ถ้าหากในขณะนี้รอบข้างมีคนอื่นยืนอยู่ คงต้องตาค้างอย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะคนที่ฉินโซ่ววงกำลังคุยด้วยอยู่นั้น ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือผู้พิทักษ์แดนตะวันตก
ผู้พิทักษ์แดนเหนือ ใต้ ออก ตก สี่แดนใหญ่ ต่างก็มีความน่าสะพรึงกลัวที่ยิ่งใหญ่
ขณะเดียวกัน ผู้พิทักษ์แดนตะวันตกยังได้เป็นเจ้าภาพในงานประชุมแดนเหนือในครั้งนี้ แพ้ชนะก็ขึ้นอยู่กับเขาเป็นผู้ตัดสิน
ใคร ๆ ก็รู้ดีว่า ตระกูลหลวงตระกูลฉินกับผู้พิทักษ์แดนตะวันตกมีสายสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะแนบแน่นขนาดต่อโทรศัพท์คุยสายตรงกับผู้พิทักษ์แดนตะวันตกได้
เสียงจากฟากตรงข้ามเงียบไปพักหนึ่ง ถึงแม้จะไม่มีเสียงคนพูด แต่ก็มีเสียงหายใจทุ้มลึกพอให้ได้ยิน
เพียงแค่เสียงหายใจ ก็ยังทำให้มีความรู้สึกของบรรยากาศที่ถูกกดดัน
แต่ฉินโซ่ววงคงไม่รู้สึกว่ามีผลกระทบ คงยังเหมือนเฒ่าทารก รอยยิ้มระรื่นเต็มใบหน้า
นานพักใหญ่ ผู้พิทักษ์แดนตะวันตกมู่ตงเฟิงจึงได้พูดขึ้นมาช้า ๆ ว่า “ไอ้เฒ่าเอ้ย แกมีหลานสองคนไม่ใช่หรือ ที่ว่านี่คนไหนหละ ?”
ฉินโซ่ววงหัวเราะ “ไอ้คนเล็กนั่นเสียไปตั้งแต่ห้าปีที่แล้วแล้ว เที่ยวนี้ที่พูดก็คือคนโตนี่”
ได้ยินดังนั้น มู่ตงเฟิงลดน้ำเสียงทุ้มต่ำลง
“กวนฉีเด็กคนนี้ข้าก็ดูเห็นดีนะ ถึงขนาดมีคนทำร้ายเขาได้เลยรึ”
พูดถึงตอนสุดท้าย น้ำเสียงของมู่ตงเฟิงแฝงด้วยความตื่นใจ
จึงเป็นการเห็นได้ว่า เขารู้ดีที่ฉินกวนฉีรู้วิทยายุทธแรงภายในมานานแล้ว
ฉินโซ่ววงกลับไม่รู้สึกมีอะไรต้องประหลาดใจ “เหนือคนมีคน เหนือฟ้าก็มีฟ้า เส้นทางที่กวนฉีจะต้องเดินยังอีกยาวไกลนะ”
“ในช่วงก่อนที่ผมจะแก่ตาย ข้าคงยังต้องปูทางให้เด็กคนนี้ไปอีกแหละ”
มู่ตงเฟิงหัวเราะและผงกหัว “ได้ เข้าใจละ คนที่ทำร้ายเขาชื่ออะไร ?”
“น่าจะเป็นคนเดียวกันกับคนเมื่อห้าปีที่แล้วที่ทำร้ายไอ้คนเล็กนั่น”
ฉินโซ่ววงพูดต่อเหมือนจะชี้ทางว่า “แต่ว่าแกเป็นผู้พิทักษ์แดนตะวันตก จะลงมือเองโดยตรงเลยคงไม่ดี จัดการกับบริษัทมันก่อน พูดกันอย่างสรุปว่า ข้ามันพื้นฐานพ่อค้านักธุรกิจ ไม่ชอบเรื่องตีรันฟันแทงอ่ะ”
มู่ตงเฟิงหัวเราะตอบรับปากว่า “เข้าใจละ”
ในเวลาเดียวกันนี้เอง สถานที่แห่งหนึ่งในต้าเซี่ย
เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งค่อย ๆ ลอยตัวขึ้น รอบ ๆ มีเครื่องบินรบสิบกว่าลำบินทำหน้าที่คุ้มกัน
แต่บนตัวลำของเครื่องบินแต่ละลำ ต่างมีตัวอักษรพ่นติดไว้เป็นตัว “ซี(ตะวันตก)”
นั้นแสดงให้รู้ว่า นี้เป็นเครื่องบินของแดนตะวันตก
บนเฮลิคอปเตอร์ลำนั้น มีชายวัยกลางคนอายุประมาณว่าสี่สิบกว่านั่งอยู่
เขานั่งหลับตาอยู่ในการครุ่นคิด
“ท่านผู้พิทักษ์ พวกเรากำลังจะเข้าเขตเจียงเจ้อทันทีนี้แล้วขอรับ”
คนขับพูดพูดต่อเบา ๆ “ประมาณค่ำ ๆ พรุ่งนี้ ก็คงจะไปถึงครับ”
ชายกลางคนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองลงไปข้างล่าง ยิ้มออกมาเรียบ ๆ
“ถึงเจียงเจ้อแล้ว…….”
