ชมรมหมากรุกเป่ยโต่ว
ที่นี่คือสถานที่สุดพิเศษในเมืองซื่อจิ่ว รับรองแขกเหรื่อที่ชำนาญเรื่องหมากจากสารทิศในใต้หล้า—-ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือคนแก่ ยากจนหรือร่ำรวย ขอเพียงคุณรู้เรื่องหมาก และมีฝีมือดีก็สามารถเข้ามาได้
แน่นอนว่าค่าเข้าคือต้องชนะเด็กเล่นหมากเฝ้าประตูที่ห้องโถงให้ได้
เด็กเล่นหมากอายุไม่มาก ราวๆสิบกว่าปี หน้าซื่อตาใส ท่าทางไร้พิษภัย
แต่หากคนที่คิดจะเข้าไปในชมรมหมากรุกเป่ยโต่วเห็นว่าเด็กเล่นหมากอายุน้อยแล้วจะรังแกได้ง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นก็คิดผิดถนัด—-เคยมีนักเล่นหมากชื่อดังในประเทศมาขอท้าเด็กเล่นหมากของชมรมหมากรุกเป่ยโต่ว เล่นกันอยู่สิบตาก็ต้องพ่ายแพ้
หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็เกิดเป็นกระแสยกใหญ่ ชมรมหมากรุกเป่ยโต่วที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่รู้จักไปทั่วใต้หล้าในค่ำคืนเดียว และมีชื่อเสียงโด่งดังนับแต่นั้น
คนในทุกระดับชั้นของเมืองซื่อจิ่วไม่มีใครรู้เลยว่าใครคือเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังของชมรมหมากรุกเป่ยโต่ว แต่ความลับนี้สำหรับคนชั้นสูงแล้วไม่ถือว่าเป็นความลับนัก
หลังจากฉินผู่หยางโทรศัพท์เสร็จไม่ได้รีบร้อนเข้าไป แต่สูบบุหรี่อยู่ข้างนอกมวลหนึ่งด้วยสีหน้าอึมครึม ดวงตาหรี่ยาวคู่นั้นฉายแววอาฆาต
สำหรับฉินผู่หยางแล้ว การสูญเสียความคุ้มครองของถังเฉาไม่ใช่ข่าวดี
โดยเฉพาะตอนนี้ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ฉินกวนฉีตั้งใจจะลงมือกับเขา ศัตรูอยู่รอบทิศ ฉินผู่หยางเป็นต่ออย่างมาก
แต่ต่อให้สถานการณ์จะเลวร้ายกว่านี้เขาก็ต้องเผชิญ หลังจากฉินผู่หยางดับบุหรี่ ก็ยังคงพยุงไม้ค้ำและเดินกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวอีกครั้ง
ห้องส่วนตัวชั้นสูงในมุมลับนั้นใหญ่มาก ทว่าไฟสลัว มีแสงหม่นๆจากจุดศูนย์กลางเพียงจุดเดียว มองจากที่ไกลๆออกจะเวิ้งว้างไปหน่อย
ในห้องส่วนตัวมีอยู่สามคนด้วยกัน ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง ด้านข้างมีสาวสวยในชุดกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ ผมยาวสลวยมีเสน่ห์คนหนึ่งนั่งอยู่
รวมถึงผู้เฒ่าวัยกลางคนในชุดผ้าดิบ ยืนเงียบอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มรูปงาม จินตนาการได้ไม่ยากนักว่านี่คือองครักษ์ของชายหนุ่ม
เขาเงียบมาก หากเขาไม่มีเงาคงต้องคิดว่าไม่มีเขาอยู่อย่างแน่นอน
ทั้งสามคนกำลังเพ่งสมาธิมองกระดานหมากรุกยักษ์บนโต๊ะกลาง
นี่คือหมากรุก
ทว่าไม่ใช่หมากรุกอย่างยุคนี้ เหมือนเป็นหมากรุกของยุคโบราณเสียมากกว่า
กระดานหมากรุกยักษ์นั้นแบ่งเขตแดนฉู่ฮั่น หากจะเดินหมากต้องเคลื่อนหมากยักษ์บนกระดานด้วยตัวเอง
ฉินกวนฉีและฉินเจียนเวย ฝ่ายหนึ่งสีแดง ฝ่ายหนึ่งสีดำ เดินรุกฆาตกันซะท้องฟ้ามืดมน
ฉินผู่หยางสูดหายใจเข้าลึก พยายามให้สีหน้าตัวเองดูเป็นธรรมชาติขึ้น ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงโซฟา
“โทรหาใครหรอ คุยนานขนาดนี้?”
