บทที่ 69 คุกเข่าหน้าประตู
“อาจารย์หยาง?!”
หลินจ้าวหยูนถึงกับทึ่งที่เห็นครูที่ปรึกษาของเธอคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
แต่เมื่อเห็นถังเฉาที่นั่งดื่มชาด้วยรอยยิ้มจางๆ เธอก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่พี่เขยบอกให้รอก็คืออาจารย์หยางคนนี้!
“จ้าวหยูน กลับไปเรียนเถอะนะ ถือว่าครูขอร้องแล้วล่ะ”
หยางกั๋วหรงขอร้องหลินจ้าวหยูนจนแทบจะคลานลงกับพื้น “ครูยอมรับว่าเป็นความผิดของทางมหาลัยที่ให้เธอออกจากมหาลัย เรารู้ว่าเราตัดสินใจผิดไปแล้ว เธอกลับไปเรียนเถอะนะ”
หลินจ้าวหยูนกำลังจะหลุดปากตอบตกลง แต่แล้วก็เปลี่ยน ทำไมเธอต้องทำตามคนอื่นด้วย?
เธอจึงกลอกตาแล้วพูด “เรื่องอะไรคะ? คุณไล่หนูออกมา หนูก็ออกมา แล้วตอนนี้คุณจะเรียกหนูกลับไป หนูก็ต้องกลับไปเหรอ?”
หยางกั๋วหรงแทบจะร้องไห้ “จ้าวหยูน ครูคุกเข่าให้หนูแล้วนะ หนูจะเอาอะไรอีก?”
หลินจ้าวหยูนที่กำลังจะตอบเขา แต่ถังเฉายิ้มจางๆ แล้วลุกขึ้นพูด “ซูเจี้ยนจงสั่งคุณมาใช่ไหม?”
หยางกั๋วหรงถึงกับตกใจ ถังเฉารู้ได้ไงว่าซูเจี้ยนจงสั่งมาเราที่นี่?
เช้าวันนี้ซูเจี้ยนจงเรียกเขาไปพบที่ออฟฟิศด้วยความกระวนกระวาย จากนั้นเอาหนังสือพิมพ์ประจำวันให้เขาดู
ข่าวใหญ่วันนี้มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือเหลียงเจียหมิงถูกจับเพราะนำยาที่หมดอายุให้กับผู้ป่วย ส่วนอีกเรื่องคือคุณชายตระกูลฉางเล่นบทซาดิสต์
คนอื่นอาจจะไม่รู้ความเกี่ยวโยงของสองข่าวนี้ แต่ซูเจี้ยนจงจะไม่รู้ได้อย่างไร?
แต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเพียงเวลาสั้นๆ วันเดียวฉางเซ่าเฟิงก็ถูกเล่นงานเสียแล้ว?
ซูเจี้ยนจงมอบหมายภารกิจให้กับหยางกั๋วหรงเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือไม่ว่าด้วยวิธีไหนเขาต้องทำให้หลินจ้าวหยูนกลับไปเรียนที่มหาลัยให้ได้ มิฉะนั้นเขาก็ไม่ต้องกลับไปอีก!
ดังนั้นหยางกั๋วหรงจึงมาคุกเข่าต่อหน้าหลินจ้าวหยูน
“กลับไปบอกซูเจี้ยนจงว่า เรายังไม่อยากคุยเรื่องนี้”
ถังเฉาพูดอย่างเฉยเมยว่า “อีกอย่าง ถ้ากลับไปเรียนใหม่ เธอไม่จำเป็นต้องเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยหมิงจูหรอก”
หยางกั๋วหรงรีบพูดอย่างกังวล “อย่านะครับคุณถัง คุณถังมีข้อเสนออะไรบอกผมได้นะครับ ทางมหาลัยของเรายินดีที่จะ……”
“คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ อาจารย์หยาง?”
สีหน้าถังเฉาค่อยๆ เย็นชาลง “คุณคิดว่าแค่คุกเข่ามอบของขวัญก็จะจบเรื่องนี้ได้เหรอ?”
หยางกั๋วหรงถึงกับทำตัวไม่ถูก
“ให้ซูเจี้ยนจงมาสารภาพผิดเอง”
ถังเฉาพูดอย่างเย็นชา “มาคุกเข่าที่หน้าบ้านทั้งบ่าย!”
