บทที่ 82 สุนัขยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนสันดานของตัวเองได้
สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นเหมือนกันนั้นก็คือ คนที่ทำงานระดับล่างอย่างโจวเหม่ยหยูน หลินจ้อง โจวเหม่ยหลิง โจวซูหัวและคนอื่นๆนั้นต่างถูกย้ายออกไปทีละคน
ถังเฉานั้นนั่งอยู่ในสำนักงานคนเดียวด้วยความเฉยเมย นิ้วของเขาเคาะเบา ๆ บนโต๊ะทำงาน ทำให้เกิดเสียง‘ตุงตุง’ เป็นจังหวะ
“เพราะว่าเห็นแก่พ่อ นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้ว หากไม่รู้จักหวงแหน ก็อย่ามาโทษผมละกัน…”ถังเฉาพึมพำกับตัวเองด้วยสายตาที่หนาวเย็น
หลังจากที่เจิงเทียนเสียงนั้นทำธุระเสร็จแล้ว เขาก็ได้กลับเข้าไปที่ห้องทำงานอีกครั้ง พร้อมกับรายงานสถานการณ์
ประธานหลัวได้ตอบรับคำเชิญจากหลงเถิงกรุ๊ปและเข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะของเจ้าของของอาคารกั๋วจี้ ในขณะเดียวกัน ประธานหลินเองก็ได้ปฏิเสธคำเชิญไป พร้อมกับฉีกบัตรเชิญออกเป็นชิ้นๆพร้อมกับโยนลงถังขยะไป…..
การที่หลินชิงเสว่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้ถังเฉารู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ซ่งเทียนซานเองก็ต้องการวางแผนต่อต้านหล่อนจริงๆด้วย แล้วหลินชิงเสว่จะมองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่ดีได้อย่างไรกัน?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับหลินชิงเสว่แล้ว ถังเฉากับสนใจบาดแผลบนใบหน้าของซ่งเทียนซานมากกว่า
แม้ว่าในคืนนั้นหลินชิงเสว่จะเป็นคนห้ามไม่ให้เฟิ่งหวงฆ่าหม่าจงและซ่งเทียนซาน แต่ตอนหลังหน้าตากลับโดนตนเองตีซะจนพังยับเยินไปซะงั้น
เดาว่าในชีวิตนี้คงไม่สามารถแก้กลับมาได้อีก
ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่ได้สำคัญแค่กับผู้หญิง แต่สำหรับผู้ชายมันกลับสำคัญมากกว่า หน้าของเขาโดนถังเฉาตีจนเป็นแบบนี้ งานเลี้ยงอาหารค่ำเองก็ยังไม่ได้ถูกยกเลิก ดูเหมือนว่าเมืองเหล่านี้นั้นจะให้ความสำคัญกับโครงการฟื้นฟูนี้เสียจริง
“บริษัทที่หลัวปู้จะส่งมาในเย็นนี้จะมาถึงเมื่อไหร่?” ถังเฉาถาม
เจิงเทียนเสียงพูดด้วยความเคารพว่า “ก่อนที่งานเลี้ยงสปอนเซอร์จะเริ่มขึ้น จะมาถึงอย่างแน่นอนครับ”
ถังเฉาก็ไม่ถามมากความ เขาไม่กังวลเลยสักนิดว่าบริษัทเหล่านั้นจะกล้าไม่มาหรือไม่ คนรับผิดชอบของสมาคมการค้าหงยิงนั้นได้โทรเรียกคนสั่งให้คนมาด้วยตัวเอง หากไม่มาหรือมาสาย ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะรับผิดชอบไหว
“งั้นก็รอไปเงียบๆจนกว่าอาหารมื้อค่ำจะมาแล้วกัน”
ในไม่ช้า ก็มาถึงช่วงเวลาบ่าย ถังเฉาส่งข้อความไปหาหลินชิงเสว่ว่า “ผมจะไปบ้านของตระกูลหลิน เพื่อไปร่วมมื้อค่ำกับพวกสปอนเซอร์ของพวกเขา”
ข้อความถูกส่งกลับมาอย่างรวดเร็ว โดยมีเพียงคำสั้นๆว่า “โอเค”
ถังเฉาขับรถไปที่บ้านของตระกูลหลิน เมื่อเข้ามาถึงสนามหญ้า ก็พบว่าคนอื่นๆนั้นมาถึงกันแล้วพร้อมกับคุยกันอย่างมีความสุข
ขณะที่ถังเฉากำลังจะก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นนั้น ก็มีเสียงแหลมๆดังมาว่า
“ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่อนุญาติให้ก้าวเข้ามา!”
