บทที่ 133 ผู้ป่วยโรคประสาท
ทุกคนไม่คิดว่าผู้บ้าการค้าจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ทุกคนต่างพากันเงียบกริบไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
มีเพียงแค่หลัวปู้ หูอีซานและเจิงเทียนเสียงที่รู้ว่าไม่ใช่ผู้บ้าการค้า
ผู้นี้คือคนที่แม้แต่ผู้บ้าการค้ายังต้องให้ความเคารพ
พูดจบ ฉางหงเทียนก็กลั้นหายใจและปิดตาลง เขาไม่กล้าลุกขึ้นยืน
เขารู้ว่าถ้าผู้บ้าการค้ายกโทษให้เขา หลัวปู้ก็จะยกโทษให้เช่นกัน!
แต่ทว่าในห้องประชุมเต็มไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงนาฬิกาเดินเท่านั้น ราวกับว่าตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาของการตัดสินความเป็นความตาย
‘ผู้บ้าการค้า’ ไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่ได้หันเก้าอี้กลับมา ขณะนั้นก็มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำ
“นายจะให้ฉันยกโทษให้อย่างนั้นเหรอ”
ฉางหงเทียนรีบเงยหน้าขึ้นทันที ราวกับเห็นแสงแห่งความหวัง เขาพูดอย่างร้อนรนว่า “ใช่ครับ ผู้บ้าการค้า ผมสำนึกผิดแล้ว ต่อไปผมจะทำธุรกิจด้วยความตรงไปตรงมาครับ!”
“นายไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาอีกครั้ง ถึงจะเป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ทุกคนรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวที่แฝงอยู่ในนั้น ฉางหงเทียนก็ตัวสั่นไปทั้งตัวเช่นกัน
“ตั้งแต่ที่นายทำร้ายตระกูลหลิน ชะตาชีวิตของนายก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้”
ถังเฉาหันหลังให้กับทุกคน เขาหลับตาและพูดขึ้นอย่างช้าๆ
ระหว่างที่เขาหลับตา ภาพเมื่อสามปีก่อนของหลินเจิ้นสงที่ถูกด่าทอจนแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ วันๆ เอาแต่เมามายลอยเข้ามาในหัวของเขา
จู่ๆ ความอาฆาตก็พุ่งขึ้นมา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“การฆ่านายเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่เรื่องที่ยากคือจะทำยังไงให้นายทุกข์ทรมานและรู้สึกผิด เพราะฉะนั้นฉันเลยคิดเรื่องนี้มาตลอด”
“พอเห็นสภาพของนาย ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว”
เสียงทุ้มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงแห่งความพอใจ ส่วนคนที่อยู่ในห้องประชุมกลับรู้สึกเย็นยะเยือก
“นายเป็นคนที่ทำเพื่อเป้าหมาย โดยไม่สนว่าจะต้องใช้วิธีสกปรกแค่ไหน ในใจของนายยังมีเรื่องใหญ่ที่ยังทำไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นการที่จะฆ่านายให้ตายมันจึงเป็นเรื่องที่เสียเปล่า”
“นายมีชีวิตอยู่ต่อไป อยู่อย่างคนธรรมดาที่ไม่มีอะไร คนใกล้ตัวนายก็จะค่อยๆ หายไปทีละคน ผลประโยชน์ของธุรกิจนายก็จะตกไปเป็นของคนอื่น ตอนนายแก่ตัวลงก็จะไร้ที่พึ่งพิง เมื่อนายตายไปก็จะไม่มีใครเหลียวแลในวาระสุดท้ายของชีวิต ท้ายที่สุดศพของนายก็จะเน่าและส่งกลิ่นเหม็น”
“จะมีคนลบร่องรอยการมีชีวิตอยู่ของนายบนโลกนี้ จะไม่มีใครจำได้ว่านายเคยอยู่บนโลกใบนี้ นี่คือบทลงโทษที่ร้ายแรงที่สุด!”
เขาประกาศบทลงโทษของฉางหงเทียน เสียงของเขาดังกังวานราวกับเคียวของยมทูต
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมผู้บ้าการค้าถึงเคียดแค้นฉางหงเทียนขนาดนี้
ฉางหงเทียนตกใจและคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาเอามือกุมหัวเหมือนนกกระจอกเทศที่กำลังตกใจ เขาแทบจะเอาหัวมุดลงไปกับพื้น
เขากลัวมาก
คำพูดของถังเฉาราวกับมีดที่ทิ่มแทงลงมากลางใจของเขา
เขากลัวความสามัญ กลัวความโดดเดี่ยว สิ่งที่กลัวไปกว่านั้นก็คือการที่ไม่เหลือใครในวาระสุดท้ายของชีวิต
ถึงขนาดที่จะลบร่องรอยการมีชีวิตอยู่ของเขาออกจากโลกใบนี้ ต้องโหดเหี้ยมขนาดไหนถึงจะทำเรื่องแบบนี้ได้
การประชุมจบลง ฉางหงเทียนเดินลงมาอย่างอกสั่นขวัญแขวน ถังเฉากับเฟิ่งหวงก็ออกจากที่นี่เช่นกัน
ฉางเซ่าเฟิงยืนรอด้วยหน้าตาปูดบวมฟกช้ำอยู่ที่หน้าประตู เขาเอาแต่มองรปภ.พวกนั้นด้วยสายตาเคียดแค้น
เขาจำได้แม่นว่าคนพวกนั้นทำร้ายเขา รอให้พ่อเลิกประชุมก่อน พ่อจะต้องไล่พวกมันออกแน่นอน
ขณะที่กำลังคิดอยู่ สายตาของฉางเซ่าเฟิงก็เหลือบไปเห็นฉางหงเทียนที่เดินเหม่อลอยออกมาจากลิฟต์ ทันใดนั้นเขาก็กวักมือเรียกพ่อทันที “พ่อ ผมโดนทำร้าย ไอ้พวกรปภ. ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ มันกล้ามาทำร้ายผม”
พูดจบเขาก็มองรปภ. พวกนั้นด้วยแววตาสะใจ “พวกแกตายแน่ พ่อฉันออกมาแล้ว รีบเขียนใบลาออกตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังทันนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แต่ทว่า ราวกับฉางหงเทียนมองไม่เห็นฉางเซ่าเฟิงอย่างไรอย่างนั้น เขาเดินเหม่อลอยผ่านตัวของฉางเซ่าเฟิงไป
ฉางเซ่าเฟิงอึ้งและรีบเดินตามฉางหงเทียนไป “พ่อ ทำไมไม่สนใจผมล่ะ ผมโดนทำร้าย”
“ไสหัวไป!”
