โฮกกก!
เสือในกรงคำรามใส่ถังเฉากับหงโฝทันที
เมื่อมันอ้าปากขึ้น น้ำลายข้นหนืดเส้นใหญ่ก็ไหลลงมา และปากยังคงคำรามต่อไปอย่างไม่หยุด
นี่คือราชาเสือที่ความดุร้ายของมันยังไม่จางหายไป ถ้าหากถูกขังอยู่ในกรงนี้ มันคงกระโจนเข้าใส่ถังเฉากับหงโฝก่อนอย่างแน่นอน
เมื่อมองดูเสือที่ดุร้ายตัวนี้ หลายคนในตระกูลหลินก็ตกตะลึงกัน
และถงเจินกับหลินอิ่นก็ถอยหลังไปด้วยสีหน้าซีดเซียว ทั้งสองมองไปที่สาวร่างสูงคนนี้แล้วพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “หลินจิ่วจิ่ว เธอเอาเสือตัวนี้ออกมาทำไม? รีบเอากลับไปซะ! มันน่ากลัวไม่รู้เหรอ!”
ผู้หญิงที่ชื่อหลินจิ่วจิ่วที่ดูคล้ายกับหลินโป๋หลายคนนี้ เธอมีความห้าวหาญอันมีเสน่ห์ในตัว โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่ซึ่งไม่เคยยอมรับใคร
เสื้อผ้าบนตัวก็ดูโดดเด่นมากเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงบนที่มีผ้าพันหน้าอกสีขาวเท่านั้น มันทำให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องอันสวยงามและสะดือที่มีเสน่ห์ของเธอ
ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงยีนขาดๆ ตัวนึง ซึ่งเธอสูง 1.75 เมตร เป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องใส่ส้นสูงก็ดูน่าเกรงขามมาก แค่เธอยืนขึ้นก็ทำให้ผู้ชายทั่วไปไม่กล้าเข้าใกล้เธอแล้ว
ถังเฉาหรี่ตาและจ้องไปที่ผู้หญิงคนที่ชื่อหลินจิ่วจิ่วคนนี้ จากร่างกายของเธอ เขาสามารถสัมผัสถึงออร่าอันโดดเด่นที่ต่างจากคนอื่นๆ ในตระกูลหลินได้
ซึ่งคนอื่นๆ ในตระกูลหลินรวมทั้งหลินโป๋หลาย พวกเขาล้วนมีอุปนิสัยของคนชนชั้นสูงอยู่ในตัวมาแต่กำเนิด แต่หลินจิ่วจิ่วคนนี้ไม่เหมือนกัน
เธอไม่เพียงแต่ไม่มีอุปนิสัยดังกล่าว แต่ตรงกันข้าม เธอกลับมีความทะเยอทะยานในการแข่งขัน อีกอย่างถังเฉารู้ว่าเธอต้องเป็นคนที่ชอบการท่องเที่ยว เพราะเขาสามารถมองเห็นได้จากผิวสีข้าวสาลีที่แข็งแรงของเธอ ทั้งตัวเธอเต็มไปด้วยเสน่ห์ของความห้าวหาญ
เคยเห็นสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สง่างามมากมาย แต่นานทีจะเจอกับแมวป่าตัวน้อยที่ห้าวหาญแบบนี้ ดังนั้นมันจึงทำให้ถังเฉาแอบรู้สึกปลืมในใจ
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเขา
เมื่อรู้ตัวว่าถังเฉากำลังมองเธอ หลินจิ่วจิ่วก็มองไปที่ถังเฉาด้วยรอยยิ้มที่ท้าทาย
“คุณคือถังเฉา?”
“ใช่ ผมเอง”
พรึ่บ!
ในขณะที่ถังเฉาตอบคำถาม หลินจิ่วจิ่วก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน
เมื่อสัมผัสถึงแรงลมที่พัดเข้ามา หลินจิ่วจิ่วก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าถังเฉาด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแล้ว
จากนั้นเธอกระโดดขึ้น ขาเรียวยาวที่มีกล้ามเนื้อของเธอก็เตะไปที่ใบหน้าของถังเฉาอย่างรุนแรง
แต่ถังเฉาไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจอะไร และยังยกมือขึ้นเพื่อรับการโจมตีของเธอ
หลินจิ่วจิ่วลอยอยู่กลางอากาศ แม้การโจมตีของเธอจะถูกรับไว้ได้ แต่เธอไม่ได้คิดยั้งมือ และยังออกหมัดด้วยความแรงอีกครั้ง
พึ่บ!
