บทที่ 149 ผู้หญิงของฉัน พวกแกกล้าแตะต้องเธออย่างนั้นเหรอ
“พูดสิ!” ชายมีเคราดึงสายสะพายของเธอไว้ ราวกับว่ากลิ่นเหงื่อเหม็นๆลอยป้วนเปี้ยนอยู่ด้านหน้าจมูกของเธอ “ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ ไม่ว่าตัวตนของเธอภายใต้ผู้ชายจะเป็นใคร ก็ต้องอ้าขาให้ฉัน ไม่ต้องรีบร้อนไป ข้างหลังยังมีคนอีกนะ ”
ทันใดนั้นเองชายร่างผอมก็ลุกขึ้นจากพื้น ตะโกนครั้งสองครั้ง ชายร่างกายกำยำสี่ห้าคนก็เข้ามาในประตู แต่ละคนไว้หนวดเครารุงรังและไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่นี้อีกแล้ว
ชายมีเครายิ้มเยาะ “เพลินๆหน่า คนสวย”
เมื่อพูดอย่างนั้น ลั่วมั่นรู้สึกเย็นวาบ กางเกงถูกดึงลงอย่างลวกๆ หลังจากที่ได้สติเธอก็กรีดร้องและดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง
ฉากเมื่อสามปีที่แล้วถูกฉายซ้ำต่อหน้าต่อตา
เตียงใหญ่ในห้องพักของโรงแรม มือที่หยาบกร้าน สัมผัสที่เย็นวาบ ภาพเงาคนที่ทับซ้อนกัน ฉากต่างๆปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา
นั่นเป็นประสบการณ์ที่ลั่วมั่นต้องการจะลบออกไปมากที่สุดในชีวิตของเธอ
ตอนนั้นเธอยังไม่ได้แต่งงานกับเฟิงเฉิน พ่อแม่เต็มใจที่จะเป็นทองแผ่นเดียวกับตระกูลเฟิง เพราะอย่างนั้นจึงผลักดันเธอไปงานเลี้ยงต่างๆ ทำให้ได้พบเจอกับพี่น้องเฟิงเฉินอยู่บ่อยๆ แต่ในตอนนั้น เฟิงเฉินกำลังคุยเรื่องงานแต่งงานของเขากับแฟนสาวอยู่ นี่คือสิ่งที่คนในแวดวงรู้กันดี
วันนั้นเป็นงานเลี้ยงต้อนรับของตระกูลเฟิง
ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม แม่ของลั่วมั่นยัดจดหมายเชิญลงในมือของเธอ และปล่อยให้เธอเที่ยวเล่นให้สนุก พูดคุยกับเฟิงเฉินให้มากๆ เหตุผลหลักนั่นก็เพราะเมื่อใดที่บริษัทตระกูลลั่วตกอยู่ในสภาวะที่อันตรายจะได้สามารถเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที
“แม่ เฟิงเฉินมีแฟนอยู่แล้ว หนูกับเขาไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
“ไร้สาระ” แม่ของลั่วมั่นจูงมือและไปส่งเธอที่ทางเข้าหมู่บ้าน “เรื่องผู้หญิงคนนั้นแม่ช่วยสืบมาให้ลูกแล้ว ครอบครัวที่บ้านไม่ค่อยดี ตระกูลเฟิงไม่เห็นด้วย ตอนนี้กำลังหาวิธีกำจัดเธออยู่ ฝั่งนั้นแม่เริ่มสนิทบ้างแล้ว แม่ของเฟิงเฉินน่าจะประทับใจในตัวลูกไม่ผิดแน่”
แม่ของลั่วมั่นที่ต้องการตระกูลเฟิงนั้น สร้างความกดดันให้เธอเป็นอย่างมาก
เธอคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่พิเศษอะไร ไม่มีวิธีที่จะดึงดูดสายตาของเฟิงเฉินได้เลย เขาชอบผู้หญิงที่มักจะขี้อายเมื่อเธอมาถึงแล้วก็นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา
คืนนั้นเห็นเฟิงเฉินและเวินน๋อนไปไหนมาไหนด้วยกัน ได้ยินเฟิงเฉินพูดแนะนำใครต่อใครว่าเธอเป็นคู่หมั้นของเขา ลั่วมั่นชักจะเบื่อมากขึ้นเรื่อยๆ เธออดไม่ได้ที่จะดื่มไวน์แก้วที่สอง หลังจากที่ดื่มอย่างหนัก มีบริกรช่วยประคองเธอไปยังห้องพักของโรงแรม ระหว่างทางเดินยังเจอเข้ากับเฟิงเฉิน เขาช่วยชี้ทางให้เธอ
แล้วหลังจากนั้นล่ะ
ภายในห้องปิดไฟมืด ทันทีที่เธอเข้าไปก็ถูกใครบางคนดึงเข้าไปไว้ในอ้อมแขน ราวกับไม่เกรงการขัดขืนของเธอ ลมหายใจที่หนักแน่นของคนๆนั้นรดใบหูของเธอพลางฉีกเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายเธอ เบียดตัวเข้ามาที่หว่างขาของเธออย่างหยาบคาย โดยหวังจะเข้าไปในครั้งแรกของเธอ
มันคือการข่มขืน คือฝันร้ายที่เธอไม่อาจบอกใครได้ ไม่สามารถบอกเล่าความเจ็บปวดของตัวเองกับเพื่อนที่ไว้วางใจได้
ความปวดร้าว ความเจ็บปวดจากคืนนั้นเมื่อสามปีก่อนยังคงเสียดแทงหัวใจ
สีหน้าของลั่วมั่นที่ถูกห้องล้อมไปด้วยผู้คนก็เริ่มซัดเซียว การต่อสู้ดิ้นรนทั้งหมดเป็นดั่งกลไก แม้แต่คำพูดที่ตะโกนออกไปก็เหมือนกับในฝันร้ายเมื่อสามปีก่อน
“ขอร้องล่ะ อย่าแตะต้องตัวฉัน อย่ายุ่งกับฉันเลย……”
“หันมายิ้มให้กล้องหน่อยสิ”
หนึ่งในคนพวกนั้นถือกล้อง และโฟกัสไปที่ลั่วมั่นอยู่ตลอดเวลา
“ถอดให้หมดเลย ถ่ายเก็บไว้”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้ ทุกคนต่างทำตามคำสั่ง เริ่มรุมทึ้งกระโปรงที่อยู่บนตัวของลั่วมั่น
“อย่านะ……”
เสียงกรีดร้องดังจนแทบจะทะลุหลังคา ตอนนี้ลั่วมั่นไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่อาการจะโคม่า ความหนาวเหน็บแทรกซึมไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
“ครืดๆ” ควันลอยฟุ้ง
ผู้ชายที่อยู่รายล้อมตัวหญิงหันกลับมาในเวลาเดียวกันพลางมองไปที่ประตู ร่างสีดำเดินออกไปโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆ เขาวางคนสองสามคนที่วิ่งขึ้นและไปถามว่าใครควรโยนพวกเขาออกไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น หัวโจกในกลุ่มชายฉกรรจ์รู้ว่าหน่วยกู้ภัยมาถึงแล้ว เขาตกใจจนลงไปนั่งคุกเข่าร้องอ้อนวอนขอความเมตตา แต่ชายที่มาที่นี่ไม่ได้ให้ความเห็นอกเห็นใจใด ๆ และปล่อยให้คนของเขาลากพวกมันไปยังสถานีตำรวจ
“ผู้หญิงของฉัน พวกแกยังกล้าแตะต้องเธออีกอย่างนั้นเหรอ”
พ่อบ้านรีบวิ่งไปในทันที “นายน้อย ไม่มีเรื่องอะไรกัน”