จู่ๆ อารมณ์ของฉางหงเทียนก็รุนแรงขึ้นมา จากนั้นเขาก็ถีบฉางเซ่าเฟิงจนกระเด็นออกไป
ฉางเซ่าเฟิงมึนไปหมด เขามองฉางหงเทียนอยู่อย่างนั้น
“แก่ไปไม่มีที่พึ่งพา ไม่มีใครมาดูใจในวาระสุดท้ายของชีวิต ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
คนเดินไปเดินมาบนถนน ฉางหงเทียนเหมือนกับคนบ้า เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง แววตาและสีหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย
เสียงหัวเราะของเขายิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ เขายิ่งเหมือนกับคนประสาท คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้นตกใจและมองฉางหงเทียนด้วยแววตาแปลกประหลาดและก่นด่าออกมา
“คนประสาท!”
“แกว่าอะไรนะ!”
ฉางหงเทียนบีบคอของผู้หญิงที่ว่าเขา เขาถลึงตาออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความน่ากลัว “คนในสมาคมการค้าหงยิงกลั่นแกล้งฉัน ขนาดผู้หญิงต่ำตมแบบแกยังกล้ากลั่นแกล้งฉัน ฉันจะฆ่าแก!”
เมื่อพูดจบ เขาก็บีบคอของผู้หญิงคนนั้นอย่างแรง
“อ๊าก ช่วยด้วย ตรงนี้มีคนเป็นโรคประสาท!”
จู่ๆ บริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยความโกลาหล ทั้งเสียงกรีดร้อง ทั้งเสียงฝีเท้าปะปนกันเต็มไปหมด
“พ่อจะทำอะไรน่ะ!”
ฉางเซ่าเฟิงเห็นภาพนั้นก็เบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
คนที่มีสีหน้าดุร้าย ผมเผ้ายุ่งเหยิงคือพ่อของเขาจริงเหรอ
“ฉันจะฆ่าแก!”
ฉางหงเทียนตะโกนออกมาเหมือนผีร้ายที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขายังบีบคอของผู้หญิงคนนั้นอย่างแรง
ทันใดนั้นสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็แดงขึ้นมา แรงขัดขืนของเธอเริ่มลดน้อยลง เดาได้เลยว่าเธอใกล้จะหมดลมหายใจ
“รีบไปช่วยคนเร็ว!”
รปภ.ของอาคารต้าชางรีบวิ่งเข้ามาแยกตัวของทั้งสองคน
ผู้หญิงคนนั้นถูกช่วยชีวิตเอาไว้ได้ เธอรีบสูดอากาศเข้าไป และมองฉางหงเทียนด้วยสีหน้าซีดเผือด จากนั้นจึงตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว “ไอ้บ้า”
จากนั้นเธอก็วิ่งหนีเตลิดไป
ฉางหงเทียนถูกรปภ.4-5 คนจับเอาไว้ เขากัดฟันกรอกเหมือนจะกัดคนอย่างไรอย่างนั้น
“พ่อทำอะไรอยู่กันแน่!”
ฉางเซ่าเฟิงรีบเข้ามา แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัวผู้เป็นพ่อ เขาก็โดนขวางเอาไว้เสียก่อน
“ตอนนี้เขาสับสนมาก เป็นคนที่น่ากลัวมาก ต้องรีบส่งไปโรงพยาบาลประสาท”
“อะไรนะ”
เมื่อฉางเซ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็ซีดเผือดไปหมด
ไม่มีใครสนใจเขา หลังจากคุมตัวฉางหงเทียนได้ หัวหน้ารปภ. ก็รีบแจ้งตำรวจทันที
หลังจากผ่านไปสามนาที ตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ มาถึงที่เกิดเหตุและใส่กุญแจมือฉางหงเทียน จากนั้นคุมตัวเขาขึ้นรถ
อีกเดี๋ยวเขาก็จะได้รับการส่งตัวไปที่โรงพยาบาลประสาท
เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของถังเฉาและเฟิ่งหวง ทั้งสองต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน
โดยเฉพาะถังเฉา เขาคิดไม่ถึงว่า ฉางหงเทียนจะอารมณ์แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนคลั่งไปแล้ว
แต่ไม่นานแววตาของเขาก็กลับมาราบเรียบเหมือนเดิม
จุดจบเช่นนี้ เป็นเพราะเขาหาเรื่องใส่ตัว