บทที่ 106 แย่งชิงบริษัทลั่วซื่อ
ใบหน้าของลั่วมั่นหม่นลงเล็กน้อย มือก็ถือกล่องของขวัญแน่น
เสียงเหมือนแม่ค้าในตลาดอย่างนี้เป็นเสียงของคุณน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
ประตูไม่ได้ปิดไว้ เธอเดินตรงเข้าไป และวางของไว้ที่โถงทางเดิน แม่ลั่วมั่นเห็นเธออย่างรวดเร็วและพูดอย่างรีบร้อน “มั่นมั่นกลับมาแล้วเหรอลูก แม่กำลังพูดถึงอยู่เลย น้าของลูกเอาของฝากจากอเมริกามาให้ลูกด้วย”
ญาติผู้ใหญ่นั่งอยู่รอบๆ ในห้องนั่งเล่นของตระกูลลั่ว มีเด็กสองคนวิ่งเล่นอย่างมีความสุขในห้องนั่งเล่น ซึ่งดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก
ลั่วมั่นมองไปที่หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าเรียบเฉย และเริ่มพูดเรียกจากทางขวาไป “คุณน้า คุณป้า คุณลุง คุณอา……”
จากนั้นเธอก็เดินตรงไปหาพ่อของเธอ
บริษัทลั่วซื่อเป็นธุรกิจครอบครัว และคนเหล่านี้ล้วนมีหุ้นในบริษัท
“พ่อคะ สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง? ถ้ารู้สึกไม่สบายต้องไปโรงพยาบาลนะคะ” ลั่วมั่นนั่งลงตรงข้ามกับพ่อของเธอ และถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเขาด้วยความเป็นห่วง
ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ พ่อดูมีอายุขึ้นไม่น้อยเลย
พ่อลั่วมั่นส่ายหัว “ไม่เป็นไร แม่ของลูกก็ทำเป็นเลยใหญ่ไปอย่างนั้น ก็แค่โรคคนแก่น่ะ”
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้นะคะ” จู่ๆ เสียงแหลมของคุณน้าก็ดังขึ้น “พี่เขย คุณก็อายุมากแล้ว นอกจากลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว ก็ไม่มีลูกชายที่จะมาสืบทอดกิจการครอบครัวอีก ถ้าจะให้ฉันพูด ก็ควรรีบแบ่งการทำงานในบริษัท ให้หลานชายและหลานสาวช่วยดูแล คุณจะได้ไม่เหนื่อยมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วมั่นก็เหลือบมองเธออย่างไม่พอใจ “คุณน้าคะ คุณพ่อยังแข็งแรงดี คุณน้าไม่จำเป็นต้องกระตือรือร้นที่จะแย่งชิงเพื่อลูกชายของคุณน้าขนาดนั้นก็ได้นะคะ”
“นี่ มั่นมั่น เธอพูดอะไรน่ะ?” คุณน้าขมวดคิ้ว “ฉันกำลังแย่งชิงอะไร? ที่ฉันพูดก็เพื่อร่างกายของพ่อเธอ ตัวเธอแต่งงานออกไปแล้ว และจากที่ได้ยินมา ดูเหมือนเธอจะไม่ได้กลับบ้านมาร่วมครึ่งปี ทั้งๆ ที่ก็อยู่ในเมืองเดียวกันแท้ๆ ถ้าอยู่คนละเมืองก็ว่าไปอย่าง”
เสียงของคุณน้าดังขึ้นไม่หยุดในห้องนั่งเล่น
ลั่วมั่นขมวดคิ้ว และกำลังจะเถียงกลับ แต่ก็ถูกแม่ของเธอรั้งไว้ ใบหน้าของแม่มองมาที่เธอด้วยความลำบากใจ
คุณน้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่เธอ และก็เป็นผู้ใหญ่ด้วย เธอจึงไม่สามารถพูดอะไรได้มาก
ดีที่คุณป้าพูดขึ้นทำลายบรรยากาศไม่ดีนี้
“เอาล่ะ เอาล่ะ นานๆ ทีมั่นมั่นจะกลับมา เสี่ยวจวนเธอก็เพิ่งกลับประเทศมาเหมือนกัน ทำไมถึงได้ไม่ยอมเป็นเด็กๆ ไปได้”
“ปีนี้มั่นมั่นอายุก็เท่าไหร่แล้ว? ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ? ตอนที่ฉันอายุเท่าเธอ ลูกๆ ของฉันก็โตจนช่วยงานบ้านได้แล้ว ดูเธอสิ แต่งงานมาสามปีแล้ว ยังไม่มีท่าทีจะตั้งท้องเลย และคนตระกูลเฟิงนั้นก็มีข่าวเรื่องผู้หญิงอยู่ทุกวัน จนฉันไม่กล้าพูดออกไปแล้วว่านั้นคือหลานเขยของเรา ฉันก็แค่กังวลแทนพี่สาวพี่เขย ที่ต้องเหนื่อยใจที่ลูกสาวแต่งงานเข้าไปในตระกูลเฟิง แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลย”
คำพูดของคุณน้านั้น ทำให้สีหน้าของลั่วมั่นซีดลง
ด้วยเหตุนี้ หลังจากแต่งงานออกไป เธอจึงไม่ค่อยกลับมา
“พี่คะ ที่ฉันกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาคุยกับพี่ให้รู้เรื่อง ถ้าพี่กับพี่เขยเห็นด้วยที่จะยกสิทธิ์ในการบริหารบริษัทลั่วซื่อให้กับเส้าจิ่งลูกของฉัน พี่ก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการบริหารของบริษัท หรือแม้กระทั่งการเกษียณอายุของพวกพี่ ฉันจะให้สามีของฉันจัดการเกี่ยวกับเงินทุนของบริษัทลั่วซื่อ และบริหารบริษัทให้ดำเนินไปด้วยดีแน่นอนค่ะ”
“เดี๋ยวนะ เส้าจิ่งลูกของเธออะไรกัน ฉันคิดว่าควรจะให้จิ่งจิ่งลูกของฉันมากกว่านะ จิ่งจิ่งของฉันทำงานในบริษัททันทีที่เธอเรียนจบ เส้าจิ่งของเธอเคยทำอะไรบ้าง?” คุณป้าไม่ยอมแพ้
หลังจากที่ทั้งสองคนก็ทะเลาะกัน คนอื่นๆ ก็พูดใส่กันไปมา ทันใดนั้นเสียงก็ก้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในห้องนั่งเล่น
ใบหน้าของพ่อลั่วมั่นหม่นลงทันที ราวกับว่าเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไออย่างรุนแรงเพราะความโกรธ
“พ่อคะ ไม่เป็นอะไรนะคะ?” เสียงของลั่วมั่นแทบจะสู้กับเสียงเหล่านั้นไม่ได้