โจวเหม่ยหยูนชี้ไปที่เท้าของถังเฉาพร้อมกับพูดว่า “ตอนนี้แกไม่ใช่คนของตระกูลหลินอีกแล้ว มีคุณสมบัติอะไรถึงก้าวเข้ามาในบ้านของตระกูลหลินอยู่ตรงสนามหญ้า–ไม่ก็ไปรอหน้าประตูก็แล้วกัน”
“เหม่ยหยูน นี่เธอกำลังพูดอะไรกันเนี่ย?”
หลินเจิ้นสงเป็นคนแรกที่ยืนขึ้นมาต่อต้าน ทำหน้าบึ้งตึงขมวดคิ้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพวกเธอค่อยๆบังคับให้เสี่ยวเฉาออกไป เสี่ยวเฉาจะไปหรือไง?”
“แล้วที่ฉันทำมันผิดหรือไงกัน?”
โจวเหม่นหยูนกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไร้ประโยชน์แบบนี้ การงานก็ไม่มีทำ มาอยู่บ้านเราก็คงเหมือนแมลงเม่าเท่านั้นแหละ ออกไปแหละดีแล้ว”
“แม่ ตอนนี้เขามีงานทำแล้วนะ” หลินฉ่ายเวยที่อยู่ด้านข้างกล่าวออกมา
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการเตือนความจำ จริงๆแล้วมันลดคุณค่าลงไปมากกว่าเดิมอีก
ถังเฉามองไปที่พวกหล่อนด้วยสายตาที่เย็นชา ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
“ฉันรู้แล้ว”
โจวเหม่ยหยูนวันนี้กับเมื่อวานนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พูดอย่างมั่นใจว่า “อยากจะกลับมาก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แกทำงานแล้วนิ ใช่ไหมล่ะ เอาเงินเดือนของแกทุกเดือนมาให้สิ พวกเราถึงจะให้แกมาอยู่อาศัยที่นี่”
ถังเฉารู้สึกขบขันกับประโยคนี้เสียจริง “เงินเดือนของผมทุกเดือนงั้นเหรอ?เกรงว่าจะถือกันไม่ไหวล่ะสิ”
เงินเดือนของเขามีเท่าไหร่กันนะ?
ล้าน?หลายสิบล้าน?
ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้
แต่เมื่อมันไปตกอยู่ในหูของคนตระกูลหลินแล้ว ความหมายก็เปลี่ยนไป
“ถังเฉา แกหมายความว่ายังไง?คิดว่าพวกเราวางแผนการเงินของแกอยู่รึไง?”
หลินฉ่ายเวยกล่าวอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้ฉันเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของหลงเถิงกรุ๊ป แม่ของฉันก็เป็นถึงผู้จัดการด้านการเงิน ส่วนลุงก็…..”
หลินฉ่ายเวยค่อยๆแนะนำตำแหน่งของแต่ละคน จากนั้นก็มองไปที่ถังเฉาด้วยความรังเกียจ “นายล่ะ?ใครจะไปรู้กันว่านายทำอะไรอยู่ที่อาคารกั๋วจี้ ไม่แน่ว่าเงินเดือนหนึ่งอาจจะไม่ถึงห้าพันก็ได้ ให้นายบริจาคเงินเดือนให้ มันก็คงจะเป็นการดูถูกนายน่าดูเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ในที่สุดถังเฉาก็เข้าใจว่าความเชื่อมั่นของพวกหล่อนนั้นมาจากไหนกัน สายตาของเขากลายเป็นเย็นชา
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพ่อมาอ้อนวอนให้กับพวกหล่อนแล้วเขาสั่งเจิงเสียงเทียนไปเปลี่ยนตำแหน่งจากล่างขึ้นมาล่ะก็ จะมีตำแหน่งผู้จัดการไหนหล่นมาถึงพวกหล่อนกัน?
“สุนัขยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนสันดานของตัวเองได้อยู่ดี”
ถังเฉาทิ้งประโยคนี้ไว้อย่างย็นชา หันหลังจากนั้นเดินไปที่ประตูบ้านของตระกูลหลิน
ประโยคนี้ได้ไปกระตุ้นหลินฉ่ายเวยและโจวเหม่ยหยูน เมื่อทั้งสองได้รับการถูกกระตุ้นก็ต่างยืนขึ้นมา
“แกว่าใครว่าเป็น?สุนัขที่ไม่สามารถเปลี่ยนสันดานของตัวเองได้กัน?”
“พอแล้ว!”
หลินเจิ้นสงทนไม่ได้อีกต่อไปและตะโกนว่า “พวกเธอนี่มัน หมดทางรักษาแล้วจริงๆ”
โจวเหม่ยหยุนได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้จัดการทางการเงินนั้นมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก “หลินเจิ้นสง ไอที่ดูหมดหนทางรักษาแล้วน่ะมันคือคุณต่างหาก!”
จากนั้นก็ชี้ไปที่ถังเฉาที่ยืนอยู่นอกประตูและพูดต่อว่า “กับอีแค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง คุณกลับมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่าคุณควรไปกังวลกับเรื่องสปอนเซอร์ก่อนเถอะ งานเลี้ยงมื้อค่ำของพวกสปอนเซอร์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ฉันจะคอยดูว่าคุณจะจัดการยังไง?”
“เสี่ยวเฉาบอกว่ามันได้แก้ไขไปแล้ว”
“มัน?มันจะดึงสปอนเซอร์ได้ยังไงกันเล่า?”
ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดัง “สิบหยวน?หรือว่าร้อยหยวนดี เงินเล็กน้อยนี่ มันใช้ไม่ได้อยู่แล้ว?”
ใบหน้าของหลินเจิ้นสงนั้นดูหมองหม่น ไม่พูดอะไรออกมา
“พ่อ อย่ามาโทษว่าฉันไม่เตือนพ่อนะ เอาความหวังไปไว้บนคนไร้ประโยชน์แบบนั้น เขาก็ดีแต่ทำให้พ่อผิดหวังนั่นแหละ!”
หลินฉ่ายเวยมองไปที่หลินเจิ้นสงและพูดว่า “ถ้าจะให้พูด ก็มาที่หลงเถิงกรุ๊ปด้วยกันเถอะ ประธานซ่งต้องให้งานที่เหมาะสมกับพ่อแน่ๆ”
“หึ”
หลินเจิ้นสงนั้นตะคอกไป ใบหน้านั้นถอดสี
“ฉ่ายเวย อย่าไปสนใจเขา”
โจวเหม่ยหยูนจับตัวหลินฉ่ายเวยและพูดว่า “ถ้าอีกสักพักสปอนเซอร์ไม่มาล่ะก็ งานนี้คงสนุกแน่”
หลินจ้อง โจวซูหัวและคนอื่นๆต่างพากันหัวเราะพร้อมกับมองเวลา แทบจะรอไม่ไหวที่จะได้เห็นตระกูลหลินทำตัวโง่ๆ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาตอนนี้เป็นแค่ผู้นำระดับกลางของหลงเถิงกรุ๊ปเท่านั้น แม้ว่าการร่วมมือกันของตระกูลหลินกับบริษัทลี่จิงกรุ๊ปจะพังลง แต่ก็ไม่สามารถทำให้ผลประโยชน์ของพวกเขาหายไป
“ไปเถอะ ใกล้จะได้เวลาแล้ว”
เมื่อมองเวลา โจวเหม่ยหยูนก็ลากหลินฉ่ายเวยขึ้นรถเบนซ์ไป ส่วนหลินจ้อง โจวซูหัวและคนอื่นๆก็พากันขึ้นรถของตัวเอง
เมื่อรถขับมาถึงตรงประตูบ้าน โจวเหม่ยหยูนเห็นถังเฉายืนอยู่ที่หน้าประตู แต่ก็ไม่ได้หยุดรถพร้อมกับขับตรงออกไป
หลินเจิ้นสงถอนหายใจพร้อมกับขับรถมาจอดที่ด้านข้างของถังเฉา “ขึ้นมาเถอะ”
“ขอบคุณครับพ่อ”
ถังเฉากลับเข้าสู่ความสงบเหมือนก่อน และกล่าวอย่างโล่งใจว่า “วางใจเถอะครับ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน”
เมื่อมองไปที่ถังเฉาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจนั้น หลินเจิ้นสงก็ดูงุนงงเล็กน้อย
ทุกครั้งที่เขามีรอยยิ้มนี้ ทุกๆปัญหาก็จะถูกคลี่คลาย
วันนี้ จะเกิดปาฏิหารย์ขึ้นหรือไม่นะ?
ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ
งานเลี้ยงอาหารค่ำของสปอนเซอร์นั้นถูกจัดขึ้นที่โรงแรมใหญ่ที่ชื่อว่ามอลล์หยกเขียวแม้ว่าความหรูหราจะเทียบไม่ได้กับเรื่องสำราญเพิร์ลวัน แต่ที่นี่ก็เป็นโรงแรมระดับห้าดาว ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริการหรืออาหารก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเท่านั้น
เวลาในตอนนี้นั้นยังเร็วไป งานเลี้ยงยังไม่ทันได้เริ่ม แต่อาหารบางอย่างก็ได้ถูกจัดเรียงวางไปบ้างแล้ว จัดวางบนโต๊ะอย่างคดเคี้ยวราวกับมังกร
ฉากในตอนนี้ก็เหมือนเป็นสังคมชนชั้นสูงฝั่งตะวันตก สองข้างทางมีนักดนตรีสวมชุดสีขาว บรรเลงเพลงเบาๆ
“หอกทากนี่อร่อยมาก เร็ว รีบมาเอาไป”
“การจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำนี้ขึ้นมา คืนหนึ่งต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ ตระกูลหลินของเราถึงจะเป็นได้เหมือนกับบริษัทลี่จิงกรุ๊ป”
“…..”
โจวเหม่ยหยูน หลินฉ่ายเวยและคนอื่นๆเหมือนคนเข้าเมืองมาครั้งแรก ต่างพากันหยิบอาหารเลอค่าบนโต๊ะอาหารตะวันตก ไม่ได้สนใจเลยว่าอย่างไหนอร่อย แต่เลือกอาหารที่มีราคาแพง ขณะเดียวกันก็มองไปที่สถานที่ที่จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ ภาพวาดที่โด่งดังระดับโลก เปียโนที่มีมูลค่าหลายล้าน นอกจากนี้ยังตู้จัดแสดงเครื่องใช้เก่าๆหลายชิ้น ไม่มีชิ้นไหนเลยที่ไม่โดนตาพวกเขา
เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว หลินเจิ้นสงนั้นดูไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย สมองเต็มไปด้วยเรื่องของสปอนเซอร์
ในเวลานี้เอง ถังเฉาก็ยื่นไวน์ชั้นดีในมือแก้วหนึ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไวน์ที่นี่รสชาติไม่เลว ลองชิมดูสิครับ”
หลินเจิ้นสงโบกมือพร้อมกับกล่าวอย่างเศร้าๆว่า “หากสปอนเซอร์ยังไม่มี ฉันยังไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังเฉาก็หมดหนทาง ได้แต่พูดว่า “เดี๋ยวพวกเขาก็จะมาแล้ว”
ในขณะนี้เอง ก็มีหญิงสาวแต่งชุดดูมืออาชีพใส่รองเท้าส้นสูง เดินเข้ามา
เมื่อเห็นหญิงคนนี้ หลินฉ่ายเวยและโจวเหม่ยยูนก็เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ ที่ทำให้พวกหล่อนนั้นต้องอับอายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลี่ถามพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อยให้แก่ถังเฉา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหาหลินเจิ้นสงและยิ้มด้วยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ “ท่านหลิน ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง งานเลี้ยงอาหารมื้อค่ำก็จะเริ่มแล้ว สปอนเซอร์ทางการค้ามาถึงโรงแรมหรือยังคะ?”
“คือ…”
สีหน้าของหลินเจิ้นสงนั้นดูลำบากใจ ถังเฉาจึงก้าวไปด้านหน้าพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปบอกท่านประธานหลินด้วยว่า ภายในสิบนาที สปอนเซอร์ทางการค้าก็จะมาถึงทันที”
ชั่วครู่ ถังเฉาได้ประมาณคร่าวๆถึงจำนวนตัวเลข “จำนวนเงินของสปอนเซอร์ น่าจะราว…ห้าร้อยล้าน”
พรึ่บ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินฉ่ายเวยและโจวเหม่ยหยูนที่อยู่ด้านข้างก็ทนไม่ไหว ระเบิดหัวเราะออกมา
“ถังเฉา แกไม่มีทั้งเงินและอำนาจ ทักษะการโอ้อวดของแกนี่ก็ไม่น้อยเลยนะ แกโอ้อวดจนท้องฟ้าดำมืดไปหมดแล้ว”
“แถมยังพูดว่าห้าร้อยล้านอีก ทำได้ถึงครึ่งล้านก่อนเถอะ แล้วฉันจะยอมรับว่าแพ้”
ถังเฉามองไปที่พวกเขาและไม่ได้ใส่ใจ
หลี่ถามพยักหน้าและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกไป หล่อนได้ใช้สายตามองต่ำๆไปที่หลินฉ่ายเวยแม่ลูกคู่นั้น
“เสี่ยวเฉา แกพูดจริงเหรอ?”
