‘กลุ่มคนอันตราย’ สี่ตัวอักษรนี้สะเทือนเข้าไปในใจของถังเฉาอย่างลึกล้ำ ทำให้รูม่านตาของเขาหดลงอย่างรุนแรง
เรื่องที่ลั่วเยนอวิ๋นพูดถึงน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอหมิงจูในวันนั้น เรื่องที่ต่งอี้สิงใช้วิดีโอที่บันทึกไว้เมื่อห้าปีก่อนมาบีบบังคับให้หลินชิงเสว่มอบโครงการสร้างเมืองให้ ระหว่างทางกลับก็ถูกนักฆ่ามืออาชีพลอบสังหารเข้า
เห็นได้ชัดว่ามือสังหารพวกนั้นเป็นพวกที่ ‘หว่างเหลี่ยง’ ส่งมา แต่ว่าพ่อตาของเขากลับไม่สืบหาสาเหตุ กลับเอาความรับผิดชอบต่าง ๆ มาโยนให้เขา แล้วแบบนี้จะไม่ให้ถังเฉาโมโหได้อย่างไร?
“นายคงจะรู้สึกว่ามันยากที่จะเข้าใจใช่ไหมล่ะ? เห็นได้ชัดว่านายเป็นผู้ถูกกระทำ แล้วทำไมพี่เขยของฉันจะต้องเอาความรับผิดชอบมาโยนให้กับนายด้วย”
ลั่วเยนอวิ๋นกะพริบดวงตาดอกท้อสวยของเธอพลางเอ่ยว่า “ที่จริงแล้วตอนแรกฉันก็ยังไม่เข้าใจหรอกนะ แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว”
พูดมาถึงตอนนี้แล้ว สีหน้าของลั่วเยนอวิ๋นมีความแปลกประหลาดอยู่นิดหน่อย “นี่เป็นจุดได้เปรียบของเขา มองทะลุเรื่องราวต่าง ๆ มองเห็นธาตุแท้ของสิ่งต่าง ๆ ได้”
สายตาของถังเฉามองลั่วเยนอวิ๋นด้วยความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย กำลังคิดจะถามออกไป ทันใดนั้นเปลือกตาของเขาก็กระตุกอย่างรวดเร็ว จากนั้นดวงตาของเขาก็สั่นไหว
“เขามองออกตั้งนานแล้ว…”
“ไม่ผิด”
ลั่วเยนอวิ๋นหัวเราะหึหึ “คนทั่วไปจะตามหาตัวการหลักโดยตรง แต่เขากลับใช้วิธีการตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย ไปหานายทันที เพราะนายเป็นต้นเหตุของการกระทำที่เลวร้าย เพราะอย่างนี้ชิงเสว่ก็เลยต้องพบเจอกับมือสังหาร เพราะนายลากเธอเข้าไปเอี่ยวด้วย!”
พูดมาถึงตอนหลัง สายตาของลั่วเยนอวิ๋นก็แหลมคมเหมือนกับเข็ม
เมื่อเผชิญกับสายตาของเธอ ถังเฉาก็สั่นไปทั้งตัว หัวใจเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง
“เป็นฉัน… ที่ลากเธอเข้าไปเกี่ยวข้อง?”
“เกิดเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ในใจย่อมมีความละอายใจ ทั้งยังสาบานว่าจะดีต่อเธอไปตลอดชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นคุณพ่อที่ยอมยกโทษให้ พออยู่มาวันหนึ่งภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเองไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง เขาได้มารับรู้ว่าลูกสาวสุดที่รักของตัวเองถูกผู้ชายเหลวแหลกคนหนึ่งทำให้ด่างพร้อยไปแล้ว เขาจะมีความรู้สึกยังไง?”
น้ำเสียงของลั่วเยนอวิ๋นราบเรียบ “นายเองก็เป็นพ่อคน น่าจะเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นนะ?”
ถังเฉากลับไปนั่งลงบนโซฟา สองมือขยุ้มเส้นผมของตัวเองแน่น ดวงตาเบิกกว้าง
เขาไม่เคยสับสนวุ่นวายใจเหมือนอย่างตอนนี้มาก่อนเลย เขาเองก็มีลูกสาว ถ้าหากถังเสี่ยวลี้ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เขาคงจะเป็นบ้าแน่ ๆ?
