เขาเกลียดแสงแดด เกลียดแสงสว่าง—-เกลียดทุกอย่างที่มีแสง ทั้งหมดนั้นจะแผดเผาเขา
ในตอนที่เขาเก็บตัวอยู่ เขามักจะไตร่ตรองคำถามเคร่งเครียดหนึ่งเสมอ เขาสู้ถังเฉาไม่ได้ตรงไหนกัน
คำถามนี้รบกวนจิตใจเขามาห้าปี แม้กระทั่งหนึ่งนาทีก่อนเขาก็ยังคิดไม่ตก
แต่นาทีนี้ ฉินผู่หยางเข้าใจแล้ว
ประหนึ่งมีใครมาชี้ทาง สมองของเขาประมวลผลได้ทันที เหมือนเข้าสู่เส้นทางแห่งปัญญา ราวกับก้าวออกไปแล้วโลกทั้งใบพลันสว่างและกว้างใหญ่ขึ้น
เขาสู้ถังเฉาไม่ได้นั่นแหละ ไม่ว่าจะด้านพลังการต่อสู้หรือความสามารถ แม้กระทั่งด้านการวางกลยุทธ์ เขาก็สู้ถังเฉาไม่ได้
ต่อให้เป็นด้านการเสแสร้งที่พวกเขาต่างถนัด เขาก็ไม่ช่ำชองเท่าถังเฉา
ในตอนที่พวกเขาคุยโทรศัพท์กัน ถังเฉาก็รู้ตัวแล้วว่ามือถือของเขาโดนฉินกวนฉีดักฟังอยู่ ทุกการกระทำของเขาต่างอยู่ในสายตาของฉินกวนฉี
เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าฉินผู่หยางต้องโทรหาถังเฉา จึงเตรียมการไว้ล่วงหน้า คิดไม่ถึงว่าถังเฉาตามน้ำเขาแกล้งพูดว่าพันธมิตรระหว่างทั้งสองยุติลงแล้ว ฉินกวนฉีจึงถูกหลอก
ตอนนี้เป็นเวลาที่ทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่น สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อฉินกวนฉีอย่างมาก
“ถังเฉา นายนี่แน่จริงๆ”
เขามองถังเฉาอย่างพิจารณา ความมืดมนในแววตาหายไป รอยยิ้มและความนับถืออย่างสูงเข้ามาแทนที่
“เช่นกัน”
ถังเฉาจิบชาเบาๆ ซึ่งก็เป็นการทำให้รู้ว่าการต่อสู้ของผู้ชายผู้ภาคภูมิใจในตัวเองสองคนได้เริ่มขึ้นแล้ว
ฉินผู่หยางได้สติกลับมา เขามองถังเฉาและอดถามไม่ได้ “ทำไมนายไม่บอกแผนนายล่วงหน้าล่ะ? นายไม่รู้หรอว่าฉัน…..”
ฉินผู่หยางกำลังจะพูดต่อ ลำคอกลับขยับขึ้นลงและพูดอะไรไม่ออกอีก
ถังเฉาเหลือบมองเขา “ฉันไม่รู้อะไร?”
“ไม่มีอะไร”
สายตาของฉินผู่หยางวูบไหว เขาเบือนสายตาออกไป จะให้เขาพูดหรือไงว่าตอนที่ถังเฉาบอกว่ายุติพันธมิตรเขาลนลานแทบแย่
แม้ว่าเขาจะถูกตัดขาไปสองข้าง แต่ขาข้างที่สามของเขายังอยู่ จึงยังถือว่าเป็นผู้ชาย ถ้าพูดออกไปต้องขายหน้าขนาดไหนเชียว?
“ฉันจงใจไม่บอกนาย”
ถังเฉาพูดอย่างมีนัย “คนเราน่ะนะ เมื่อมีทางให้ถอยก็จะไม่ยอมเอาชีวิตเข้าสู้ ในทางตรงกันข้าม มีแต่ต้องสิ้นหวังอย่างแท้จริง ต่อสู้โดยการเดิมพันทุกอย่างถึงจะแสดงศักยภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดออกมาได้—-ความภักดีก็เช่นกัน”
“…..”