เมื่อเห็นว่าหลินจิ่วจิ่วไม่มีท่าทีว่าจะหยุด สีหน้าของถังเฉาก็เย็นชาลง และเขาก็ยกเท่าขึ้นแล้วเตะไปที่กลางหน้าท้องของหลินจิ่วจิ่ว
ทำให้หลินจิ่วจิ่วกระเด็นออกไปล้มลงกับพื้น ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ จากนั้นเธอเงยหน้าขึ้นมองถังเฉาและนัยน์ตาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ทักษะของเธอดีเยี่ยม แต่กลับทำอะไรถังเฉาไม่ได้เลยแม้แต่นิด สุดท้ายกลับถูกเขาเตะกระเด็นออกมา ซึ่งสามารถมองเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนนี้ได้
แต่นี่ไม่ได้ทำให้เธอหายเกลียดถังเฉาเลย
“โฮกกก……”
จากที่ที่หลินจิ่วจิ่วถูกถังเฉาเตะกระเด็นออกมา มันอยู่ไม่ไกลจากกรงเหล็กขนาดใหญ่ที่ขังราชาเสืออยู่
ราคาเสือตัวนั้นคำรามใส่หลินจิ่วจิ่ว และยังกัดราวเหล็กด้วยเคี้ยวและกรงเล็บที่แหลมคมของมัน ทำให้เกิดเสียงเสียดสีดังขึ้น
ใบหน้าของหลินจิ่วจิ่วซีดไปสักพัก จากนั้นเธอแข็งใจแล้วตะโกนขึ้นมาว่า “อาแปด เงียบหน่อย!”
“โฮก……”
ราชาเสือคำรามเบาๆ จากนั้นมันจึงหยุดกัดราวเหล็กและนั่งลงบนพื้นอย่างเชื่อฟัง
ถังเฉามองไปที่หลินจิ่วจิ่วด้วยความประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ฝึกสอนสัตว์ร้ายงั้นหรือ?
หงโฝที่อยู่ข้างๆ ก็มองหลินจิ่วจิ่วอย่างสงสัย หลังจากดูอยู่พักหนึ่งเธอก็เริ่มทำหน้าไม่พอใจ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พอใจที่ถังเฉาพาเธอมาหาหลินจิ่วจิ่วคนนี้
“ฉันเป็นหญิงนักบุญจากเหมียวเจียง และยังเป็นนักฆ่าด้วย แล้วนางจะเทียบกับฉันยังไง?”
ถังเฉาไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาได้แต่หรี่ตาแล้วมองไปที่หลินจิ่วจิ่ว แม้เธอจะเป็นนักฝึกสอนสัตว์ร้าย และยังมีทักษะที่ดีด้วย แต่สัตว์ที่เธอฝึกนั้นเป็นราชาเสือผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ
อีกอย่างเขายังสามารถดูออกได้ว่าราชาเสือตัวนี้ไม่ได้เชื่อฟังหลินจิ่วจิ่วสักเท่าไหร่เลย เสือในสถานการณ์แบบนี้มันอันตรายที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะระเบิดอารมณ์เมื่อไหร่
“จิ่วจิ่ว กลับมานี่ เธอคิดทำอะไรกันแน่?”
เมื่อเห็นหลินจิ่วจิ่วลงไม้ลงมือกับถังเฉา สีหน้าของถงเจินกับหลินอิ่นต่างก็เปลี่ยนไปทันที
ถงเจินตะโกนอย่างเสียงดัง จึงทำให้หลินจิ่วจิ่วยอมถอยกลับไปอย่างไม่เต็มใจ
ถงเจินมองไปที่ถังเฉาแล้วกัดฟันพูดว่า “ถ้าเอ็งสามารถรักษาโป๋หลายได้ เราจะให้พวกเอ็งเข้าไป”
ถังเฉาไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่กลับมองไปที่หลินจิ่วจิ่วแล้วพูดด้วยความสนใจว่า “เรา น่าจะเจอกันครั้งแรกใช่มั้ย? อีกอย่าง ถ้านับญาติกันแล้ว คุณต้องเรียกผมว่าพี่สะใภ้เลยนะ ทำไมเพิ่งเจอกันคุณก็ลงไม้ลงมือกับผมแล้ว?”
“พี่สะใภ้?”
หลินจิ่วจิ่วหัวเราะอย่างเย็นชาและตอบว่า “ขอโทษนะ บ้านฉันกับบ้านลุงรองไม่สนิทกันหรอก แล้วฉันกับหลินชิงเสว่ก็ไม่สนิทกันด้วย ที่ฉันรู้ก็คือคนที่ทำให้พี่ชายฉันต้องกลายเป็นคนประหลาดแบบนี้ก็คือคุณ!”
ถังเฉามองเธอด้วยความประหลาดใจ ที่แท้เธอก็คือน้องสาวของหลินโป๋หลายหรือ?
ถึงว่าหน้าตาคล้ายกันมาก
ดูแล้ว เธอน่าจะเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลินจ้าวหยูนด้วย
ตระกูลหลินแตกต่างจากตระกูลหลวงอื่นๆ ในเมืองซื่อจิ่ว ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นดาวรุ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากหลินรั่วหวีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ดังนั้นสมาชิกหลักที่มีอิทธิพลจึงมีไม่มากนัก นอกจากครอบครัวของหลินชิงเสว่ และครอบครัวของหลินโป๋หลายแล้ว สมาชิกหลักอื่นๆ ก็ไม่มีใครอีก
จากการตอบสนองด้วยสายตาที่เกรี้ยวโกรธของหลินจิ่วจิ่ว ถังเฉาไม่ได้ถือสา แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าคุณเป็นน้องสาวของหลินโป๋หลาย ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณเลยล่ะ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลินจิ่วจิ่วก็แสดงความภาคภูมิใจในตัวเองแล้วพูดว่า “ก็เพราะฉันไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองซื่อจิ่ว ฉันไม่อยากถูกผูกมัดโดยกฎและหลายสิ่งหลายอย่างในเมือง ฉันชอบสัตว์ รวมทั้ง เสือโคร่งด้วย”
ถงเจินพูดเสริมว่า “จิ่วจิ่วเด็กคนนี้ชอบสัตว์มาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อะไรมันก็เข้ากับเธอได้ดี เมื่อก่อนไปที่สวนสัตว์ เธอยังคุยกับสัตว์ได้ด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของถังเฉาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขามองไปที่หงโฝโดยไม่ตั้งใจ
และมันก็เป็นอย่างที่คิด สายตาของหงโฝที่มองหลินจิ่วจิ่วเปลี่ยนไป เธอลดเสียงลงแล้วพูดขึ้นว่า “บนโลกที่กว้างใหญ่นี้ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นไม่ได้หรอก แน่นอนว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่เกิดมาก็ชอบธรรมชาติ และยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งมีชีวิต อีกอย่างยังมีคนบางคนที่สามารถสื่อสารกับสัตว์ได้ด้วย”
“แต่คนประเภทนี้หายากมาก ในเหมียวเจียงของเรา พวกเขาจะถูกเรียกว่า ‘ผู้รู้สรรพสัตว’”
เมื่อได้ยินคำแนะนำของหงโฝ ถังเฉาถึงได้เข้าใจคนประเภทนี้มากขึ้น
ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลินจิ่วจิ่วก็คือ ‘ผู้รู้สรรพสัตว’
“แล้วเรื่องที่พี่ชายของฉันต้องกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน คุณจะว่ายังไง?”
หลินจิ่วจิ่วมองไปที่ถังเฉาแล้วขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ
ถังเฉาตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “ไม่ใช่เพราะผมที่ทำให้พี่ชายของคุณเป็นแบบนี้หรอกนะ อีกอย่าง คุณควรรู้ก่อนว่าพี่ชายคุณทำอะไรกันแน่ ผมถึงต้องลงมือกับเขาแบบนี้”
“แล้วก็ วันนี้ผมมาที่นี่ก็เพราะเขาด้วย”
ถังเฉาพูดเพิ่มเติม
“มาเพื่อพี่ชายฉัน?”
หลินจิ่วจิ่วหัวเราะอย่างเย้ยหยันและพูดว่า “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงที่คุณพามา ไม่สิ ไม่ใช่ผู้หญิง เด็กผู้หญิงที่คุณพามาจะเชื่อถือได้ไหม? ถามหน่อยเถอะ เธอจบการศึกษาจากโรงเรียนประถมแล้วยัง?”
“……”
หลังจากที่หลินจิ่วจิ่วพูดจบ ใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้มของหงโฝก็แข็งทื่อลงทันที จากนั้นเธอกัดฟันแล้วจ้องเขม็งไปที่หลินจิ่วจิ่ว
เธอเกลียดคนที่มองเธอเป็นเด็กที่สุด การที่เธอบอกว่าเธอยังเป็นเด็ก นั่นแปลว่าเธอหมายถึงตัวเองน่ารัก แต่การที่คนอื่นมองว่าเธอเป็นเด็กนั้น มันเป็นการหาว่าเธอเป็นคนแคระมากกว่า หงโฝไม่เด็กแล้ว ถ้านับรุ่นเธอน่าจะเป็นพี่ของหลินจิ่วจิ่วด้วยซ้ำ แต่เพียงเพราะว่าเธอตัวเล็กก็เท่านั้น
แต่แน่นอนว่าเธอไม่มีทางบอกอายุที่แท้จริงของเธออยู่แล้ว ในทางเดียวกัน การที่คนอื่นหาว่าเธอยังเป็นเด็ก เธอกลัวคนอื่นจะเรียกเธอว่าเป็นคนแคระมากกว่า
“เธอว่าใครเด็กงั้นเหรอ?”
“วันนี้ถ้าเธอไม่ได้เห็นศักยภาพของฉัน ฉันจะไม่ใช่หญิงนักบุญแห่งเหมียวเจียงอีก!”
หงโฝถึงกับหัวร้อน
การที่โลลิโกรธขึ้นมามันก็น่ากลัวใช่ย่อยเลยนะ
“อ้อ? อย่างนั้นเหรอ?”
หลินจิ่วจิ่วยิ้มพูดอย่างเยาะเย้ย “เธอจะมารักษาพี่ชายฉันไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้พี่ชายของฉันเป็นเหมือนสัตว์ดุร้ายที่ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว เขาไม่ต่างอะไรกับเสือตัวนี้หรอก ฉะนั้น ถ้าเธอสามารถทำให้เสือตัวนี้เชื่องได้ ฉันจะยอมรับในความสามารถของเธอเอง”
“ถ้าไม่ได้ ก็อย่าหวังจะได้เข้าไป!”
หลินจิ่วจิ่วยืนขวางหน้าถังเฉากับหงโฝราวกับคนเฝ้าประตูหญิงคนหนึ่ง
“หึ หึ หึ กล้าดูถูกหญิงนักบุญจากเหมียวเจียงอย่างฉันงั้นเหรอ!”
หงโฝเต้นแร้งเต้นกาและแทบอดไม่ได้ที่จะกระโดดตีหัวเข่าของหลินจิ่วจิ่ว
แต่ในเวลาต่อมา เธอสงบลงแล้วมองดูหลินจิ่วจิ่วด้วยรอยยิ้มอันมีเลศนัย เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หลินจิ่วจิ่วต้องขนลุก
“สาวน้อย ตอนเธอเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเป็นเพื่อนกับจิตวิญญาณทั้งหมดนั้น เธอเคยได้ยินสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าบึงฉีชวนไหม?”
หงโฝจับจ้องไปที่หลินจิ่วจิ่วแล้วพูดขึ้น
หลินจิ่วจิ่วตกตะลึงและพยักหน้าตอบว่า “ฉันเคยได้ยินมาว่ามีบึงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในฉีชวน ด้านบนหนองบึงยังเต็มไปด้วยป่าไม้ ว่ากันว่าคนที่เข้าไปในนั้นไม่มีใครรอดกลับมาได้เลย ฉันไม่กล้าเข้าไปหรอก”
หงโฝแสยะยิ้มแล้วถามต่อไปว่า “แล้วเธอรู้ไหมว่าบึงฉีชวนมีอีกชื่อว่า ‘แดนรุทร’ ”
“ทำไม?”
