ตี๊ก ต๊อก !
ติ๊ก ต๊อก !
ในหัองทำงานที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงเดินอย่างแผ่วเบาของเข็มนาฬิกา
หลังจากฉินผู่หยางได้บอกถึงเป้าหมายของตัวเอง เวลาผ่านมาแล้วนาทีหนึ่งเต็ม
ในช่วงหนึ่งนาทีนี้ ถังเฉาไม่ได้ปริปากพูดแม้สักคำ ตั้งแต่แรกเริ่มจนสุดท้ายนี้ ได้แต่หรี่ตาพินิจมองตัวเขา
จากสายตาที่จ้องมองอยู่นั้น ทำเอาฉินผู่หยางใจเต้นรัวจากปกติ เหมือนกับภายใต้สายตาคู่นี้ เขาไม่มีทางที่จะมีความลับใด ๆ ได้เลย
“ดังนั้นแล้ว ที่คุณมาหาฉันนี่ ไม่ใช่มาล้างแค้น แต่เป็นการมาชวนฉันเป็นพันธมิตรด้วย”
ทีสุด ถังเฉาก็ขยับปาก มองฉินผู่หยางแล้วพูดว่า
“ใช่”
ฉิผู่หยางทอดถอนใจยาว ๆ ออกไป ไม่มีการปฏิเสธ: “ร่วมกันเอาให้ฉินกวนฉีตกจากม้าให้ได้ คือเป้าหมายของผม”
ถังเฉาหัวเราะ
เหมือนได้ฟังเรื่องตลกขำขัน เลยหัวเราะอย่างประชดประชัน
“ฉินผู่หยาง คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ? ผม กับ คุณเป็นคู่แค้นกัน ยิ่งกว่านั้น ขาทั้งสองข้างของคุณก็ถูกผมหัก แล้วยังคิดจะมาให้ผมเป็นพันธมิตรด้วยอีกหรือ ?”
“ใช่ !”
มือของฉินผู่หยางกุมแน่น วางอยู่บนขาด้วนทั้งสองข้าง สีหน้าบูดเบี้ยว
“ขอเหตุผลให้ผมหน่อย”
ถังเฉาไม่แสดงอาการประชดประชันต่อ แต่ใช้สายตาที่คมเฉียบมองไปที่เขา
ฉินผู่หยางไม่ใช่คนโง่ เขาทำแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลของเขา
“เพื่อจะก้าวให้ขึ้นสู่ระดับเหนือกว่า และก็เพื่อความสุขในอนาคตของคุณ พวกเรามีศัตรูร่วมกัน”
ฉินผู่หยางถึงขนาดมองสวนสายตาที่คมแหลมของถังเฉา ในแววตาของเขา ถังเฉามองเห็นความมุ่งมั่นของเขา
“ศัตรูร่วมกัน ?”
ถังเฉาส่ายหัว หัวเราะ: “ถ้าคุณจะบอกว่าเพื่อป้องกันตัวเองคงพอว่า ฉินกวงฉีถ้าหากคิดจะเป็นผู้นำตระกูลในวันหลัง ก็จะต้องกำจัดคุณแน่นอน ถึงคุณจะขาด้วนไปทั้งสองข้าง แต่ก็คงยังความเป็นพยัคฆ์ร้ายตัวหนึ่ง ส่วนผมนั้นไปเกี่ยวอะไรด้วย แม้หน้าตาของฉินกวงฉีก็ยังไม่เคยเห็นกันมาก่อนเลย”
ฟังมาดังนั้นแล้ว ฉินผู่หยางก็ไม่ขึ้งโกรธแต่อย่างไร เพียงแสดงสีหน้าให้เห็นแบบชิว ๆ ด้วยรอยยิ้ม
“คุณผิดละ ความแค้นเคืองในโลกนี้นั้นมากหลาย ไม่ใช่ว่าคุณไม่ได้แส่เข้าไปหา แล้วก็จะไม่เกิด มีบางครั้ง เพียงแค่การที่คุณมีความเป็นตัวตนอยู่ก็คือเป็นโทษมีความผิดแล้ว”
แววตาถังเฉาลุกวาบขึ้นมาพลัน
เขาทำไมจะไม่เข้าใจในเหตุผลนี้ ?