เมื่อได้ฟัง ฉินผู่หยางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาตกอยู่ในความเงียบชั่วคราว
คนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้มีแต่คนฉลาด แน่นอนว่าต้องฟังความหมายของถังเฉาที่ต้องการสื่อออก
ในความเป็นจริง หากยืนมองในมุมของถังเฉา พันธมิตรของเขาและฉินผู่หยางได้สิ้นสุดลงแล้ว เรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไม่มีประโยชน์อะไรโดยตรงกับถังเฉา
แต่ถังเฉาก็ยังเลือกที่จะช่วยฉินผู่หยาง เพื่ออะไรกันล่ะ?
ไม่ใช่เพราะความเป็นความตายของฉินผู่หยาง และไม่ใช่เพราะต้องการสร้างผู้นำตระกูลหุ่นเชิดแล้วยืมมือฉินผู่หยางเพื่อควบคุมตระกูลฉินทั้งหมด—-เขาไม่ต้องการตระกูลฉิน แต่ไม่รังเกียจที่จะมีตระกูลหลวงที่เชื่อฟังและรับใช้เขาเพิ่มมากขึ้น
สำหรับถังเฉาแล้ว ฉินผู่หยางเป็นคนควบคุมตระกูลฉินและฉินกวนฉีเป็นคนควบคุมตระกูลฉิน เป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฝ่ายแรกเชื่อฟังกว่า นั่นคือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อถังเฉา
“นายพูดถูกเลยล่ะ…..”
ฉินผู่หยางหัวเราะแห้งๆ ปกปิดความกระอักกระอ่วนในใจ
เขารู้ว่าตั้งแต่นี้ต่อไป เขาก็ไม่อาจเป็นศัตรูกับถังเฉาได้อีก ตรงกันข้าง เขาต้องภักดีต่อถังเฉาตลอดไป
ในที่สุด ปมแค้นของชายสองคนที่เกิดขึ้นเพราะแย่งชิงเจียงไป๋เสว่ก็ปิดฉากลง!
ได้พันธมิตรอย่างถังเฉามา ฉินผู่หยางมั่นอกมั่นใจขึ้นเยอะ เขามองฉินกวนฉีและหัวเราะเบาๆ “พี่ชายครับ คุณปู่สอนเรามาเสมอว่าอย่าประมาทศัตรู โดยเฉพาะศัตรูประเภทที่ถ้าไม่ฆ่าให้ตาย วันหน้าก็จะย้อนกลับมาฆ่านาย คืนนี้เป็นคืนที่สวยงามจริงๆ”
ฉินกวนฉีสีหน้าอึมครึมลง ไม่พอใจนิสัยอาศัยอำนาจของผู้อื่นเช่นนี้ของน้องชายเอาซะเลย
“อย่าเพิ่งกล่าวคำโตเลยจะดีกว่า น้องชาย นายอย่าคิดว่าได้ความช่วยเหลือจากเขาแล้วจะทำให้สถานการณ์พลิกผัน”
“ที่จริง นายยังไม่รู้จักนิสัยของคุณปู่ดี”
เขามองฉินผู่หยางและหัวเราะเบาๆออกมาเช่นกัน
ฉินผู่หยางมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “หมายความว่าไง?”
“ผู้นำคนต่อไปจะเป็นใคร นอกจากวัดความสามารถแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องดูว่าคุณปู่ชอบใคร——”
ฉินกวนฉีหัวเราะอย่างมุ่งร้าย “สายเลือดตระกูลฉินอยู่พร้อมหน้ากันถึงแปดชั่วอายุคน ยิ่งคุณปู่ที่โตขึ้นมาในคฤหาสน์ตระกูลฉิน รากของเขาอยู่ที่ตระกูลฉิน คุณปู่ไม่ชอบคนที่รวมหัวกับคนนอกที่สุด—-โดยเฉพาะคนที่รวมหัวกับศัตรูคู่แค้น คุณปู่ขยะแขยงที่จะให้คนแบบนี้รับตำแหน่งเจ้าบ้านที่สุด”
ประโยคนี้ทำให้ฉินผู่หยางมีสีหน้าหม่นลง “ผมทำไปเพื่อปกป้องตัวเอง”
“ยังไม่เข้าใจอีกหรอ?”
ฉินกวนฉีส่งยิ้มเย็นให้ฉินผู่หยาง “ต่อหน้าคุณปู่ทำเป็นบอกว่าต้องการให้พวกเราสองพี่น้องแข่งขันกันอย่างยุติธรรม แต่ที่จริงตั้งใจจะเลือกฉันเป็นผู้นำคนต่อไปตั้งแต่ทีแรกแล้ว เรื่องนี้นายไม่รู้สึกบ้างเลยหรอ?”
“ผมรู้สึกมานานแล้วครับ”
เหนือความคาดหมาย ฉินผู่หยางโพล่งออกมาโต้งๆจนฉินกวนฉีผงะไป
“คุณปู่เป็นปู่ของเราทั้งคู่ ความคิดของเขานี้ผมรู้ดี บอกตามตรงนะครับ ตอนแรกผมไม่มีความสนใจในเรื่องแข่งขันเอาตำแหน่งผู้นำเลยสักนิด เมื่อห้าปีก่อน ผมมีเพียงเป้าหมายเดียวคือ——ล้างแค้นถังเฉาและเจียงไป๋เสว่ พี่กับคุณปู่เป็นคนบีบบังคับให้ผมต้องเปลี่ยนเป้าหมาย”
ฉินผู่หยางจ้องฉินกวนฉีด้วยสายตาดุดัน และพูดอย่างโหดเหี้ยม “พี่ระวังตัวเกินไป และขี้ระแวงเกินไป แม้แต่พยัคฆ์ที่สิ้นเขี้ยวเล็บแล้วยังต้องบีบให้ไร้ซึ่งที่ยืน พวกเรามาถึงขั้นนี้ก็เพราะพี่นั่นแหละครับที่บังคับผม”
“ใช่แล้ว ทั้งหมดนี้เพราะฉันเป็นคนบีบบังคับ”
ฉินกวนฉีพูดออกมาอย่างทอดถอนใจ “แต่ถ้านายอยู่ในจุดเดียวกับฉัน ก็ต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน——พวกเราคือพี่น้อง คือพี่น้องที่คุณปู่ทำให้ต้องมาฆ่ากันเอง”
“พี่รู้ก็ดีแล้วครับ ฟ้าใกล้สว่างแล้ว”
ฉินผู่หยางชี้ท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นแล้วที่นอกหน้าต่างพลางกล่าว
ฉินกวนฉีหันมองตามและพยักหน้า “ใช่แล้ว ฟ้าใกล้สว่างแล้ว”
ความหมายก็คือ รุ่งสางกำลังจะมาถึง ต้องรีบตัดสินผลแพ้ชนะ
เขาหันมองถังเฉาอีกครั้ง และเอ่ยขึ้น “ฉันขอถามนายครั้งสุดท้าย นายตั้งใจจะเป็นศัตรูกับฉันเพราะน้องชายขาเป๋คนนี้ของฉันจริงๆหรอ?”
ถังเฉายิ้มตาหยีพร้อมกล่าว “ขอโทษด้วยนะ เทียบกับคนที่ความใคร่ขึ้นสมองอย่างฉินผู่หยางแล้ว ฉันเกลียดคนที่หน้าไหว้หลังหลอกอย่างนายมากกว่า”
“นี่เป็นการพิสูจน์ว่าฉันต่อกรด้วยยากกว่าน้องชายของฉันรึเปล่า?”
ฉินกวนฉีอดขำไม่ได้
ขำไปขำมา รอยยิ้มมุมปากของฉินกวนฉีก็เย็นยะเยือกลง “แต่น่าเสีย ทัศนคติต่างกันย่อมไม่อาจร่วมทาง พวกนายคิดว่าคืนนี้พวกนายมีโอกาสชนะจริงๆหรอ?”
“หรือพูดให้ถูกคือ พวกนายจะเดินออกไปโดยยังมีชีวิตอยู่ได้หรอ”
ฉินกวนฉีหยุดไปครู่หนึ่ง พร้อมมองถังเฉาและฉินผู่หยางด้วยรอยยิ้มเย็น
บางทีอาจเพราะมองเห็นจิตสังหารที่พลุ่งพล่านอยู่ในแววตาของฉินกวนฉี ถังเฉาหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันจะเดินออกไปได้หรือไม่ก็ไม่รู้ แต่นาย ยังไม่มีค่าพอจะหยุดยั้งฉัน”
สิ้นเสียงเขา ฉู่หยางที่นั่งอยู่ข้างๆและยังมีกลิ่นเหล้าหึ่งยืนขึ้นทั้งที่ยังเมาอยู่ เขายกขวดเหล้าขวดหนึ่งขึ้นและเขวี้ยงแตกดังเคร้ง ชี้ฉินกวนฉีและด่าทอเสียงดัง
“ถ้าแกกล้าลงมือกับคุณถัง ก็ผ่านด่านฉันไปก่อนโว้ย”