สีหน้าของหลินจิ่วจิ่วเปลี่ยนไปชั่วขณะ และในใจของเธอก็รู้สึกประหม่าอย่างกะทันหัน
“หึหึ เดี๋ยวเธอจะรู้เอง”
รอยยิ้มของหงโฝมีเลศนัยมากกว่าเดิม
ถังเฉาเหลือบมองเธอและรู้ว่าเธอหงุดหงิดมากแล้ว
หลินจิ่วจิ่วเงียบไปพักหนึ่ง แต่จู่ ๆ ก็ยิ้มพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “คุยโขมงน่ะใครก็เป็นอยู่แล้ว แต่เธอจะรอดจากปากของเสี่ยวแปดหรือไม่นั้น เรายังไม่รู้เลยนะ?”
ถงเจินกับหลินอิ่นที่ได้ยินเช่นนี้ถึงกับตกใจจนหน้าซีด
“จิ่วจิ่ว เธอจะปล่อยเสือตัวนี้ออกมาเหรอ?”
“หยุดเลยนะ! จิ่วจิ่ว!”
หลินจิ่วจิ่วยิ้มอย่างเย้ยหยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นหยิบกุญแจออกมาและบิดเข้ากับล็อกขนาดใหญ่ในกรงเหล็ก
เสียง ‘แคร่ก’ ดังขึ้น และล็อกขนาดใหญ่ก็หลุดออกมา เสือในกรงก็รู้สึกบางอย่างเช่นกัน จากนั้นมันใช้กรงเล็บอันหนาของมันผลักเบาๆ และประตูกรงเหล็กก็ถูกผลักออก และแล้ว เสือดุร้ายที่ยาวจากหัวจรดเท้าถึงสามเมตรก็ก้าวออกมาอย่างช้าๆ “อ๊า!”
ทุกคนในตระกูลหลินถึงกับตกใจจนกรีดร้องออกมา
แม้เสียงกรีดร้องของพวกเขาจะดังมาก แต่เสียงคำรามของเสือดังกว่า
เมื่อมองดูคนรอบๆ เสือดุร้ายที่ซึ่งเต็มไปด้วยพละกำลังตัวนี้ และยังถูกขังไว้เป็นเวลานั้น มันก็ส่งเสียงคำรามที่ดังสนั่นขึ้น
“โฮกกกกกก”
ทันใดนั้น เสียงคำรามก็ดังก้องไปทั่ว กลิ่นอายแห่งความดุร้ายจากดึกดำบรรพ์ก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งบ้านของตระกูลหลิน
ตุบๆ ตุบๆ !!
ใบหน้าของทุกคนในบ้านตระกูลหลินก็ซีดลงด้วยความตกใจ และหลายๆ คนก็กลัวจนถึงขั้นฉี่ราด
หลินจิ่วจิ่วชี้ไปที่ถังเฉากับหงโฝแล้วออกคำสั่งว่า “เสี่ยวแปด ฆ่าพวกมันซะ!”
โฮก!
เสือดุร้ายคำรามอย่างเสียงดังและแผ่ออร่าที่น่าเกรงขามของมันออกมา จากนั้นวิ่งเข้าใส่ถังเฉากับหงโฝ
ถังเฉายังคงดูสงบและไม่คิดจะหนีไปไหน
ก็แค่สัตว์ป่าตัวเดียว มันไม่อยู่ในสายตาหรอก ที่เขาต้องการรู้คือหงโฝจะใช้วิธีไหนในการทำให้เสือดุร้ายตัวนี้เชื่องลง
หงโฝก็มองไปที่เสือที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเธออย่างเฉยเมย จากนั้นเธอค่อยๆ ปลดกุญแจอายุยืนบนคอเธอลงมาแล้วยืนอยู่กับที่เพื่อเรือเสือกระโจนเข้าใส่
เสือที่ดุร้ายกระโจนอย่างรวดเร็ว เมื่อมันกำลังจะโผเข้าใส่หงโฝ สองตาของหงโฝก็กลายเป็นความเคร่งขรึมและเธอก็ผิวปากเบาๆ
“นั่งลง!!!”
เมื่อเสียงนั้นลดลง ดวงตาของหงโฝเหมือนมีเวทมนตร์พิเศษบางอย่างที่ทำให้เสือโคร่งตัวนั้นหยุดวิ่งกะทันหัน
ในทางกลับกัน มันยังคลานลงกับพื้นแล้วใช้กรงเล็บทั้งสองข้างของมันกุมหัวไว้และตัวสั่นอย่างไม่หยุด