ฉินกวนฉีส่งเสียงถาม
ในขณะที่ปริปาก เขายังคงตั้งสมาธิทั้งหมดไปบนกระดานหมากรุก ขมวดคิ้วบ้าง คลายปมคิ้วบ้าง
เขาหยิบ ‘ม้า’ บนกระดานขึ้นมา ก่อนจะกระโจนข้ามเขตแดนน้ำฉู่ฮั่นไป
ฉินเจียนเวยเห็นท่า ก็เลื่อนเบี้ยขึ้นมาด้วยท่าทีไม่รีบร้อน
ฉินผู่หยางสังเกตเห็นจากกระดานหมากในตอนนี้ว่า ฉินกวนฉีผู้เลื่องลือด้านการเล่นหมากกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกฉินเจียนเวยไล่ฆ่า
พิชิตเขตแดน วางแผนมาอย่างดีทุกก้าว ไม่นานนัก ดินแดนของเขาก็ถูกกลืนกินไปช้าๆ
ฉินผู่หยางตะลึงในใจ เขารู้ดีว่าความสามารถการเล่นหมากของฉินกวนฉีเข้าขั้นเทพเจ้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าคนบ้าดนตรีฉินเจียนเวยจะกำราบฉินกวนฉีซะอยู่หมัด
ผู้คนรู้เพียงว่าคนบ้าดนตรีนั้นโด่งดังด้วยการดนตรี หารู้ไม่ว่าฝีมือการเล่นหมากรุกของเธอก็ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน
ฉินผู่หยางไม่รู้เรื่องการเล่นหมากรุกและดูสถานการณ์บนกระดานนั้นไม่เป็น แต่เขารู้ว่าหลังจากหมากกระดานนี้จบลง ก็ไม่ไกลจากที่ฉินกวนฉีจะเริ่มหาเรื่องแล้ว
ไม่ใช่แค่เขา ฉินเจียนเวยก็ต้องโดนร่างแหไปด้วย
“โทรศัพท์จากเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ไม่เจอกันนานมากจึงคุยกันนิดหน่อย”
ฉินผู่หยางบอกเรียบๆ
“งั้นหรอ? ดูท่าเพื่อนเก่าคนนี้พิเศษสำหรับนายมากนะ……”
รอยยิ้มของฉินกวนฉีกว้างขึ้นอีก สายตาจ้องกระดานหมากรุกตาไม่กะพริบ ตั้งใจอย่างแรงกล้า
“……..”
ฉินผู่หยางไม่พูดอะไร เพียงแต่มีเหงื่อเย็นเม็ดหนึ่งไหลลงจากหน้าผาก
“น้องชาย นายมาดูหมากกระดานนี้ซิ ลองพนันดูว่าฉันชนะหรือเจียนเวยชนะ?”
ฉินกวนฉีหรี่ตาและพูดอย่างมีนัย
ฉินผู่หยางขมวดคิ้ว คาดเดาขึ้น “น่าจะพี่ชายชนะ”
ฉินผู่หยางพอรู้วีรกรรมของฉินกวนฉีอยู่บ้าง หลายกระดานหมากที่เขากลับแพ้เป็นชนะ
เมื่อได้ฟัง ฉินกวนฉีก็หัวเราะเบาๆ เล่นหมากรุกต่อโดยไม่พูดจา
ฉินเจียนเวยเงียบ หยิบหมากขึ้นเดิน
เธอเดินมากอย่างรวดเร็ว ไม่ลีลาเลยสักนิด
ไม่นานนักเกมนี้ก็จบ
ฉินกวนฉีพ่ายแพ้อย่าง ‘ไม่ต้องสงสัย’ เขามองกระดานหมากรุกด้วยสีหน้าเสียดาย
เนิ่นนานก่อนจะปรบมือเบาๆ และอุทานออกมา “เจียนเวย เราไม่ได้เล่นหมากรุกกันอย่างหนำใจขนาดนี้มานานแล้วนะ ฉันแพ้แล้ว ยอมรับความพ่ายแพ้นี้โดยดี”
ฉินเจียนเวยพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “จะสิบปีแล้ว”
“ใช่ จะสิบปีแล้ว ครั้งหนึ่ง ความสัมพันธ์ของพวกเราเคยดีขนาดนั้น”
ฉินกวนฉีพูดออกมาอย่างนึกทอดถอนใจ
ฉินผู่หยางที่อยู่ข้างๆไม่พูดจา แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอึ้ง
หมากกระดานนี้ ฉินกวนฉีแพ้หรือนี่
“อึ้งมากใช่มั้ยที่ฉินกวนฉีแพ้”
ราวกับมองทะลุถึงสิ่งที่ฉินผู่หยางคิดในใจ จู่ๆฉินกวนฉีก็พูดขึ้น
ฉินผู่หยางมองเขาด้วยสายตาอึ้งๆและพยักหน้า
ฉินกวนฉียิ้มและส่ายหัว เขามองฉินเจียนเวยพลางกล่าว “เจียนเวย ในที่สุดเธอก็ชนะฉันได้สักเกมนะ”
เคว้ง…..
เมื่อประโยคนี้ถูกเอื้อนเอ่ย ฉินผู่หยางที่เริ่มเบาใจลงก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที
ที่แท้ ที่เขาเห็นว่าฉินกวนฉีแพ้ให้กับฉินเจียนเวยนั้น ฉินเจียนเวยเพิ่งจะชนะเป็นตาแรก
หมากกระดานนี้สื่อความหมายหลายสิ่ง หากฉินเจียนเวยชนะฉินกวนฉีบนกระดานหมากรุกได้ ฉินผู่หยางก็รู้สึกดีขึ้น
แต่ตอนนี้……
แรงกดดันในใจของฉินผู่หยางทวีคูณขึ้น
“วันนี้พอแค่นี้แหละ ครั้งหน้าค่อยเรียกเจียนเวยมาเล่นหมากรุกกัน”
ฉินกวนฉีพูดด้วยรอยยิ้ม
สิ้นเสียงลงปุ๊บ ภายในห้องส่วนตัวก็เงียบงัน บรรยากาศก็เริ่มหนักหน่วงขึ้น
ไม่ใช่แค่ฉินผู่หยาง แม้กระทั่งฉินเจียนเวยก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
ฉินกวนฉีดื่มเหล้าในแก้วจนหมด ก่อนจะมองไปที่ฉินผู่หยางและพลันเอ่ยขึ้น “น้องชาย ขาของนายยังดีอยู่ใช่มั้ย?”
ฉินผู่หยางวางมือลงบนขาทั้งสองข้างด้วยสัญชาตญาณ สีหน้าของเขามืดมน “ยังดีอยู่”
“แล้วก็เจียนเวย ฐานะของเธอในตระกูลฉินของเราพิเศษมาก ตั้งแต่ถูกถอดตำแหน่งสาวพระเธอก็เริ่มเร่ร่อนไปทั่วสินะ”
ฉินกวนฉีหันไปมองฉินเจียนเวย และพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันพบที่ที่เป็นของฉัน”
ฉินเจียนเวยแก้ไขในสิ่งที่เขาพูด
“งั้นหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากเลยล่ะ”
แววตาของฉินกวนฉีเปล่งประกายเย็นเยียบ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับกว้างขึ้น
ฉินผู่หยางฟังแล้วใจหล่นวูบ คำพูดของฉินเจียนเวยเหมือนจะบอกฉินกวนฉีว่าฉันไม่สนใจในการต่อสู้ภายในของตระกูลฉิน
ฉินกวนฉีตั้งใจจะไว้ชีวิตฉินเจียนเวย
แต่เขาฉินผู่หยางคงไม่โชคดีแบบนี้……
“น้องชาย แล้วนายล่ะ”
ฉินกวนฉีเปลี่ยนประเด็น และหันมามองฉินผู่หยางพลางกล่าว
“ผม……”
ฉินผู่หยางกำลังจะพูดอะไรออกไป เสียงดังเคร้ง และประตูของห้องส่วนตัวถูกผลักออก
พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยท่าทางแตกตื่น “คุณชายใหญ่ แย่แล้ว มีคนจะบุกเข้ามาในชมรม”
สายตาของฉินกวนฉีอึมครึมลง “ใคร?”
พนักงานเสิร์ฟคนนั้นตัวสั่นเทา “พวกเราไม่กล้าห้าม เขา เขาเป็นคุณชายของตระกูลฉู่แห่งตระกูลหลวง ฉู่หยาง!”