เพรี้ยง!
คนกว่า 20 คนพากันยกตะบองขึ้นมาทุบไปทีหนึ่ง และกำลังแห่งการทำลายล้างนั้นก็น่ากลัวอย่างมาก
ไม่นาน ก็มีเสียงกระจกแตกที่หนวกหูดังสนั่นไปทั่วทั้งถนน
นอกจากเศษกระจกแตกแล้ว ไม่นานของเหลวสีขาวเงินก็ไหลออกมาจากกล่องไม้ ซึ่งนั่นล้วนเป็นโทนเนอร์ทั้งสิ้น
“อย่าทุบแล้ว อย่าทุบ หยุด!”
หลินฉ่ายเวยตะโกนขึ้นมาอย่างเจ็บปวดใจ พร้อมกับเข้าไปห้ามอย่างมุทะลุ แต่กลับถูกผลักลงกับพื้นอย่างรุนแรง
“ไปให้พ้นนี่แกกล้าห้ามพวกเราเหรอ จะเชื่อหรือไม่นั้นต้องให้แกเห็นเลือดก่อนใช่ไหม?”
ชายร่างสูงใหญ่เหล่านั้นจ้องไปที่หลินฉ่ายเวยอย่างดุร้ายน่ากลัว พร้อมกับพูดไปอย่างโหดเหี้ยม
หลินฉ่ายเวยตกใจจนไม่กล้าขยับ เธอจึงทำได้แค่มองดูรถบรรทุกสินค้าที่ถูกทุบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ชายคนนั้นโบกมือพร้อมกับพูดว่า “เสร็จงานแล้ว เลิกงานได้”
ผู้ชายกลุ่มนั้นก็กระโดดขึ้นรถอีกครั้ง
ก่อนที่จะจากไป ชายคนนั้นก็หันกลับมามองหลินฉ่ายเวยแวบหนึ่งพร้อมกับพูดว่า “นี่เป็นเพียงคำเตือน เท่านั้น หวังว่าเธอจะแสดงเอกสารฉบับนี้ให้เจ้านายของเธอดูนะ และอย่าขายมันอีก มิฉะนั้น ผมก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะยังมีบริษัทของพวกเธออีกต่อไปหรือเปล่า”
หลินฉ่ายเวยโกรธจนสั่นไปทั้งตัว “พวกแกนี่ช่างเลี้ยงช้างกินขี้ช้างเสียจริง! เห็นพวกเราดีหน่อยก็ไม่ได้!”
อะไรคือการขัดต่อความชอบในอำนาจทหารงั้นเหรอ แล้วมันมีการบีบบังคับคนขนาดนี้ที่ไหนกันล่ะ?
ชายคนนั้นหยุดฝีเท้าลงจากนั้นก็หันหน้ากลับมายิ้มพร้อมกับพูดว่า “อย่ามองผมด้วยสายตาที่อาฆาตแค้นขนาดนี้เลย เพราะผมไม่ได้เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ และผมก็เป็นแค่ผู้ดำเนินการคนหนึ่งเท่านั้น”
พอพูดจบ เขาก็เดินจากไปด้วยท่าทางที่ไม่เกรงกลัวใดๆ
“คุณหลินคะ ตอนนี้เราควรทำยังไงดี?”
ผู้จัดการร้านสาขามองหลินฉ่ายเวยอย่างหดหู่ใจไปแวบหนึ่ง แล้วถามไปอย่างนั้น
หลินฉ่ายเวยไม่ได้พูดใดๆ แต่กลับสั่งคนไปที่ร้านสาขาอื่น
เมื่อเธอมาถึงฐานปฏิบัติการ สีหน้าของเธอก็ยิ่งซีดมากขึ้น
ร้านค้าสาขาอื่นๆ นั้นยิ่งโหดร้ายกว่า เพราะทั้งร้านถูกทุบจนหมด
ยิ่งกว่านั้น หลินฉ่ายเวยยังเข้าใจว่า ร้านเครื่องสำอางอื่นๆ นั้นไม่มีเหตุทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกันเลย คงจะมีแค่บริษัทลี่จิงกรุ๊ป ที่ถูกทุบไปเท่านั้น
ซึ่งถ้าในขณะนี้เธอยังมองไม่ออกว่านี่คือการพุ่งเป้ามาที่เธอแล้ว เช่นนั้นเธอก็คงเป็นคนที่โง่มาก
เธอจึงรีบกลับมาที่บริษัททันที และบอกเรื่องนี้กับหลินชิงเสว่กับถังเฉา
เมื่อได้รู้ทุกอย่างหลินชิงเสว่ก็โกรธถึงกับต้องทุบโต๊ะเลยทีเดียว
“นี่ไม่ใช่การต้อนรับการประชุมแดนเหนือที่ดีกว่า แต่กลับมีบางคนต้องการใช้การประชุมแดนเหนือเพื่อโจมตีพวกเรา!”