หยางกั๋วหรงสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีและยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันเย็นชาของถังเฉาเขาก็ต้องจากไปอย่างผิดหวัง
หลังจากหยางกั๋วหรงออกไป หลินจ้าวหยูนก็รีบเข้ามานั่งข้างๆ ถังเฉาแล้วถามอย่างตื่นเต้นว่า “พี่เขยคะ พี่รู้ได้ไงว่าทางมหาลัยจะมาขอร้องให้หนูกลับไปเรียนอีก?”
“ง่ายๆ ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการถูกจับกุมของเหลียงเจียหมิง”
ถังเฉายิ้มพูด “ยาที่เธอให้ลุงเหลียงนั้นถูกต้องแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่คุณภาพของยา แล้วยาตัวนี้ทางมหาลัยรับมาจากบริษัทผลิตยาหงเทียนอีกที นั่นก็หมายความว่าทางมหาลัยก็มีส่วนเกี่ยวโยงกันด้วย ทั้งเหลียงเจียหมิง บริษัทผลิตยาหงเทียนและมหาลัยต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันหมด ไม่ว่าใครผิดพลาดแค่คนเดียว มันก็จะเชื่อมโยงไปทั้งสาม”
“เงินทุนมันสำคัญมาก ทางมหาลัยต้องใช้เงิน และสิ่งที่บริษัทผลิตยาหงเทียนไม่เคยขาดสนก็คือเงินทุน ที่สำคัญลูกชายของฉางหงเทียนก็เรียนในมหาวิทยาลัยหมิงจูอีกด้วย ทางมหาลัยจึงดูแลเขาอย่างเจ้าชายไงล่ะ”
หลินจ้าวหยูนพยักหน้าอย่างมึนงง แต่ก็ตะคอกด้วยความโกรธ “พวกฉลาดแกมโกง”
หลังจากเงียบไปสักพักเธอก็พูดต่อ “แล้วพี่จะให้ครูใหญ่มาคุกเข่าจริงเหรอ?”
ถังเฉามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดเบาๆ ว่า “คนทำผิดก็ต้องรับโทษ ไม่อย่างนั้นโลกเราจะอยู่ยังไงล่ะ?”
……
หลังจากหยางกั๋วหรงออกไปได้สักพักซูเจี้ยนจงก็เข้ามา
แต่ประตูบ้านถูกปิดไปแล้ว
ซูเจี้ยนจงมองเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
แต่เขาก็ยังคงคุกเข่าที่หน้าประตู
ดวงอาทิตย์ที่แผดจ้าบนศีรษะของเขาทำให้เขาชุ่มเหงื่อทันที
ผู้คนมากมายเดินผ่านไปมาและมองซูเจี้ยนจงที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูด้วยความประหลาดใจ
แม้ซูเจี้ยนจงจะรู้สึกโกรธในใจ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคุกเข่า
เขารู้ผลที่จะตามมาของเรื่องนี้ดี ถ้าเหลียงเจียหมิงสารภาพ เก้าอี้อาจารย์ในรั้วมหาลัยของเขาก็จะไม่มีอีก
เขาใช้เวลามากกว่าสิบในการไต่เต้าขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ แล้วเขาจะยอมให้มันเสียไปเพราะเรื่องแบบนี้ได้ไง?
