บทที่ 157 ความจริงเมื่อสามปีก่อน
เฟิงเฉินลุกขึ้นยืน เงาขนาดใหญ่ปกคลุมร่างเวินน๋อน ทันใดนั้นความสิ้นหวังที่ใกล้จะถึงแก่ความตายก็ทำให้ร่างกายของเธอเปียกโชกไปทั้งตัวและเธอก็ถอยหนีด้วยความตื่นตระหนก
“ เฉินฉันไม่ได้ชนเธอจริงคุณเข้าใจผิด … ฉะ … ”
เฟิงเฉินบีบคอของเธออย่างรุนแรงทำให้เธอไม่สามารถส่งเสียงได้อีกนอกจากดิ้นรน
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกเสียงดังชัดเจนมากในห้องนั่งเล่นเฟิงเซิ่งเดินออกไปอย่างรวดเร็วและเมื่อเขาเห็นฉากนี้เขาก็ส่งเสียงตกใจ “พี่ … ”
เฟิงเฉินมองกลับมาที่เขาปล่อยมือด้วยความรังเกียจ เขาหัวเราะเยาะพร้อมพูดว่า
“แกยังรู้ว่าฉันเป็นพี่ชายแก? กลัวว่าในใจแกอาจจะไม่เคยคิดว่าฉันเป็นพี่แกละสิ”
สีหน้าเฟิงเซิ่งซีดเผือด ไม่มีแรงจะอธิบายออกไป
เขารู้ว่าเฟิงเซิ่งได้ยินคำพูดเมื่อครู่แล้ว
เวินน๋อน นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นและไออย่างรุนแรงขาของยังคงลังเลเขารีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและตบหลังเธอพลางมองหน้าเฟิงเฉินอย่างระมัดระวัง
“เห็นแก่ที่แกเป็นน้องชายฉันฉันจะปล่อยแกไป” เสียงเย็นยะเยือกดังก้องในหูของเฟิงเซิ่ง “แต่เวินน๋อนฉันจะส่งเธอเข้าคุก ข้อหาลักพาตัวก็เพียงพอที่จะตัดสินโทษให้เธออยู่หลายปี เธอสามารถชั่งน้ำหนักเอาได้ ”
“พี่…” ความกลัวของเฟิงเซิ่งไม่มีที่สิ้นสุด เสียงคุกเข่าดัง ‘ตุบ’ ต่อหน้าเฟิงเฉิน “ถือว่าฉันขอร้องพี่เถอะ พี่ ปล่อยเธอไปสักครั้งนะ แม้ว่าเฮ่าเฮ่าจะไม่ใช่ลูกพี่แต่นั่นก็คือลูกผม เขาจะขาดแม่ได้นะ”
“ตอนก่อเรื่องพวกนี้ พวกแกก็ควรจะคิดถึงผลที่จะตามมาด้วย”
น้ำเสียงของเฟิงเฉินไม่แยแส และสายตาที่ลดต่ำลงไปมองคนทั้งสองก็ฉายแววดูถูก
เขาเกลียดการลักลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดเลย แต่ตอนนี้รู้สึกจริงๆ ว่าคำพูดดูถูกของแม่เขาถูกต้อง เฟิงเซิ่งไม่ได้เติบโตมาในตระกูลเฟิงตั้งแต่เล็ก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถโดดเด่นขึ้นมาได้
เฟิงเซิ่งรู้จักอารมณ์ของพี่ชายตัวเองคนนี้ เมื่อพูดแล้วจะไม่พูดอีกเป็นครั้งที่สอง ขอร้องเขาก็ไม่มีหวัง
เขากัดฟันอย่างร้อนรน “พี่ ถ้าฉันบอกความจริงเรื่องเมื่อสามปีก่อน พี่ปล่อยเราไปได้ไหม”
คิ้วของเฟิงเฉินกระตุก แม้ว่าเขาจะรู้ก่อนแล้วว่าเมื่อสามปีก่อนมีปัญหาแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะชะงัก เมื่อพูดออกมาจากปากของเฟิงเซิ่ง
เมื่อเห็นท่าทางนั้น เฟิงเซิ่งจึงรับพูดต่อไป
“เด็กไม่ใช่ลูกพี่ แต่พี่รู้ไหมทำไมถึงไม่ใช่ลูกของพี่”
เขาจงใจเว้นมันสักพักและพูดไปแค่ครึ่งเดียว
เฟิงเฉินได้สติกลับมาและกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา“แกคิดว่าฉันสืบหาด้วยตัวเองไม่ได้เหรอ ใช้เรื่องแบบนี้มาขู่ฉัน เป็นข้อต่อรองงั้นสิ เฟิงเซิ่งฉันแนะนำให้แกคิดให้ดีว่าจะหาทนายแบบไหนมาว่าความให้เธอจะดีกว่านะ!”
หลังจากพูดจบเฟิงเฉินก็หัวเราะเยาะหันหลังขวับและก้าวไปทางประตู
เฟิงเซิ่งไม่กล้าที่จะช้าอีกต่อไปจึงตะโกนไปที่แผ่นหลังนั่น
“ ห้องที่พี่เข้าไปในคืนนั้นเมื่อสามปีก่อนไม่ใช่ห้องเวินน๋อน แต่คือห้องมั่นมั่น”
ร่างที่ประตูหยุดนิ่งราวกับกลายเป็นหินเป็นเวลานานโดยไม่ขยับ6
คืนนั้น ห้องที่พี่เข้าคือห้องมั่นมั่น
คืนนั้นคนที่พี่นอนด้วยคือมั่นมั่น
“แกพูดอะไร”
ด้วยความตกใจเฟิงเฉินนึกถึงอะไรบางอย่างได้ในทันใด จึงหันกลับไปอย่างรวดเร็วและคว้าคอเสื้อของเฟิงเซิ่ง “แกพูดอีกครั้งซิ คืนนั้นเกิดอะไรขึ้น?”
“คืนนั้น…” เฟิงเซิ่งตัวสั่น“คนในงานเลี้ยงเมืองเจียงคืนนั้นทุกคนดื่มกันหนักมากไป เวินน๋อนขอให้ฉันช่วยพยุงพี่กลับโรงแรมไปพักผ่อน มันคือความเห็นแก่ตัวของฉัน และฉันอยากให้พี่เลิกกับเวินน๋อนเพราะงั้นวันนั้นฉันเลยไปส่งพี่ที่ห้องมั่นมั่น”
เมื่อเวินน๋อนที่กำลังห่อตัวอยู่ที่มุมห้องได้ยินเช่นนี้ภายในดวงตาก็ฉายแววโศกเศร้า
เฟิงเซิ่งเหลือบมองเธอ ข่มแววตาที่ดูซับซ้อนและบังคับตัวเองให้พูดไปว่า
“ต่อมาเมื่อเวินน๋อนตื่นขึ้น เธอก็ยังไม่ยอมรับฉันอย่างเด็ดขาด แม้จะพูดแล้วว่าต่างคนต่างอยู่กันชั่วชีวิต ฉันจึงทำได้แค่สลับพวกเธอกลับไป คิดว่าจะชดเชยอะไรบางอย่างได้ ฉันไม่คิดมาก่อนว่า พี่ก็ไม่ได้แต่งงานกับเวินน๋อน แต่อยู่กับมั่นมั่นแล้ว ”
เฟิงเฉินแทบจะยืนไม่อยู่ เสียงดังก้องอยู่ข้างหู