“ที่นี่ น่าจะเป็นบ้านเก่าเขาสินะ ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าชายกลางคนเข้มข้นขึ้น ประกายตาฉายแวบออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“ดีละ วันนี้ก็จัดเตรียมการกันก่อนสักหน่อยแล้วกัน”
มู่ตงเฟิงโบกมือที่หนาใหญ่ เครื่องบินค่อย ๆ ร่อนลง
ลูกน้องส่งเอกสารรายงานฉบับหนึ่งให้มู่ตงเฟิง
มู่ตงเฟิงเพ่งตาลงมอง พลันแววตาชงักหยุด
“หลินชิงเสว่…..”
ที่เห็นเป็นรายงานเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของหลินชิงเสว่ และสถานะของบริษัทหลี่จิงกรุ๊ปที่อยู่ในเครือ
กวาดตาอ่านผ่านทีละสิบบรรทัดได้หน่อยหนึ่ง มู่ตงเฟิงสั่งลูกน้องไปว่า “แกส่งสัญญานออกไปให้หน่อยว่า ให้บรรดานักธุรกิจที่เป็นสปอนเซอร์ของงานประชุมแดนเหนือครั้งนี้ จัดรวมกลุ่มกันเป็นสมาพันธ์ธุรกิจ กดดันบริษัทหลี่จิงกรุ๊ปหน่อย”
“เหตุผลนั้น ก็ใช้เรื่องการประชุมแดนเหนือนี่แหละ”
“การประชุมแดนเหนือจัดขึ้นตามหมายกำหนดการครั้งนี้ ควรจะต้องให้มวลชนทั้งหมดชื่นชอบในวรยุทธ ไม่อนุญาตให้มีธุรกิจประเภทกระตุ้งกระติ้งอย่างพวกเครื่องสำอางค์เหล่านี้เข้ามาครองตลาด จัดการให้เจ้าบริษัทหลี่จิงกรุ๊ปนี่แหละเป็นไก่เชือดให้ลิงดู”
“ได้ขอรับ”
บรรดาลูกน้องแต่ละคนมองดูรูปภาพของหลินชิงเสว่อย่างสังเวชใจ
กระทบใครไม่ว่า ดันมากระทบเอาผู้พิทักษ์แดนตะวันตก
ทำนายไม่ได้ยากเลยว่า เจ้าบริษัทหลี่จิงกรุ๊ปนี่ หลังจากการประชุมแดนเหนือนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ก็คงห่างเวลาถึงกาลอวสานไม่นาน
เรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด หลินชิงเสว่ไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
การประชุมแดนเหนือกับนักธุรกิจประเภทของเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกันน้อยมาก ฉะนั้นตั้งแต่เริ่มเช้า เธอก็ไปหาหลินฉ่ายเวยเพื่อประสานงานกันแล้ว
ทุกวันในปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะเป็นยุคธุรกิจสื่อสารทางไอที ซึ่งสามารถสร้างปาฏิหารได้มากให้กับร้านค้าออนไลน์ แต่พูดถึงหน้าร้านในเครือ ก็ยังเป็นตัวหลักสำคัญที่ต้องบูรณาการ
ก่อนหน้านี้บริษัทหลี่จิงกรุ๊ปก็ไม่ได้มีการขยายด้านร้านค้าในเครือ ปัจจุบัน หลังจากได้เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัทหยีเซียง ก็จึงได้มีกาจัดทำร้านค้าในเครือของตัวเองขึ้นมา
หลินชิงเสว่ได้ให้หลินฉ่ายเวยกระจายผลผลิตของผลิตภัณฑ์ไปตามร้านค้าในเครือต่าง ๆ
หลินฉ่ายเวยมาถึงร้านค้าเครือข่ายบริษัทหยีเซียงอย่างรวดเร็วเพื่อประสานงาน
ที่หน้าประตูมีรถบรรทุกจอดอยู่คันหนึ่ง ภายในรถมีสินค้าผลิตภัณฑ์บรรจุอยู่เต็ม
หลินชิงเสว่กำลังเตรียมจะตรวจเช็คสินค้า ทันใดก็มีเสียงล้อรถเบรคอย่างกระทันหันดังขึ้นข้างหลัง
เอี๊ยด !
ที่เห็นเป็นรถเจ็ดแปดคันจอดเรียงอยู่หน้าประตู คันที่นำเป็น Jeep Wrangler Rubicon
ปึง ปึง ปึง !