“ไม่มีการอวยพร ไม่มีการยอมรับ มีแต่การรังเกียจอย่างสุดแสน”
ลั่วเยนอวิ๋นพูดต่อไปว่า “โจร พวกลามกไร้ยางอาย หมาเห่าเครื่องบิน นี่คือตราของนายในสายตาของพี่เขยฉัน”
ถังเฉาเงียบอยู่ลึก ๆ หลินชิงเสว่กลัวว่าจะทำให้เขาได้รับผลกระทบไปด้วย ในความเป็นจริง เขาไม่ได้ทำให้หลินชิงเสว่ได้รับผลกระทบไปด้วยหรืออย่างไร?
และปัญหานี้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ถึงจะถูกถังเฉาค้นพบ
ไม่นานก่อนหน้านี้ ในใจของเขาเชื่อมั่นในตัวเองอย่างสุดขีดว่าจะสามารถปกป้องหลินชิงเสว่ได้เป็นอย่างดี แต่ในตอนนี้กลับเกิดการสั่นคลอนขึ้น
ไม่ใช่การไม่เชื่อมั่นในกำลังของตัวเอง แต่กลัวหลินชิงเสว่ ฐานะเดิมของเธอนั้นสูงส่ง ห่างไกลจากโลกแห่งการฆ่าฟันสังหารของเขาอีกไกล
หลินชิงเสว่จะสามารถแบกรับมือสังหารเหมือนครั้งที่แล้วได้สักกี่ครั้งกันนะ?
เป็นไปได้ไหมว่าในอนาคตเธอจะหนีไปจากตนอีกครั้งเพราะเป็นห่วงชีวิตของลูกสาว?
โดยไม่มีลางบอกเหตุ ร่างกายของถังเฉาสั่นไหวอย่างรุนแรง นี่เป็นเงื่อนตาย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีทางแก้ไขได้
“ตอนนี้นายรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันมาเพราะอะไร?”
สายตาของลั่วเยนอวิ๋นลึกล้ำ “ความอดทนของพี่เขยฉันที่มีต่อนายมีอยู่อย่างจำกัด เส้นทางความรักของนายกับชิงเสว่ที่ยังต้องเดินยังอีกยาวไกล สิ่งที่จะแยกพวกนายจากกันได้ยังมีอีกมากมาย”
คำพูดนี้ช่างโหดร้ายเสียจริง แต่ความเป็นจริง… ก็มักจะโหดร้ายเสมอ
ถังเฉาเงียบอยู่เป็นเวลานาน ขอบคุณลั่วเยนอวิ๋นจากใจจริง “ขอบคุณนะครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของตระกูลหลวงในเยี่ยนตู แต่ก็ยังมีความสามารถในการห้ามปรามหลินรั่วหวีอยู่นะ”
ลั่วเยนอวิ๋นโบกไม้โบกมือพลางเอ่ยว่า “คนที่นายจะต้องขอบคุณก็คือชิงเสว่ เป็นเธอที่กล้าที่จะอยู่เคียงข้างนาย เธอเป็นที่ปกป้องสุดท้ายของนาย นายจะต้องรักษาหัวใจของเธอไว้ให้ได้นะ”
ถังเฉามีสีหน้าเคร่งขรึม ลั่วเยนอวิ๋นพูดว่า ‘ห้ามปราม’ ไม่ใช่ ‘ยับยั้ง’
นั่นแสดงถึงการที่ลั่วเยนอวิ๋นไม่มีความสามารถในการยับยั้งหลินรั่วหวี ทำได้เพียงตักเตือนด้วยคำพูดที่ดี
ลั่วเยนอวิ๋นมองถังเฉาแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมาทันที “ยัยหนูชิงเสว่นี่ ที่จริงเธอรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่กลับไม่ปริปากพูดออกมา ขอเพียงได้รู้ว่านายไม่เป็นอะไร เธอก็วางใจแล้ว”
สีหน้าของถังเฉาเปลี่ยนไปในทันที “พูดอย่างนี้หมายความว่าคุณจะมาเมืองหมิงจู หลินเสว่เองก็…”
“ในที่สุดนายก็รู้ตัวแล้ว”
ลั่วเยนถอนหายใจออกมา “ทั้งตระกูลหลวงในเยี่ยนตูล้วนแต่หวังว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเธอ เธอก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่เหยียบย่างเข้าไปในเยี่ยนจิงแม้เพียงก้าวเดียวตลอดชีวิต แต่เธอก็ยอมเสียหน้ามาขอให้ฉันช่วยอย่างไม่เสียดายก็เพื่อนาย หาได้ยากที่หลานสาวคนโตจะมาคุยกับฉันได้ น้าอย่างฉันไหนเลยจะมีเหตุผลที่จะไม่ช่วยเหลือ?”