สีหน้าของหลินชิงเสว่มืดครึ้มจนถึงขีดสุด
วิธีที่ถังเฉาให้มานั้นมันเดาได้ง่ายมาก
“โดยการเน้นกำลังงานรักษาความปลอดภัย และขายตามร้านต่อไป เพื่อดูว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง”
ในครั้งนี้ ถังเฉาปล่อยให้เย่เทียนหลงออกรบลงสนามไปแล้ว
และในบริเวณใกล้เคียงของร้านค้าแต่ละแห่งนั้น ก็มีการจัดนักฝึกการต่อสู้หลายคนของสมาคมเพิร์ลบูโดอยู่ด้วย
และไม่นานสิ่งนี้ก็ไปถึงหูของชายคนก่อนหน้าอย่างรวดเร็ว
เขาส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “บริษัทลี่จิงกรุ๊ปนี่ช่างไม่กลัวตายเสียจริง ฉันเคยเตือนพวกเขามาแล้ว ยังกล้าทำธุรกิจอย่างเปิดเผยขนาดนี้อีก”
“พี่ใหญ่ครับ นี่ไม่ใช่ว่าเราไม่เห็นความสำคัญของพี่นะครับ”
คนของลูกน้องพูดคล้อยตาม
ในดวงตาของชายคนนั้นวูบวาบไปด้วยความโหดร้าย “เอาละ งั้นวันนี้ก็ปล่อยให้พวกมันตายสะเลย ให้พวกมันรู้ว่านักเลงหัวไม้ของเจียงเฉิงเราจะเก่งกาจแค่ไหน”
ที่แท้ชายคนนี้ก็คือนักเลงหัวไม้ของเจียงเฉิงนี่เอง ซึ่งโดยปกติแล้วงานหลักของเขาก็คือการทวงหนี้
ซึ่งในครั้งนี้ พวกเขาก็พาคนจำนวนมากเป็นเท่าตัวของครั้งที่แล้ว แล้วเดินวางมาดไปที่ร้านสาขาร้านหนึ่ง
ทั้งผู้คนที่สัญจรไปมา พนักงานร้านค้า ต่างก็พากันหลบอยู่ไกลๆ
สีหน้าของหลินฉ่ายเวยเปลี่ยนไปอย่างมาก “ทำไมพวกแกถึงมาที่นี่อีก?”
ชายคนนั้นเดินไปตรงหน้าหลินฉ่ายเวย ด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าของเขา “สาวน้อย บริษัทของพวกเธอนี่ช่างกล้าหาญเสียจริง นี่มันไม่ให้ความสำคัญกับหวางเย่ของเธอเลยนะ!”
ชายคนนั้นเป็นคนตระกูลหวางชื่อเย่ ซึ่งเขาได้รับฉายาว่า หวางเย่
แต่ครั้งนี้หลินฉ่ายเวยไม่กลัวเขาอีกต่อไป “ครั้งนี้พวกคุณอย่าได้คิดทุบร้านของเราอีก!”
พอพูดจบ หลินฉ่ายเวยก็ตะโกนใส่ถังเฉาที่อยู่ในร้านไปว่า “ถังเฉา เขานี่แหละ!”
เมื่อพูดสิ่งเหล่านี้ออกไป หวางเยี่ยก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง..
“เรียกคนมาด้วยงั้นเหรอ?”
ทั้งหวางเยี่ยและน้องเล็กที่เป็นลูกน้องของเขาก็รู้สึกประหม่าอย่างมาก
แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีคนคนหนึ่งเดินออกจากร้าน ซึ่งนั่นก็คือถังเฉาเองจากนั้นแค่ครู่เดียวพวกเขาจึงไม่รู้สึกกลัว
“ฮ่าๆ…”
“เรายังคิดสะอีกว่าแกน่ะเรียกใครมาช่วยแก คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีแค่คนเดียว!”
“ทำไม แกคงไม่คิดอย่างไร้เดียงสาจริงๆ หรอกว่า เขาสามารถช่วยแกได้?”
หวางเยี่ยเข้าใกล้หลินฉ่ายเวย แล้วยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “ฉันจะบอกความลับอะไรให้แกนะ วันนี้ไม่เพียงแต่จะทุบของเท่านั้น ทั้งคนด้วย ฉันก็จะทุบด้วย!”
หลินฉ่ายเวยโกรธจน ฟาดไปที่หน้าหวางเยี่ยทีหนึ่ง “ไอ้พวกอันธพาล ออกไปไกลๆ จากฉันนะ!”
หวางเย่เบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อไปครู่หนึ่ง “แกกล้าดียังไงมาตบฉันแบบนี้? จับนังหนูนี้ไว้!”
คนที่อยู่ข้างหลังเขาก็รีบวิ่งไปที่หลินฉ่ายเวย
ในขณะนั้นเอง ถังเฉาก็ได้เดินไปตรงหน้าหลินฉ่ายเวย ด้วยสายตาที่เย็นชา
“ฉันว่า แกคงคิดว่าคนตัวใหญ่แบบฉันคงไม่มีอยู่จริง?”
หวางเยี่ยตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดันไหล่ของถังเฉาออกไป
“แกคิดว่าแกเป็นใครกัน? ถึงกับกล้าร้องเอะอะใส่ฉัน? รู้ไหมว่า ด้วยคำพูดนี้ของแกน่ะ ฉันสามารถทำให้แกตายได้เลยนะ?”
“ถังเฉา ระวังหน่อยนะ พวกเขาคนเยอะ”
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าถังเฉาแข็งแกร่งมาก แต่หลินฉ่ายเวยก็กลัวว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับคนในจำนวนมาก ดังนั้นเธอจึงเตือนไปประโยคหนึ่ง
“สาวน้อยคนนี้พูดถูก พวกเรามีคนเยอะนะ!”
หวางเยี่ยหันหน้าไปชี้ที่ฝูงชนทั่วทั้งถนนที่มากและหนาแน่นนั้น เขาก็ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “คนเยอะกว่าครั้งที่แล้ว แล้วแกจะสู้ได้ยังไง?”
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรามาโดยคำสั่ง และถ้าแกไม่ให้ความร่วมมือ พวกเราก็สามารถลงมือได้อย่างเปิดเผย…”
ใบหน้าของหวางเยี่ยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
สำหรับเขาแล้ว หลินฉ่ายเวยพวกเขากำลังเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงเท่านั้น
ถังเฉายิ้ม “โอ้? จริงเหรอ?”
พอพูดจบ เขาก็ส่งเสียงดีดนิ้ว
ทันใดนั้น ในระยะห้าสิบเมตรที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านสาขานั้น ก็มีคนหลายคนที่ทำสีหน้าเฉยเมย แต่ก็แข็งแกร่งมาจากทุกทิศทุกทาง
พวกเขาทั้งหมดต่างก็สวมชุดฝึกสีขาว ที่เขียนอักษรตัวใหญ่ไว้ว่า “การต่อสู้”
แน่นอนว่าต้องเป็นเย่เทียนหลงกับยอดฝีมือของสมาคมการต่อสู้
แม้แต่จ้าวเย็นหรานก็มา
แต่เธอไม่ได้มาเพื่อทะเลาะวิวาทกัน แต่กลับมาเพื่อดูสถานการณ์นั่นเอง
เมื่อเห็นเย่เทียนหลงพวกเขามา หวางเยี่ยก็รู้สึกตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเหลือบมองก็เห็นว่ามีคนแค่ไม่กี่สิบคน แต่พวกเขากลับมีคนตั้งห้าสิบหกสิบคน พวกเขาจึงรู้สึกไม่กลัวทันที
“สาวน้อย นี่เธอกำลังก่อกรรมทำเข็ญนี่นา รู้หรือเปล่าว่า คนเหล่านี้น่ะจะถูกทำลายเพราะเธอนะ?”
หวางเยี่ยมองที่หลินฉ่ายเวยและพูดไปอย่างนั้น
“โอ้? แกแน่ใจเหรอ?”
จ้าวเหยียนหรันเดินตามเย่เทียนหลง และยิ้มระรื่นพร้อมกับพูดว่า “แล้วพวกแกรู้หรือไม่ว่า พวกแกถูกเราล้อมไว้หมดแล้ว?”
“ฮ่าๆ…”
หวางเยี่ยรู้สึกขำกับคำพูดของจ้าวเหยียนหรัน
ลูกน้องก็หัวเราะเช่นกัน
ทั้งๆ ที่พวกเขาคนเยอะ ถ้าพวกเขาจะล้อมก็คงจะล้อมแค่เย่เทียนหลงพวกเขาเท่านั้น แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่าพวกเขาจะถูกล้อมด้วยล่ะ?
“ลงมือสะ แต่อย่าให้ถึงชีวิต”
เย่เทียนหลงพูดกำชับไปประโยคหนึ่ง
คนทุกคนของสมาคมการต่อสู้นี้จึงลงมือพร้อมกัน
ปังๆ!…
ทุกที่ที่พวกเขาไป มีแต่เสียงของการต่อสู้ของความโกลาหล
ภายในไม่ถึงนาที ลูกน้องของหวางเยี่ยก็นอนลงพื้นทั้งหมด
และในขณะนั้นเองก็เหลือเพียงหวางเยี่ยคนเดียว
หวางเยี่ยรู้สึกโง่ไปทันที
“เชื่อเถอะว่าตอนนี้ เราได้ล้อมพวกแกไว้แล้ว?”
เย่เทียนหลงหัวเราะเหอะๆ และเดินเข้ามาตรงหน้าหวางเยี่ย จากนั้นก็จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ดุเดือดรุนแรง
โครม!
หวางเยี่ยอ่อนตัวลง และทรุดตัวลงกับพื้น ด้วยความกลัวอย่างมาก
และสิ่งที่ทำให้หวางเยี่ยไม่น่าเชื่อไปยิ่งกว่านั้นคือ เย่เทียนหลงก็มาถึงตรงหน้าถังเฉา และพูดอย่างสุภาพว่า”คุณถังครับ ทุกคนถูกจัดการหมดแล้ว”
ทันทีที่สิ่งนี้ถูกพูดออกมา หวางเยี่ยก็ตะลึง และมองดูเย่เทียนหลงกับถังเฉาอย่างโง่เขลา
เขาช่างไม่มีความสามารถในการสังเกตสถานการณ์เอาสะเลย ในทางตรงกันข้ามกัน เขาก็เป็นคนที่ทำให้ตัวเองมาถึงจุดจุดนี้เอง หรืออาจเป็นเพราะเขามีความสามารถในการสังเกตสถานการณ์มากเกินไป
เขารู้ความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคลทุกประเภท
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้สวมชุดการต่อสู้ และเป็นลูกน้องของเย่เทียนหลง
หวางเยี่ยคนนี้ก็เดาได้แล้วเช่นกัน
แต่สิ่งที่หวางเยี่ยคิดไม่ถึงคือ เย่เทียนหลงจะฟังคำสั่งของถังเฉาจริงๆ
ไม่น่าแปลกใจ ที่เขาจะกล้าออกมาคนเดียว!
ที่แท้ คนเหล่านี้ต่างก็เชื่อฟังเขา
“อืม”
ถังเฉาพยักหน้าเบาๆ โดยรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงโจรตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้นดังนั้นเขาจึงพูดกับเย่เทียนหลงว่า “ไปถามว่าใครเป็นคนสั่ง”
“ครับ คุณถัง”
ไม่นานเย่เทียนหลงก็เดินมาตรงหน้าหวางเยี่ยอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็กดเข่าลงบนท้องของหวางเยี่ยลงอย่างแรง
ปัง!
จากนั้นก็มีเสียงอู้อี้ดังขึ้นมา แล้วหวางเยี่ยก็ก้มตัวลง พร้อมกับรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
นี่มันไม่เบาเลยนะ จากนั้นสีหน้าของหวางเยี่ยก็ซีดลง
เขายืนอยู่ตรงหน้าเย่เทียนหลงและขาทั้งสองข้างของเขาก็สั่นเทา
“พวกแก ต้องการจะทำอะไร…”
ในขณะนั้นเอง ในที่สุดหวางเยี่ยก็รู้สึกถึงความกลัว
เย่เทียนหลงยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ก็ไม่ได้มีอะไร แค่มาใช้อำนาจกดขี่ให้แกยอมจำนนเท่านั้น”
หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามต่อไปว่า “บอกฉันทีว่า ใครให้แกทำแบบนี้?”
ถังเฉายืนข้างหลัง ด้วยสายตาที่โหดร้าย
การประชุมแดนเหนือจัดขึ้นตามกำหนด จนทำให้เมืองเจียงเฉิงกลายเป็นเมืองที่มีสถานการณ์ไม่แน่นอน
ที่ทั้งคนดีและคนเลวอยู่ปะปนกัน ไม่ว่าจะเป็รคนแบบไหนก็ออกมาแล้ว
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังบริษัทหยีเซียงคือถังฮันเจี๋ย แล้วครั้งนี้ เป็นใครอีกล่ะ?
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ ถังเฉาสามารถยืนยันได้
หวางเยี่ยทำตามคำสั่ง ดังนั้นอีกฝ่ายต้องเป็นบุคคลที่ซ่อนอยู่ในระบบการทำงาน
หวางเยี่ยดูเหมือนกำลังลังเลอยู่ว่า ควรจะพูดหรือไม่
หลินฉ่ายเวยก้าวขึ้นมาและฟาดไปที่หน้าหวางเยี่ยอย่างดุร้ายทีหนึ่ง “มีคนสั่งให้แกคอยสั่งคนมารังแกฉันใช่ไหมรีบพูดมาสิ ใครส่งแกมาที่นี่!”
เห็นเพียงว่าใบหน้าของหลินฉ่ายเวยเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะโกรธแค้นอย่างมาก เพราะที่ร้าน เธอเป็นคนรับอำนาจรับผิดชอบทั้งหมด ซึ่งมันก็มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาผลการทำงานของเธอโดยตรงด้วย
ตอนนี้ร้านค้าหลายแห่งล้วนถูกหวางเยี่ยทุบไปหมดแล้ว และผลการทำงานของเธอก็จะลดลงตามไปด้วย
หลินฉ่ายเวยตบแล้วตบอีก โดยไม่มีใครห้ามเลย เพียงแค่ต่างจ้องมองเขาอย่างเย็นชา
ในที่สุด หวางเยี่ยก็ทนไม่ไหว เขาจึงพูดออกมา
“นี่คือจุดประสงค์ของพันธมิตรเจียงเฉิง และผมก็เป็นแค่คนทำงานเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น พวกคุณอย่าระบายความแค้นเคืองกับผมเลย!”
หวางเยี่ยตะโกน ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“พันธมิตรเจียงเฉิงงั้นเหรอ?”
ถังเฉาขมวดคิ้ว พร้อมกับส่งสัญญาณให้หลินฉ่ายเวยหลีกทาง และซักถาม
“พันธมิตรเจียงเฉิงคืออะไรกัน?”
หวางเยี่ยทำหน้ามุ่ยพร้อมกับพูดว่า “การที่พวกคุณไม่รู้น่ะมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะยังไม่ถูกประกาศออกไป ซึ่งอาจจะประกาศในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหลังจากเปิดการประชุมแดนเหนือแล้ว”
“มันเป็นพันธมิตรธุรกิจขององค์กรยักษ์ใหญ่หลายแห่งในเมืองเจียงเฉิงจัดตั้งขึ้นส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลังการประชุมแดนเหนือ โดยใช้ประโยชน์จากการประชุมแดนเหนือ ทำให้ผลิตภัณฑ์ทั่วไปได้รับการขยายออกไป”
“แต่พวกเขาต่างก็เป็นธุรกิจภายใต้การบริหารสมาคมการค้าเจียงผิง ซึ่งพวกเขาระบุไว้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาจะต่อต้านบริษัทลี่จิงกรุ๊ป ดังนั้นจึงมีเครื่องสำอางต้องห้ามนี้”
เมื่อฟังการแนะนำของหวางเยี่ยแล้ว ทุกคนจึงเข้าใจว่าพันธมิตรเจียงเฉิงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
พูดตรงๆ ก็คือบริษัทที่ให้การสนับสนุนการประชุมแดนเหนือทั้งหมดพร้อมใจกันมุ่งเป้าไปที่พันธมิตรของบริษัทลี่จิงกรุ๊ป
“แล้วใครเป็นหัวหน้าพันธมิตรล่ะ?”
ถังเฉาหรี่ตาลงพร้อมกับถาม
ครั้งนี้หวางเยี่ยก็ส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกัน ผมก็รู้แค่นี้แหละ”
สามารถมองออกได้ว่าหวางเยี่ยไม่ได้โกหก และถังเฉาเองก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ ดังนั้นจึงปล่อยเขาไปโดยตรง
หลังจากกลับมา ถังเฉาจึงให้หูอีซานไปตรวจสอบพันธมิตรเจียงเฉิง และได้รับข้อสรุปที่น่าสนใจมา
ไม่นึกเลยว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับผู้พิทักษ์แดนตะวันตก และมู่ตงเฟิงด้วย