เสียงเปิดปิดประตูดังต่อเนื่องกันมา รวม ๆ แล้วมีสิบกว่าคนเดินลงจากรถ ท่าทางขึงขังเดินตรงไปหาพวกหลินฉ่ายเวย
“พวกคุณเป็นใครกัน จะทำอะไรกันเหรอ ?”
หลินฉ่ายเวยตกใจหน้าเสีย เดินถอยกรูด
ยังไม่ต้องพูดถึงคนมากันมาก พวกเขามากมายขนาดนี้ แต่ละคนยังถือไม้กันคนละท่อน หน้าตาท่าทางดุร้ายเป็นยักษ์มาร
พวกเขาไม่ตอบ ได้แต่จ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นยะเยือก แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร
ทันทีนั้น คนผู้ชายหน้าตาเย็นชาเดินลงมาจากรถJeep Wrangler Rubicon เดินมาถึงหน้าหลินฉ่ายเวย กวาดตามองด้วยสายตาเยือก ๆ “เธอเป็นพนักงานของหลี่จิงกรุ๊ปใชไหม ?”
“ใช่คะ มีอะไรหรือ ?”
หลินฉ่ายเวยฝืนข่มความตื่นกลัวในใจ ถามขึ้น
คนผู้ชายจุดบุหรี่ พ่นควันออกใส่หน้าหลินฉ่ายเวย ทำเอาเธอสำลักไอติดต่อกันจนน้ำตาไหล
“คุณคิดจะทำอะไรกันอ่ะ ?”
หลินฉ่ายเวยโกรธ ตวาดถามไปอย่างเกรี้ยวกราด
คนผู้ชายจึงได้ค่อย ๆ ควักเอาเอกสารออกมาชุดหนึ่ง “เอาไปดูกันเอง”
หลินฉ่ายเวยรับมาเปิดดู สีหน้าซีดเผือดลง
“คำสั่งห้ามเครื่องสำอาง ? นี่มันเรื่องอะไรกัน ?”
หลินฉ่ายเวยชี้ไปตรงข้อความในเอกสาร แล้วถาม
“เธออ่านหนังสือไม่ออกหรือไง ?”
คนผู้ชายหัวเราะอย่างยียวน “นี่เป็นเอกสารที่เบื้องบนอนุมัติเป็นคำสั่งลงมา จะทำโครงการ ‘อู่เยว่’” สีแดง เป็นการรณรงค์ด้านวัฒนธรรม
“ใกล้จะถึงงานประชุมแดนเหนือแล้ว ท่านผู้พิทักษ์แดนตะวันตกคุณมู่ จะมาถึงเจียงเฉิงในวันนี้มีความประสงค์จะขอให้มวลชนทั้งปวงชื่นชอบวรยุทธ พวกคุณในธุรกิจเครื่องสำอางค์ และบริษัทในวงการบันเทิง ล้วนเป็นกลุ่มสร้างบรรยากาศที่ไม่เหมาะสมอย่างรุนแรงกับการชื่นชมวรยุทธ ฉะนั้น ในระหว่างเวลาช่วงนี้ พวกคุณจะจัดจำหน่ายขายสินค้าที่เกี่ยวข้องประเภทนี้ไม่ได้”
บรูม !
คนผู้ชายนั่นพูดจบ ในสมองหลินฉ่ายเวยเหมือนเกิดระเบิดขึ้น สีหน้าซีดขาวเป็นกระดาษ
“ที่พูดอย่างนี้ บริษัทของเราก็ถูกจัดเข้าในบัญชีดำสีแดงนั่นหรือ ?”
คนผู้ชายดีดนิ้วเป๊าะ “ฉลาดนี่ ให้ดีที่สุด พวกเธอควรต้องยอมรับ มิฉะนั้นไม่เพียงแต่จะถูกจัดเข้าบัญชีดำสีแดงแค่นั้น บริษัทก็คงจะต้องถูกสั่งปิดด้วย”
“นี่คุณ…..จะรังแกกันมากไปแล้ว!”
หลินฉ่ายเวยยังไงก็ทนกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ อารมณ์เดือดขึ้นทันที “แล้วสิ่งที่พวกเราบุกเบิกมาด้วยความลำบากยากแสนสาหัส ทุ่มทุนลงแรงทำผลิตภัณฑ์เหล่านี้ขึ้นมาหละ ? เราจะไปขายให้ใครได้ ?”
คนผู้ชายนั้นหัวเราะยียวนพูดว่า “นี่มันเรื่องง่าย ก็ทุบทิ้งไปสิ!”
พูดจบ หันไปมองกลุ่มคนที่ตามมาข้างหลัง ชี้ไปที่รถบรรทุก สั่งออกไปว่า “ไอ้ของพวกนี้ จัดการทุบทิ้งให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว !”
เคล้ง คล้าง โครมคราม !
เสียงพูดแค่จบ คนทั้งหมดก็เงื้อไม้ในมือกรูกันกระโดดขึ้นบนรถ จัดการหวดฟาดลงบนลังที่วางเรียงอยู่ข้างใน