ฉินผู่หยางพูดว่า “ถึงแม้ว่าคุณกับฉินกวงฉีไม่เคยพบกันมาก่อน แต่พวกคุณก็ได้มีการผูกความแค้นต่อกันแล้ว ครั้งล่าสุดก็คือเมื่อห้าปีที่แล้วคุณทำร้ายขาผมเสียไปข้างหนึ่ง มันก็เป็นเรื่องชัดแจ้งว่าเป็นการตบหน้าตระกูลฉินไปแล้ว”
“ถ้าหากว่าฉินกวงฉีได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลฉิน น่ากลัวว่าเรื่องแรกที่จะทำคงต้องเป็นการหาคุณและล้างแค้นใส่ตระกูลคุณเป็นแน่”
ถังเฉาหรี่ตา ฉายแววเย็นเยือกแวบหนึ่ง:“ว่าไป”
ฉินผู่หยางหัวเราะ พูดต่อไปว่า: “รองลงมาคือเรื่องความเกี่ยวข้องของฉินกวงฉีกับหลินชิงเสว่”
“ในเยี่ยนจิง ภรรยาของคุณก็คือสาวงามอันดับหนึ่งแห่งยุคในขณะนี้ ในเก้าตระกูลใหญ่ มีคนที่จ้องคิดหวังในตัวภรรยาคุณอยู่ไม่น้อย ลูกพี่ลูกน้องของผมคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ในไม่ช้าก็เร็วนี้เขาต้องลงมือกับคุณแน่ ในเมื่อเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ทำไมเราจะไม่ชิงลงมือ ช่วยกันกับผมจัดการลากเจ้าฉินกวงฉีนี่ให้ตกม้าลงมาเสียก่อนเล่า ?”
พูดมาถึงตอนนี้ ฉินผู่หยางแค่นหัวเราะหน่อยหนึ่ง รอฟังคำตอบจากถังเฉา
ถังเฉาฟังแล้ว ก็ได้หัวเราะตาม
“นี่ก็เพียงแค่การคาดเดาของคุณฝ่ายเดียว ส่วนของฉินกวงฉีจะเป็นคนแบบไหน ผมคงรู้จักว่าต้องไปวินิจฉัยเองอีกที มีก็แต่เรื่องระหว่างเราที่เป็นคู่แค้นกันแล้วมาร่วมจับมือกัน รู้สึกจะดูแปลก ๆ ไหม ?”
“ก็ใช่เรื่องดูแปลก ๆ อยู่”
ฉินผู่หยางหัวเราะพลางผงกหัว: “แต่ทว่า เรามันคนรู้จักกันเก่าแก่แล้ว ให้เทียบกับฉินกวนฉี คุณคงชอบที่จะคบกับผมมากกว่า ไม่ใช่หรือ ?”
ถังเฉาขรึมไปครู่หนึ่ง แล้วพุดขึ้นทันทีว่า: “จะให้ผมช่วยคุณก็ได้ คุณช่วยบอกผมมาเรื่องหนึ่ง……….”
ชะงักครู่หนึ่ง ถังเฉาพูดต่อไปว่า: “ระหว่างคนบ้าดนตรีฉินเจียนเวย กับฉินกวงฉี มีเรื่องบาดหมางอะไรกันหรือ ?”
สวบ!
ฉับพลันในขณะที่ถังเฉาพูดถึง ‘คนบ้าดนตรีฉินเจียนเวย’ สายตาฉินผู่หยางฉายแววอันตรายออกมาแวบ หรี่ตามองสังเกตุทีท่าถังเฉา
“คุณทำไมรู้จักชื่อคนบ้าดนตรีฉินเจียนเวยด้วย ?”
ฉินผู่หยางถามอย่างระแวง
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าถังเฉากับคนบ้าดนตรีฉินเจียนเวยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ชีชือแห่งต้าเซี่ยน้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อเดิมพวกเขา
ที่เป็นที่รู้จักคุ้นชินของคนทั่วไป ก็คงมีเพียงคนบ้าวรยุทธหวู่ตงหยาง
ส่วนคนบ้าดนตรีฉินเจียนเวย แทบจะเรียกว่าน้อยคนนักที่จะรู้จัก
ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีใครรู้เลยว่า คนบ้าดนตรีคนนี้มาจากตระกูลฉินแห่งตระกูลหลวง
ปฏิกิริยาของฉินผู่หยางเป็นที่สาสมแก่ใจถังเฉาเป็นอย่างมาก เขาหัวเราะพลางพูดว่า: “อันนี้คุณไม่ต้องยุ่งหรอก ตอบคำถามผมมาก็พอ”
ถังเฉาค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น ก้มลงมองฉินผู่หยาง
แววตาก็ค่อย ๆ หนาวเยือกลง
“คนบ้าดนตรีฉินเจียนเวย กับฉินกวนฉีมีความเกี่ยวพันกันแบบไหน ?”
