายาทจะถูกจำหน้าได้ใช่หรือไม่  

หยู่เหวินเห้าอืมเสียงหนึ่ง

สวีอีพูดว่า  เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ 

หยู่เหวินเห้าเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง พูดกับคนซื่อบื้อไม่เข้าใจ

สวีอีเห็นฮ่องเต้ไม่สนใจตนเอง รู้สึกว่าความคิดของตนเองยังตามฮ่องเต้ไม่ทัน ก็พูดอย่างเขินอายว่า  กระหม่อมคิดว่าที่ควรเป็นกังวลที่สุดคือหลังจากที่องค์รัชทายาทกับฮ่องเต้ฮุยจงกลับมาแล้ว เห็นว่าคนรู้จักในสมัยก่อน ส่วนใหญ่ก็ไม่อยู่แล้ว จะกระทบต่อจิตใจ และเสียใจมาก 

หยู่เหวินเห้านิ่งอึ้งไปชั่วครู่  เจ้าว่าอะไรนะ 

สวีอีเหงื่อออกเต็มใบหน้า  กระหม่อมมองผิวเผินเกินไป 

หยู่เหวินเห้ากลับนิ่งขรึมลง

เขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้ ล้วนมองทุกอย่างจากภาพใหญ่โดยรวม แต่เรื่องที่สวีอีพูดก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล นิสัยของฮ่องเต้ฮุยจงนั้นดูแล้วค่อนข้างบอบบาง เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เสด็จปู่ไม่ให้พวกเขากลับมา ก็เพราะสาเหตุนี้

 

บัลลังก์หมอยาเซียน

บัลลังก์หมอยาเซียน

Status: Ongoing

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง”หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: “ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น”อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: “เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่” หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: “ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท