บัลลังก์หมอยาเซียน – บทที่ 1739 เจ้าเมืองโจว เจ้าอย่าได้คิดไม่ตก

บทที่ 1739 เจ้าเมืองโจว เจ้าอย่าได้คิดไม่ตก

คำพูดของหยวนชิงหลิงนั้น เรียกได้ว่าเหมือนกับฟ้าผ่ากลางแดดอย่างไม่ต้องสงสัย บรรดาขุนนางตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงนั้นต่างตื่นเต้นตกใจ ทั้งยังหวาดกลัวจนตัวสั่น ใต้เท้าหลี่ถึงกับทรุดล้มลงไปกับพื้น สั่นเทิ้มไปทั้งตัว เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าชั่วชีวิตนี้ เขาจะมีโอกาสได้พบฮ่องเต้จริง ๆ

แม้ว่าเจ้าเมืองโจว จะมีนิสัยมั่นคงหนักแน่น แต่เขาเองก็ตื่นเต้นมากจนพูดอะไรไม่ออก น้ำตาไหลพรากออกมาจากสองตา

เดิมทีเขาคิดว่าแค่ได้พบฮองเฮาก็ถือเป็นเกียรติอันสูงส่งมากแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ก็จะทรงเสด็จมาด้วย ทำไมเขาจะไม่ตื่นเต้นยินดีล่ะ?

ด้วยความที่หยวนชิงหลิงอยู่ในเมืองหลวงกับเจ้าห้าอยู่เสมอ นางเพียงแค่อธิบายถึงข้อเท็จจริงนี้ เพื่อให้ทุกคนทุ่มเทสู้กับโรคระบาดนี้ได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร เพราะหากเกิดเรื่องใหญ่ ก็จะมีฮ่องเต้คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังให้เอง

เมื่อเห็นการแสดงออกที่ตื่นเต้นยินดีของพวกเขา ค่อยตระหนักได้ว่า การมาเยือนของชนชั้นผู้นำระดับสูงนั้น สำหรับขุนนางท้องถิ่นแล้ว นับได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่โตมากจริง ๆ

นางรีบเสริมอีกประโยคว่า  ฮ่องเต้เสด็จมาที่นี่เพื่อดูเรื่องโรคระบาด ทุกคนทำไปตามหน้าที่ของตัวเองก็พอแล้วล่ะ 

 พ่ะย่ะค่ะ ๆ กระหม่อมพร้อมจะทำตามพระประสงค์ของฮองเฮา   เจ้าเมืองโจว เช็ดน้ำตา

จวนปกครองร่วมมือกับสำนักการแพทย์ ออกตรวจสอบคัดกรองผู้ป่วยทั้งเมือง

คุณย่าหยวนออกใบสั่งยาหลายชุดเพื่อใช้รับมือกับโรคระบาด ยังคงให้ดื่มชาสมุนไพรเพื่อรักษาอาการเล็กน้อย ส่วนคนที่มีอาการรุนแรงหรือทรุดหนัก ให้ยึดตามใบสั่งยาของนางเอาไปใช้รักษา

ก่อนหน้านี้ตอนที่มาที่นี่ ทั้งสองเคยติดต่อเมืองใกล้เคียงเพื่อจัดส่งยาไว้แล้ว อีกทั้งเมืองหวูกุ้ยเองเดิมที ก็มีพวกยาที่เก็บไว้รับมือกับโรคระบาดนี้บ้างแล้ว

สำนักการแพทย์ของเมืองหวูกุ้ย นอกเหนือไปจากการรับมือกับโรคระบาดนี้เหมือนในปีก่อน ๆ แล้ว งานส่วนอื่น ๆ ล้วนทำได้ดีพร้อมครบถ้วนดีทีเดียว

หยวนชิงหลิงประมาณการว่าช่วงค่ำ ๆ คณะของฝ่าบาทก็น่าจะมาถึงเมืองหวูกุ้ยแล้ว

เดิมทีเจ้าเมืองโจว คิดอยากจะพาเจ้าหน้าที่ทั้งน้อยใหญ่มารอต้อนรับขบวนเสด็จ แต่หยวนชิงหลิง

ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด บอกว่าครั้งนี้ฝ่าบาททรงมาเยี่ยมเยือนเป็นการส่วนพระองค์ ไม่ต้องการทำให้เป็นเรื่องเอิกเกริกใหญ่โต ทั้งไม่ควรให้ประชาชนรู้

เจ้าเมืองโจว รู้สึกหวั่นกลัวอาญาอย่างยิ่ง

ฮ่องเต้เสด็จมาถึงเมืองหวูกุ้ย แต่กลับไม่มีใครไปต้อนรับพระองค์ จะทำอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?