บางครั้ง อำนาจก็สำคัญกว่าศักดิ์ศรีและเงินทอง
ไม่ว่าจะโกรธแค่ไหนและไม่ว่าจะถูกทำให้อับอายสักแค่ไหน เขาก็ต้องคุกเข่าลง
หลังจากนั้นไม่นานก็มีรถคันหนึ่งจอดลงที่หน้าประตูคฤหาสน์จื่อหยวน
ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวลงจากรถแล้วคุกเข่าที่หน้าประตูคฤหาสน์ทันที
ชายคนนั้นก็คือฉางเซ่าเฟิง
ทั้งสองคุกเข่าที่ประตูเผชิญกับแดดฤดูร้อนที่แผดเผาพร้อมกัน ไม่ว่าจะร้อนสักแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้
ด้านในคฤหาสน์
หลินจ้าวหยูนไม่สามารถทนดูได้อีก และเธออดไม่ได้ที่จะมองถังเฉาที่ยังคงมีสีหน้าเฉยเมย “พี่เขยคะ พวกเขาคุกเข่ามาสองชั่วโมงแล้วนะ”
“แล้วยังไงล่ะ ให้มันคุกเข่าต่อ”
ถังเฉาพูดต่ออย่างเฉยเมย “ต้องใช้วิธีนี้อย่างเดียวถึงจะให้พวกมันสำนึกผิดได้”
“จ้าวหยูน เธอต้องเข้าใจสิ่งหนึ่ง ในยุคแห่งความเลวทรามนี้ คนดีไม่มีที่ยืนหรอก ดังนั้นเธอจะใจอ่อนให้กับคนที่เคยทำร้ายเธอไม่ได้”
“ถ้าเธอใจอ่อนให้พวกมันเพียงแค่ครั้งเดียว พวกมันก็จะยิ่งได้ใจ เราต้องทำให้มันเจ็บ เจ็บจนจำเท่านั้นพวกมันถึงจะรู้จักกลัว”
“ค่ะ……”
หลินจ้าวหยูนทำได้เพียงพยักหน้าและรู้สึกว่าพี่เขยในตอนนี้ดูจริงจังอย่างอธิบายไม่ได้
อีกสองชั่วโมงผ่านไป ในขณะที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับฟ้า ถังเฉาเปิดประตูแล้วเดินออกไปจากคฤหาสน์
“ลึกขึ้น” เขาพูดอย่างเฉยเมย
ซูเจี้ยนจงกับฉางเซ่าเฟิงรู้สึกโล่งใจและพยายามจะลุกขึ้น แต่เรื่องจากคุกเข่านานเกินไปจนทำให้ทั้งสองขาชาและทำได้เพียงล้มลงอยู่ตรงหน้าถังเฉา
“ยอมรับผิดแล้วยัง?”
ถังเฉามองไปที่ซูเจี้ยนจงกับฉางเซ่าเฟิงอย่างไม่แยแส
“ยอมรับแล้วครับ”
ซูเจี้ยนจงกับฉางเซ่าเฟิงต่างก็กัดฟันแล้วพูดพร้อมกัน
“ยังกล้าทำอีกไหม?” ถังเฉาถามอีกครั้ง
“ไม่กล้าแล้วครับ”
ทั้งสองคลานอยู่ตรงหน้าถังเฉาแล้วตอบด้วยสีหน้าขมขื่น
“ผมรู้ว่าพวกคุณต้องเกลียดผมมาก แต่ไม่เป็นไร เพราะพวกคุณไม่เคยอยู่ในสายตาผม”
ถังเฉายิ้มพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าไม่พอใจก็กลับมาหาผมได้เสมอ ผมชื่อถังเฉา”
จากนั้นเขาก็ลบคลิปวิดีโอไฟล์ต้นฉบับต่อหน้าฉางเซ่าเฟิงแล้วพูดว่า “ไปให้พ้น”
กวนอี้รีบลงจากนั้นรถแล้วพยุงฉางเซ่าเฟิงขึ้นไปบนรถและขับออกไปทันที
กริ๊ง กริ๊ง……
ในขณะนี้ สายของลูกนอกเธอโทรเข้ามา
“เอาตัวเหลียงเจียหมิงออกมาได้หรือยัง?” หลังจากรับสายกวนอี้ก็ถามขึ้นทันที
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับบริษัทผลิตยาหงเทียน
แต่แล้ว เสียงที่ตอบกลับเธอก็เป็นข่าวร้าย “หัวหน้าครับ เราเอาตัวออกมาได้แล้วครับ แต่ว่าเขาสารภาพไปหมดแล้ว……”
“ไงนะ?!”
ทันใดนั้นสีหน้าของกวนอี้ก็ซีดเซียวทันที
เมื่อข่าวนี้ไปถึงหูของฉางหงเทียน เขาแทบจะเป็นลมทันที
เขาค่อยๆ ตั้งสติแล้วกัดฟันพูด “กวนอี้ คุณไปแจ้งไอ้หมอนั่น มันถูกตัดขาดจากตระกูลฉางของเราแล้ว จากนี้เป็นต้นไปมันกับบริษัทผลิตยาหงเทียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก!”
จากนั้นก็มีเสียงตะคอกอย่างรุนแรงดังขึ้นในสาย
“ถังเฉา บริษัทผลิตยาหงเทียนจะเป็นศัตรูกับมึง เราจะไม่ยอมสงบตราบใดที่จัดการคนอย่างมึงไม่ได้!”