นี้จึงเป็นสาเหตุอันแท้จริงที่ถังเฉาจะยอมตอบตกลงกับฉินผู่หยาง
ว่ากันตามจริงแล้ว เขาไม่เคยแคร์กับการที่ฉินกวนฉีจะมาลงมือทำอะไรเขา ต่อให้ฉินกวนฉีขึ้นไปเป็นถึงผู้นำตระกูลฉินแล้วจะมีอะไร ในสายตาถังเฉาแล้ว มันก็แค่เรื่องที่เขาจะลบมันทิ้งให้หายไปได้ก็แค่เพียงลงมือ
ในครั้งนั้นคนรุ่นปลายแถวในตระกูลฉินที่ชื่อว่าฉินสวูตงคิดจะให้คนบ้าดนตรีเป็นเพื่อนนั่งดื่มเหล้ากับเขา คนที่ถูกกล่าวอ้างก็คือฉินกวนฉี
ฉะนั้น ถังเฉาจึงได้คาดเดาว่าคนบ้าดนตรีกับฉินกวนฉีน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน คนบ้าดนตรีก็รู้สึกเหมือนตะขิดตะขวงใจมากอยู่ จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในเมื่อคนบ้าดนตรีไม่ยอมจะเอ่ยปากบอก ถังเฉาก็คงไม่อยากฝืนบังคับให้หล่อนพูดแน่นอน ฉะนั้นเขาจึงมาให้ฉินผู่หยางพูดแทน
ชื่อฉินเจียนเวยนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งต้องห้าม ฉินผู่หยางตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด
เป็นเวลาอันพอนาน เขาเงยหน้าขึ้นมองถังเฉา:“คุณต้องรับปากผม จะต้องไม่บอกต่อไปยังบุคคลที่สาม”
ถังเฉาผงกหัว: “ผมรับปาก”
ฉินผู่หยางจึงได้บอกว่า: “คนบ้าดนตรีฉินเจียนเวย แท้ที่จริงคือ ‘สาวพระ’ ในสายตระกูลฉินของเรา”
“สาวพระ ?”
ได้ยินดังนั้น ถังเฉาขมวดคิ้วแน่น
เขาก็เพิ่งได้ยินศัพท์ภาษานี้เป็นครั้งแรก
“ไม่ผิด ก็คือสาวพระ”
สีหน้าของฉินผู่หยางดูเคร่งขรึม ยิ่งกว่านั้นยังมีแววดูงุนงง
“สาวพระเป็นตำแหน่งอะไร มีภาระหน้าที่อะไร ผมก็ไม่ทราบได้ เท่าที่ผมรู้ คุณปู่ก็ยังต้องให้ความสำคัญกับฉินเจียนเวยอย่างมาก”
ถังเฉาไม่พูดอะไร เพียงเอานิ้วมือเคาะหน้าโต๊ะเรื่อยเปื่อยเป็นเสียงดัง ‘ต๊อง ต๊อง’
“คุณถังเฉา ผมขอถามคุณหน่อย เกี่ยวกับเรื่องตระกูลหลวงในเยี่ยนตูของพวกเรา คุณรู้ตื้นลึกหนาบางขนาดไหน ?”
เพียงชั่วครู่ต่อมา ท่าทีของฉินผูหยางเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด เขม็งตาจ้องยังถังเฉา แล้วถาม
ถังเฉาลังเลชั่วครู่ คงเล่าเรื่องราวเท่าที่รู้ออกมา
“เก้าตำแหน่งใหญ่ในตระกูลหลวงของเยี่ยนจิง ควบคุมอำนาจการเงินเกือบทั้งหมดของเยี่ยนจิง”
“เพียงเท่านี้เองหรือ ?”
ฉินผู่หยางตาวาวอย่างฉับพลัน มีอาการเย้ยเยาะคาบอยู่ที่มุมปาก
ถังเฉาไม่ได้พูดอะไร เพียงยังคงขมวดคิ้วย่น รอให้ฉินผู่หยางพูดต่อ
“ถ้างั้น คุณเคยคิดไหมว่า เก้าตระกูลหลวงใหญ่นั้น นอกจากตระกูลหลินที่ท่านหลินรั่วหวีเป็นผุ้ก่อตั้งขึ้นมา แล้วนอกนั้นอีกแปดตระกูลหลวง ต่างมีที่มาอย่างไร ?”
ฉินผู่หยางทำตาลุ่มลึก พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“รวมเผ่าจากคน ? ก็ใช่แบบนั้นจริงอยู่ แต่ว่าคุณควรรู้นะว่า ‘ความมั่งมีมีไม่เกินสามชั่วคน’ หมายความว่าอย่างไร”
แววตาถังเฉาเปลี่ยนไปเล็กน้อยในฉับพลัน
จริงสินะ จวบจนถึงทุกวันนี้ ถ้านับเป็นเวลาก็ไม่ถึงร้อยปี ตระกูลหลวงแห่งเยี่ยนตู ทำไมถึงได้ก้าวอยู่เหนือตระกูลยักษ์ทั้งปวงได้
ในบรรดาตำราหนังสือประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ก็ไม่เคยเห็นมีบันทึกของแปดตระกูลหลวงนี้เลย
นอกจากตระกูลหลินแล้วอีกแปดตระกูลหลวง มันเหมือนกับว่าโผล่ขึ้นมากลางอากาศในเยี่ยนจิงในปัจจุบันนี้เอง
ฉินผู่หยางพูดอย่างหนักแน่น:“ในสายตาผู้คนทั่วไป อำนาจอิทธิพลของตระกูลหลวงเยี่ยนจิงนั้นสูงสุดยอด แต่ข้อเท็จจริง ตระกูลหลวงไม่ได้สูงที่สุด”
“เหนือบนตระกูลหลวง คงยังมีตระกูลราชวงศ์”