พอหลี่ถาวเดินจากไป หลินเจิ้นสงก็ถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ
ถังเฉายิ้มออกมาอย่างคาดเดาไม่ได้ ยิ้มโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
“อย่าอายต่อสายตาคนตอนนี้เลย”
หลินฉ่ายเวยถือแก้วไวน์ มองไปที่ถังเฉาและพูดว่า “ถ้านายทำมันพัง นายก็ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง อย่าโยงพวกเราไปเกี่ยวด้วยล่ะ”
“วางใจเถอะ”
ถังเฉาค่อยๆจิบไวน์แดงอย่างสบายใจ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “กลับไปทำงานกับลี่จิงกรุ๊ปได้เงินมากมาย เงินพวกนี้พวกเธอก็อย่ากังวลไปล่ะ”
“ฉันกังวลนาย?!”
หลินฉ่ายเวยดูเหมือนจะได้ยินเรื่องตลกที่ตลกที่สุดในโลกและพูดด้วยรอยยิ้ม “นายมีเวลาครึ่งชั่วโมงในการที่จะพูดเรื่องใหญ่ รอท่านประธานหลินจากลี่จิงกรุ๊ปมาก่อนเถอะ ฉันจะดูว่านายจะจัดการยังไง!”
เรื่องนี้ถังเฉาได้แต่ยิ้มอย่างเฉยเมย ไม่ได้โต้เถียงแต่อย่างใด
ยี่สิบนาทีต่อมา หลินชิงเสว่เดินเข้ามาพร้อมกับหลี่ถาว ฟางหย่าและลูกหลานคนอื่นๆอีกมากมายเดินเข้ามา หลินฉ่ายเวย โจวเหม่ยหยูน หลินจ้องและคนอื่นๆต่างพากันมองไปที่ถังเฉาอย่างมีความสุขหลินเจิ้นสงนั้นประหม่า มือของเขานั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ มองไปที่นาฬิกา มีเวลาอีกแค่สิบนาทีเท่านั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เสี่ยวเฉา สปอนเซอร์จมาจริงใช่ไหม?”
“แน่นอนครับ” ถังเฉากล่าวอย่างหนักแน่น
อาหารค่ำจัดโดยเลขาธิการของประธานาธิบดีหลี่ถาวเป็นเจ้าภาพ หลังจากแถลงการณ์เกี่ยวกับอนาคตอย่างหึกเฮิมแล้ว ผู้เข้าประชุมก็ต่างพากันมาจองที่นั่ง
“ต้องขอบคุณตระกูลหลินมากเลยนะคะ คุณหลินเจิ้นสงได้นำสปอนเซอร์มาให้กับทางลี่จิงกรุ๊ป ตอนนี้ก็ขอเรียนเชิญผองเพื่อนสปอนเซอร์ทุกท่านเข้ามาในงานได้เลยค่ะ”
แปะแปะแปะ—
เสียงปรบมือดังกึกก้อง แสงไฟรวมแสงไปที่ตระกูลหลิน
หลินฉ่ายเวยและโจวเหม่ยหยูนปรบมือพร้อมกับพูดว่า “จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของสปอนเซอร์ จะรับผิดชอบกันได้ยังไงกัน
ปึ่ง—
จากนั้นยังไม่ทันที่หลินฉ่ายเวยจะได้เปิดปากพูด ประตูงานเลี้ยงก็ได้ถูกเปิดออกมา
ก็มีชายที่สวมหญิงชุดสูทและรองเท้าหนังเดินเข้ามา พร้อมกับชายวัยกลางคนที่ดูอ่อนโยนและเขาสวมแว่นตา
“ประธานหวางติ่งเหยนจากบริษัทเทคโนโลยีติ่งยี่งั้นเหรอ แถมยังมีเจ้าหน้าอาวุโสทั้งหลายอีก?!”
เมื่อคนเหล่านั้นเดินเข้ามา สีหน้าบนใบหน้าของหลินจ้องก็เหมือนถูกแช่แข็งทันที มีความตื่นตระหนกในดวงตาของเขามากขึ้น