ถังเฉาฟังจบก็พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นเวลานาน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าหลังจากที่คุณลุงหลินมาทิ้งคำพูดร้ายแรงเอาไว้ ที่ทางเยี่ยนจิงไม่มีข่าวคราวใดใดอยู่นาน ไม่ใช่เพราะตระกูลหลวงในเยี่ยนตูทำได้แค่พูดจาร้ายกาจเท่านั้นหรอก แต่เป็นเพราะหลินชิงเสว่แอบติดต่อกับลั่วเยนอวิ๋น แล้วลั่วเยนอวิ๋นก็ไปยับยั้งหลินรั่วหวี
“ชิงเสว่…”
เขารำพึงรำพันชื่อของหลินชิงเสว่เบา ๆ ในใจรู้สึกปลงอนิจจังเหลือแสน
ลั่วเยนอวิ๋นหัวเราะเยาะตัวเอง “หลานสาวคนโตของฉันดีไปหมดทุกอย่าง เพียงแต่ดื้อดึงดัน เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว เอาช้างมาฉุดก็ฉุดไม่อยู่ เป็นยัยผู้หญิงโง่จริง ๆ”
“หนูไม่ได้เสียใจที่ตามเขามา”
ในตอนนี้เอง เสียงเย็น ๆ สงบนิ่งก็ส่งมาจากชั้นบน
ถังเฉากับลั่วเยนอวิ๋นล้วนเงยหน้าขึ้นมอง หลินชิงเสว่ยืนอยู่ที่หัวบันไดชั้นสอง มองมาที่พวกเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง
“ชิงเสว่…”
ใบหน้าของถังเฉาขยับเขยื้อน คำพูดมากมายล้วนเทียบไม่ได้กับชื่อที่งดงามของเธอ
ลั่วเยนอวิ๋นตกตะลึง จากนั้นก็ยิ้มอย่างปล่อยวาง “แต่ไหนแต่ไรมาน้าก็ไม่เคยเชื่อเรื่องความรักที่ไร้ค่าพวกนั้น ไม่สู้การมีเงินสองตำลึงอยู่ในกระเป๋า แต่พอเห็นพวกเธอสองคน น้าจะยอมเชื่อเรื่องความรักดูอีกสักครั้งแล้วกันนะ”
“เอาล่ะ เวลาไม่คอยท่า ฉันจะไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของพวกนายแล้ว จำคำพูดเมื่อกี้ของฉันเอาไว้ล่ะ”
พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืน หันกลับไปมองถังเฉาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็สะพายกระเป๋าจากไป
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เดินผ่านถังเฉานั่นเอง เธอตั้งใจหยุดลงแป๊บหนึ่ง พูดอยู่ข้าง ๆ ถังเฉาหนึ่งประโยค พูดจบสองขาก็ก้าวจากไป ย่ำรองเท้าส้นสูงสีแดง ฮัมเพลงที่ไม่รู้จักเดินจากไป
“น้าพูดอะไรกับเขาคะ?”
หลินชิงเสว่เดินลงบันไดมาแล้วเอ่ยถามขึ้น
ถังเฉาดึงสติกลับมาได้ ไม่พูดไม่จา เพียงแค่เดินมาอยู่ด้านหน้าของหลินชิงเสว่ ทันใดนั้นเขาก็โอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด
หลินชิงเสว่เบิกตากว้างในทันที เธอเพียงแค่ต่อต้านในตอนแรก จากนั้นก็ปล่อยให้ถังเฉากอดเอาไว้
เพราะเธอสัมผัสได้ว่าถังเฉากอดเธอไว้แน่นมาก ราวกับจะฝังร่างของเธอเข้าไปในตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
อย่างเงียบงัน… ฉากนี้จะคงอยู่ตลอดไป
คำพูดที่ลั่วเยนอวิ๋นพูดกับถังเฉานั้นเรียบง่ายมาก
“เจ้าหนู โตไวไวนะ”
กอดจนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในอก มุมปากของถังเฉายกยิ้มขึ้น
“โตแล้วนะ”
เจ้าหญิงที่งดงามไม่มีทางที่จะเดียวดายตลอดไป อัศวินของเธอท้ายที่สุดก็จะต้องมาอยู่ข้าง ๆ เธอ
ในตอนนั้น เมฆหนาทึบที่บดบังดวงอาทิตย์ไว้ได้ถูกปัดเป่าออกไป ความจริงได้ปรากฏ