แต่คำพูดของฮองเฮาเขาเองก็ไม่กล้าขัดขืน อีกทั้งสิ่งที่นางพูดมาก็สมเหตุสมผลมาก ถ้าเขาพาเจ้าหน้าที่ทั้งน้อยใหญ่ไปต้อนรับ ผู้คนจะไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของฝ่าบาทเข้าหรอกหรือ?

ติดอยู่แค่ อย่างไรก็ต้องไม่ให้ฝ่าบาทเสด็จมาถึงเมืองหวูกุ้ยได้ จะได้ไม่มีใครไปต้อนรับเขา

ดังนั้น หลังจากครุ่นคิดไปมาอยู่ครู่ใหญ่ ก็อาศัยจังหวะที่ฮองเฮากับใต้เท้าผู้ดูแลสำนักงานแพทย์ออกไปที่สำนักแพทย์ แอบสั่งให้คนแบกเกี้ยวพาเขาไปเฝ้าที่หน้าประตูเมือง

อาการป่วยของเขาค่อนข้างรุนแรง เขาแค่ได้กินยาของหยวนชิงหลิงเพื่อลดไข้ ควบคุมการอักเสบของปอดเท่านั้น แต่ร่างกายของเขายังอ่อนแออยู่มาก กระทั่งจะหายใจก็ยังลำบาก

ที่ประตูเมืองมีลมแรง อากาศหนาวเย็น เขาไม่กล้านั่งบนเกี้ยว แต่ไปซ่อนตัวอยู่บนกำแพงหอสังเกตการณ์จากที่ไกล ๆ ที่แห่งนี้เป็นจุดที่พอจะใช้หลบลมหนาวที่โชยพัดมา บางครั้งก็สามารถมองสอดส่ายสายตาจากช่องลอดประตูออกมาดูอะไร ๆ นอกเมืองได้ เมื่อฝ่าบาทกับโสวฝู่เหลิ่งมาถึง เขาก็จะสามารถมองเห็นได้ทันที

เขาไม่เคยพบฝ่าบาทมาก่อน แต่เพราะตอนที่ไปรายงานภารกิจในเมืองหลวงเคยได้พบโสวฝู่เหลิ่งอยู่

หลายครั้ง กิริยาท่าทางของผู้อาวุโสนั้นโดดเด่นน่าจับตา เขาจะจำไม่ได้ได้อย่างไร

เขากำลังจะได้พบฮ่องเต้แล้ว หัวใจของเขาเต้นแรงจนเกือบจะกระดอนออกมาให้ได้แล้ว

เนื่องจากความตื่นเต้นนี้ ทำให้เขารู้สึกว่า ความรู้สึกไม่สบายในร่างกายของเขาได้มลายหายไปจน

หมดสิ้นแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวเบาหวิวราวกับจะลอยได้ เหมือนกับดีใจมากเสียจนพร้อมจะล่องลอยไป

ยังสรวงสวรรค์ได้ทุกเมื่อ

รอจนช่วงฟ้าใกล้มืด ในที่สุดก็เห็นกลุ่มคนควบม้า ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาแต่ไกล

เมื่อมองดูจากระยะไกล ดูเหมือนว่าจะมีคนราว ๆ เจ็ดแปดคน ทั้งหมดล้วนขี่ม้าตรงเข้ามา ท้องฟ้าสีเทาถูกบดบังด้วยฝุ่นผงจากกีบม้าจนตลบอบอวล เขาพยายามขยี้ตาจนสุดความสามารถ แต่ก็ยัง

มองเห็นได้ไม่ชัดเจน

ใจเขาเต้นกระหน่ำจนแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว แต่กลับมองเห็นไม่ชัด เขาควรทำอย่างไรดีล่ะ?

เขาปีนขึ้นไปที่หอสังเกตการณ์ในสภาพงก ๆ เงิ่น ๆ บนนั้นพอจะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นมาหน่อย

เขาหยัดกายขึ้นไปยืนต้านลม ร่างกายของเขาถูกลมพัดจนไหวเอนเล็กน้อย กลุ่มคนบนหลังม้าใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นอยู่แล้ว เป็นโสวฝู่เหลิ่งใช่หรือไม่ ? นั่นคือโสวฝู่

เหลิ่งสินะ?

เขาก้าวขึ้นไปเหยียบข้างหน้าอีกก้าว โน้มตัวไปข้างหน้า ได้ยินเสียงคนในกลุ่มที่ควบม้าอยู่ร้องตะโกนมาทางเขาว่า  เฮ้ย เจ้าคนนั้นน่ะ อย่าได้คิดไม่ตกกับชีวิต รีบลงมา ลงมาเร็วเข้า! 

 

บัลลังก์หมอยาเซียน

บัลลังก์หมอยาเซียน

Status: Ongoing

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: “เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง”หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: “ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น”อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: “เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่” หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: “ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท