“ชิงตัวเจ้าสาว?!”
หลังจากได้ยินสิ่งที่ถังเฉาพูด เฟิ่งหวงอึ้งอยู่นาน ร้องเสียงหลงออกมาหลังจากได้สติในที่สุด
“ชิงของใครคะ?”
เฟิ่งหวงเพิ่งกลับมาอยู่ข้างกายถังเฉา ยังไม่รู้เรื่องราวใหญ่โตที่เกิดขึ้นในเมืองซื่อจิ่วช่วงเวลานี้
เธอลองค้นหาผ่านมือถือก็ถึงบางอ้อ ชิงตัวเย่หรูอี้
แค่เปิดหน้าเพจช่องข่าว ไม่ต้องค้นหาด้วยซ้ำ หน้าเพจเกี่ยวกับข่าวใหญ่อย่างตระกูลหลวงอย่างตระกูลเย่และตระกูลถังดองกันก็เด้งขึ้นมาเอง
พวกสายข่าวบันเทิงที่ไม่กลัวเรื่องใหญ่สนแค่ความบันเทิงใช้คำพูดคุยโวว่านี่เป็นงานแต่งงานแห่งศตวรรษที่ไม่ว่าจะในด้านคุณภาพงาน หรือผลกระทบที่ส่ง ล้วนเกินกว่างานแต่งงานแห่งศตวรรษเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
ถึงยังไงในประวัติศาสตร์ของเมืองซื่อจิ่ว ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ที่สองตระกูลหลวงในเยี่ยนตูดองกันมาก่อน
ตระกูลเย่และตระกูลถังทำเป็นตัวอย่าง เชื่อว่าหลังจากสองตระกูลนี้ดองกันแล้ว เจ็ดตระกูลหลวงที่เหลือก็ต้องทำทุกวิธีเพื่อดองกันเป็นแน่
อย่างไรซะ การดองกันก็เป็นวิธีกระชับมิตรระหว่างสองตระกูลที่รวดเร็วและดีที่สุด
เก้าตระกูลหลวงต้องรักษาความสมดุล
การที่สองตระกูลร่วมมือกัน ย่อมทำลายสมดุลนี้
ตระกูลหลวงอื่นๆก็ต้องหาทางดองกันเพื่อรักษาสมดุลนี้
ไม่อย่างนั้น ตระกูลที่หลุดขบวนและถูกกำจัดก่อนจะต้องเป็นตระกูลหลวงที่ไม่ดองกับใครแน่นอน
“งานแต่งงานครั้งนี้ เป็นสงครามนี่เอง…..”
เฟิ่งหวงอ่านคำแนะนำสุดอลังการแล้วกลับถอนหายใจเบาๆ
“เธอก็ดูออกหรอ?”
ถังเฉาเอ่ยยิ้มๆ
เฟิ่งหวงพยักหน้า ก่อนจะลังเลเล็กน้อย จะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่พูด
ถังเฉาเอ่ยขึ้น “มีอะไรก็พูด ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆหรอก”
เฟิ่งหวงถึงยอมเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “รองหัวหน้าไปชิงตัวเจ้าสาว ด้านคุณหลิน….เกรงว่าจะอธิบายยากนะคะ”
ถังเฉาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉันไม่ได้ไปเพื่อชิงตัวเจ้าสาวเท่านั้น หนี้แค้นบางอย่าง ฉันต้องไปชำระด้วยตัวเอง”
สายตาของเขาฉายแววเย็นยะเยือก
เมื่อไม่นานมานี้ เย่หรูอี้สูญเสียพรหมจรรย์ในห้องทำงาน เย่จงซือคอยผสมโรงอยู่เบื้องหลัง หากไม่ใช่ถังเฉาใช้ตัวเองเป็นเหยื่อเพื่อล่อค้างคาวออกมา เขาอาจจะหนาวตายไปจริงๆก็ได้
แค้นนี้ ไม่ชำระไม่ได้
เฟิ่งหวงได้ยินเรื่องนี้แล้วหน้าตาก็เปี่ยมด้วยแรงอาฆาตเช่นกัน
แต่ในส่วนของหลินชิงเสว่ ถังเฉาเดาว่าเธอคงไม่หาเรื่องใส่ตัว ไปร่วมงานแต่งงานของเย่หรูอี้หรอก
อย่างไรซะคราวก่อนที่เขาแต่งงานกับหลินชิงเสว่ เย่หรูอี้ก็ไม่มา แต่ให้ซ่งเทียนซานร่วมงานแทน
เช่นเดียวกัน หลินชิงเสว่ก็คงไม่ร่วมงานแต่งงานของเย่หรูอี้
จากนั้น เฟิ่งหวงไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่จ้องหน้าถังเฉาเนิ่นนาน
ถังเฉาลูบหน้าตัวเองด้วยสัญชาตญาณและถาม “เป็นอะไรไป หน้าฉันมีอะไรติดหรอ?”
“ไม่มีค่ะ”
เฟิ่งหวนเบนสายตาออกไป มีรอยยิ้มบางๆเปื้อนหน้า “ฉันแค่รู้สึกว่าได้กลับมาอีกครั้งนี่ดีจริงๆเลยค่ะ”
“อากาศที่นี่ดีกว่า”
ได้ฟังแล้วถังเฉาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้ม “กลับมาครั้งนี้ ก็ไม่ต้องไปไหนอีกแล้วนะ”
“อื้ม ไม่ไปแล้วค่ะ”
เฟิ่งหวงยิ้ม และตั้งใจขับรถ
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงโรงแรมใหญ่หลงเฉิง ณ ใจกลางเมือง
ที่นี่เป็นโรงแรมที่หรูหราที่สุดของเมืองซื่อจิ่ว งานแต่งงานหลายงานของตระกูลใหญ่ล้วนจัดขึ้นที่นี่
แน่นอนว่าราคาของที่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับไหว
ถังเฉาและเฟิ่งหวงลงจากรถ มองโรงแรมใหญ่แห่งนี้
ขณะนี้งานแต่งงานยังไม่เริ่ม แต่หน้าประตูห้อมล้อมไปด้วยนักข่าวมากมายรวมถึงประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ พวกเขามารอกันแล้ว
“รองหัวหน้าคะ เหมือนว่าเราจะไม่มีบัตรเชิญ”
เฟิ่งหวงสังเกตดูแล้ว แทบจะมีบัตรเชิญกันคนละใบ
ถังเฉาขมวดคิ้ว ตอนนี้สำหรับทั้งเมืองซื่อจิ่วเขาเป็นคนที่ตายไปแล้ว ไม่สะดวกผลีผลามไปขอบัตรเชิญ
ทันใดนั้น มีชายหนุ่มลูกคนรวยท่าทางเสเพลคนหนึ่งเดินออกจากฝูงชน
พอเห็นคนคนนี้ ถังเฉาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกว่าหน้าคุ้นเหลือเกิน
นี่มันคุณชายของตระกูลฉู่แห่งตระกูลหลวง ฉู่หยางไม่ใช่หรอ?
ก่อนหน้านี้ที่งานบรรลุนิติภาวะสิบแปดปีของเจ้าหญิงน้อยหลงเจียเจีย ฉู่หยางก็เคยโผล่มา แต่อารมณ์เสียกับหลงเจียเจียจนออกจากงานไป
ทั้งสองเคยหมั้นหมายกันเมื่อครั้งยังเด็ก
ด้วยเหตุนี้ ฉู่หยางจึงจองล้างจองผลาญถังเฉา
คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอเขา
ไม่นานนัก ถังเฉาก็มีความคิดบางอย่าง
เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าฉู่หยาง และตบไหล่เขา
“ใครน่ะ?”
ฉู่หยางหันกลับมาด้วยสีหน้ารำคาญใจ หน้าตาโกรธเกรี้ยวสุดๆ
ทว่า เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของถังเฉา เขาก็ตกใจอย่างหนัก
“ผี—- ผีหลอก!”
ฉู่หยางออกวิ่งโดยไม่ต้องคิด
ถังเฉาตายไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่วงสังคมชั้นสูงของเมืองซื่อจิ่วรู้กันดี แต่ถังเฉากลับปรากฏต่อหน้าเขา ไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไร?
ปรากฏว่า เขากำลังจะเผ่น ก็โดนเฟิ่งหวงเตะกลับมาทันที
“พวก พวกนายจะทำอะไร?”
เขามองถังเฉาและเฟิ่งหวงด้วยท่าทีหวาดกลัว ฉู่หยางตกใจแทบแย่
ถังเฉายิ้มให้เขาอย่างใสซื่อ “ไม่ต้องกลัว ฉันยังมีชีวิตอยู่ ไม่เชื่อว่านายก็ลองจับดูสิ”
พูดจบก็ยื่นหน้าเข้าไปให้ฉู่หยางจับ
นาทีที่ได้สัมผัส ฉู่หยางสั่นไปทั้งตัว ก่อนจะผงะ “ยังมีชีวิตอยู่จริงๆด้วย”
“แล้วนี่นาย—-”
ฉู่หยางเบิกตากว้างทันที มองถังเฉาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ชู่ว…..”
ถังเฉาทำท่าให้เขาเงียบ แต่สายตากลับทอดไปที่บัตรเชิญในกระเป๋าของเขา “ฉันอยากขอยืมอะไรนายหน่อย”
“อะไร……”
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของถังเฉา สายตาของฉู่หยางเปลี่ยนไปทันที เขาเอามือคลุมกระเป๋าด้วยสัญชาตญาณ
ถังเฉาไม่พูดอะไร แต่สายตามองบัตรเชิญในมือของฉู่หยางราวกับเบนสายตาไม่ได้
ห่างออกไปไม่ไกล บอดี้การ์ดของฉู่หยางก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน—-เพียงแต่พวกเขามีความสุขกว่าฉู่หยางอยู่หน่อยๆ
ฝ่ายหนึ่งถูกเพศเดียวกันปล้น อีกฝ่ายหนึ่งถูกคนต่างเพศปล้น
เฟิ่งหวงกำลังลากบอดี้การ์ดของฉู่หยางไปที่มุมกำแพง และขู่ด้วยใบหน้าดุร้ายส่งบัตรเชิญมา
ภายใต้ทั้งการขู่และเอาผลประโยชน์เข้าล่อของเฟิ่งหวง บอดี้การ์ดของฉู่หยางต้องมอบบัตรเชิญในมือออกไปอย่างเสียไม่ได้
ไม่นานนัก เฟิ่งหวงก็เดินถือบัตรเชิญเข้ามาด้วยท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และถลึงตาใส่ฉู่หยางอย่างเหี้ยมเกรียม
ฉู่หยางแทบจะหมดลมหายใจเพราะสายตานี้
ถังเฉาถอนหายใจเบาๆ “นายรู้สึกมั้ยว่าช่วงนี้นายตกอับมาก?”
“ตกอับ? ตกอับยังไง?”
ฉู่หยางตะลึงนิดหน่อย แต่เนื่องจากเฟิ่งหวงยังอยู่เขาจึงไม่แสดงออกมา
ขณะเดียวกันเขาก็อยากรู้ว่าทำไมถังเฉาถึงพูดแบบนี้
“ช่วงนี้สถานะของนายในตระกูลฉู่แห่งตระกูลหลวงต่ำลงเรื่อยๆใช่มั้ย? นอกจากคนในตระกูลจะดูถูกนายแล้ว แม้แต่พ่อแม่ของนายก็เริ่มห่างเหินกับนายใช่มั้ย?”
ถังเฉามองฉู่หยางและถอนหายใจพลางกล่าว “แถมฝันทุกคืน และมักจะฝันร้าย ดึกดื่นสะดุ้งตื่นและตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก”
“นายรู้ได้ยังไง?”
หลังจากที่เขาพูดเช่นนี้ ฉู่หยางก็ผงะไปเลย หน้าตาเหลือเชื่อ
ถังเฉากล่าวต่อ “ฉันรู้อีกว่านายมีอาการแบบนี้ตั้งแต่โดนหลงเจียเจียปฏิเสธ สาเหตุก็เพราะนายเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก เกิดในตระกูลฉู่ กลับถูกเด็กสาวตัวเล็กๆปฏิเสธ อับอายขายขี้หน้าเป็นที่สุด”
“แล้วฉันต้องทำยังไง?”
โดนถังเฉาพูดใส่แบบนี้ฉู่หยางก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไร้น้ำยา คิ้วขมวดเป็นปมในบัดดล
“ง่ายมาก การดองกันระหว่างตระกูลเย่และตระกูลถังเป็นผลให้ตระกูลหลวงอื่นๆเกิดความวิตกกังวลขึ้นมา หากสองตระกูลนี้ดองกันไม่สำเร็จ เก้าตระกูลหลวงก็จะยังรักษาสภาพการณ์เดิมไว้ได้”
“ตอนนี้ฉันกำลังจะไปหยุดการดองระหว่างตระกูลเย่และตระกูลถัง——หรือก็คือ ชิงตัวเจ้าสาว”
ถังเฉาพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“…….”
ฉู่หยางอึ้งไป ปากเขาอ้ากว้างเล็กน้อย ทว่าพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง
เขาเพิ่งเคยเห็นคนอธิบายการชิงตัวเจ้าสาวได้แปลกใหม่เช่นนี้
“นายเอาบัตรเชิญในมือนายมาให้ฉัน ฉันช่วยนายกอบกู้ภาพลักษณ์”
ถังเฉากล่าว
“กอบกู้ภาพลักษณ์? กอบกู้ยังไง?”
ฉู่หยางหน้าตาฉงน
“ที่นายโดนตระกูลฉู่แห่งตระกูลหลวงดูแคลนก็เพราะไร้น้ำยาเกินไป ฉันเข้าไปแทนนาย กระทำการในฐานะ ‘ฉู่หยาง’ หลังจากนี้ชื่อเสียงของนายจะโด่งดังในเมืองซื่อจิ่ว
“…….”
เฟิ่งหวงอีกด้านฟังด้วยสีหน้าพิศวง ไม่เจอกันมาพักหนึ่ง ทำไมรองหัวหน้าหลอกล่อเก่งขนาดนี้นะ
เธอจะรู้ได้ยังไงว่านี่เป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็วที่สุด ขณะเดียวกัน ถังเฉาเริ่มวางแผนปูทางในเมืองซื่อจิ่วแล้ว
“แต่ถ้านายเข้าไปแทนฉัน แล้วจะกระทำการในนามฉันได้ยังไงล่ะ?”
ฉู่หยางไม่ใช่คนโง่ หน้าตาเขาเต็มไปด้วยความระแวง
ถังเฉาไม่พูดอะไร เพียงแต่หยิบหน้ากากเหล็กชิ้นหนึ่งขึ้นมาสวม
“ตอนนี้ล่ะ?”
เมื่อเห็นท่า ฉู่หยางมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากในบัดดล เขาได้แต่ชี้ถังเฉาและตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“นาย…..นาย นายคือ……”
หน้ากากนี้เป็นหน้ากากที่ถังเฉาสวมตอนเข้าร่วมการประชุมแดนเหนือ ตอนที่การประชุมจบลง เก้าตระกูลหลวงในเมืองซื่อจิ่วล้วนอยากดึงตัวผู้แข็งแกร่งที่มีนามว่า ‘เจ้ามังกร’ มาเข้าร่วมกับตัวเอง
แน่นอนว่าตระกูลฉู่ก็เป็นเช่นนั้น แต่ตอนนั้นผู้คนรู้เพียงว่าเขาใช้นามแฝงว่า‘เจ้ามังกร’ และสวมหน้ากาก ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วเขาเป็นใคร
“ฉันคือคนที่นายเชิญมาออกหน้าแทนตระกูลฉู่แห่งตระกูลหลวง ฐานะนี้เป็นยังไง?”
ถังเฉายิ้มกว้างให้ฉู่หยาง
“……”
ฉู่หยางไม่พูดอะไร เอาแต่มองถังเฉาเหมือนไม่ได้สติ
เมื่อได้สติแล้ว เขายื่นบัตรเชิญในมือใส่มือถังเฉาด้วยสีหน้าตื้นตัน
“ถัง….ถังเฉา เราตกลงกันแล้วนะ นาย คือคนที่ฉันฉู่หยางเชิญมา ออกหน้าแทนตระกูลฉู่ของฉัน”
ถังเฉาตอบรับด้วยความยินดี
มองจนฉู่หยางออกไปแล้ว ถังเฉาหันกลับไปมองเฟิ่งหวง “พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
เฟิ่งหวงหน้าตาตะลึงงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติ และเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ “รองหัวหน้าคะ คุณจะผูกมัดตระกูลฉู่แห่งตระกูลหลวงไว้กับคุณใช่มั้ยคะ?”
“ใช่แล้ว”
สายตาถังเฉากลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง เขาเอ่ยเรียบๆ “ได้เวลาปูทางสภาพการณ์ของเมืองซื่อจิ่วแล้ว อีกไม่นานฉันจะประกาศศึกกับตระกูลถังแห่งราชวงศ์ต้าเซี่ย ช่วยพ่อแม่แท้ๆของฉันออกมา”
“เก้าตระกูลหลวงจะต้องเป็นกำลังให้ฉัน”
น้ำเสียงถังเฉาทุ้มต่ำ แฝงไว้ด้วยแรงอาฆาตอันน่ากลัว ใจของเฟิ่งหวงเต้นรัวเร็วขึ้น
หากประโยคนี้ถูกเผยแพร่ออกไป คนอื่นต้องเข้าใจว่าเขาเพ้อเจ้อแน่นอน
ราชวงศ์ เป็นการดำรงอยู่ที่เหนือชั้นยิ่งกว่าตระกูลหลวง เมื่ออยู่ต่อหน้าราชวงศ์ ตระกูลหลวงก็ต้องเคารพนบนอบเช่นเดียวกัน
ถังเฉากลับต้องการลงมือกับราชวงศ์ ความทะเยอทะยานของเขาไม่ได้ใหญ่ธรรมดาเลยนะ
แต่หลังจากตะลึงแล้ว สายตาเฟิ่งหวงกลับมาสงบอีกครั้ง
เธอเชื่อว่า หากเป็นรองหัวหน้า จะต้องทำได้อย่างแน่นอน
“ไปกันเถอะ”
สายตาของถังเฉากลับสู่ความสงบ เขาสวมหน้ากากเจ้ามังกรและเดินเข้าไปในโรงแรมใหญ่