บทที่ 174 กลับเลือกเธอ
“ค่ะ” ลั่วมั่นกังวลเล็กน้อย
หากแต่ลู่จิ่งจูเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น ก่อนที่จะพลิกเอกสารในมือต่อ ไม่เอ่ยใดๆ อีก
“ยอดของฝ่ายขายกลุ่มที่1เพิ่มขึ้นมากกว่าเดือนที่แล้วโดยเฉลี่ย12เปอร์เซ็นต์ ได้แซงหน้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกันเรียบร้อยแล้ว ผลการเปรียบเทียบในตลาด…..”
นักวิเคราะห์ให้ความเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของแต่ละฝ่าย ท้ายที่สุดสายตาของเขาตกอยู่ที่เฟิงเฉิน “สถานการณ์คร่าวๆ เป็นแบบนี้ครับ ขอเชิญประธานเฟิงติชมและแก้ไขครับ”
เฟิงเฉินพยักหน้ารับเบาๆ พร้อมกับกล่าวสั้นๆ เพียงสองสามประโยค แต่ทุกประโยคกลับจี้จุดตรงประเด็นสำคัญ พวกที่คิดไม่ซื่อเองก็เหงื่อแตกพรากตัวเย็นเฉียบ เก็บความคิดและแผนการทันที
“โอเค ผมมีเท่านี้ ทุกคนยังมีความเห็นอะไรอีกไหม” ทุกคนต่างหันมองหน้าซึ่งกันและกัน คราวนี้ไม่มีใครที่คิดอยากได้หน้าแต่อย่างใด
“ถ้างั้น ฉันขอออกความเห็นสักหน่อย”
น้ำเสียงที่หนักแน่นของหญิงสาวดังสะท้อนภายในห้อง สายตาของทุกคนตกอยู่ที่ลู่จิ่งจูอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ฉันได้ดูการปฏิบัติและความร่วมมือของทุกคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไปทั่วไม่มีปัญหาอะไร ดูออกอย่างชัดเจน ว่าทุกคนต่างก็พยายามทำหน้าที่ของตนเพื่อบริษัท ฉันแค่ไม่เข้าใจนิดหน่อย แผนกขายทำไมถึงได้มีรองผู้อำนวยการถึงสองคน?”
ประโยคที่หลุดออกมา ทำให้ทุกคนต่างหันไปทางลั่วมั่น
เรื่องที่มีรองผู้อำนวยการสองคน ทุกคนในบริษัทมีใครบ้างที่ไม่รู้ ว่าเรื่องนี้เป็นลั่วมั่นที่ก่อเรื่องขึ้นหลังจากที่เธอเข้ารับตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายขายกลุ่มที่1และต้องการฝึกเด็กคนสนิทของตน จากมุมมองสถานการณ์ ก็เพื่อโต้แย้งกับส้งชิงหรู
“แล้วก็รองผู้อำนวยการที่ชื่อเล่อสวี้นี่อีก ก่อนหน้านี้เธออยู่ในตำแหน่งอะไร ประวัติของเธอบอกว่าเธอเป็นหนึ่งในสมาชิกของฝ่ายขายกลุ่มที่สอง หลี่หยางงั้นเหรอ? สมาชิกของแผนกคุณงั้นเหรอ?” ลู่จิ่งจูเพ่งสายตาไปยังหลี่หยางผู้อำนวยการของฝ่ายขายกลุ่มที่สอง
เธอไม่ได้เข้าบริษัทมานาน หลายปีมานี้บริษัทมีการขยับเคลื่อนย้ายอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะฝ่ายขาย หลี่หยางเพิ่งได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อสองปีที่แล้ว แต่เธอกลับสามารถเรียกชื่อเขาออกมาได้ ความคุ้นเคยต่อบริษัทในระดับนี้ทำให้ทุกคนต่างหวาดหวั่นไปตามๆ กัน
เมื่อถูกชี้ตัว แถมยังเกี่ยวข้องกับเล่อสวี้ ผู้อำนวยการฝ่ายขายกลุ่มที่2หลี่หยางใบหน้าขาวซีด พร้อมกับพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า “ครับ เป็นสมาชิกของทีมผมเอง ภายหลังได้ถูกโยกย้ายจากฝ่ายบุคลากร ไปช่วยงานที่ฝ่ายขายกลุ่มที่1ครับ”
“อืม? ก่อนหน้านี้เธอมีหน้าที่อะไร?”
เมื่อได้ยินประโยค หลี่หยางกวาดสายตาไปยังลั่วมั่น
ตอนนี้เล่อสวี้เป็นคนของลั่วมั่น ส่วนลั่วมั่นเองก็รับรู้ความบาดหมางส่วนตัวระหว่างเขาและเล่อสวี้ตั้งนานแล้ว เธอไม่ชอบเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากคราวนี้พูดอะไรที่ไม่เหมาะสมแล้วล่ะก็ หนทางหลังจากนี้คงยากแน่
“ครับ เป็นพนักงานขายของผมเอง เธอทำงานเป็นระเบียบรอบคอบมากครับ”
“แค่พนักงานขายงั้นเหรอ?” ลู่จิ่งจูประหลาดใจ “เพียงแค่พนักงานขาย หลังการเปลี่ยนแปลงได้เป็นรองผู้อำนวยการเลยงั้นเหรอ? ยอดของเธอน่าตกตะลึงมากแค่ไหนกันเชียว?”
เธอเอ่ย พร้อมกับเหลือบไปทางเลขาที่อยู่ข้างๆ “ไปหาสมาชิกที่อยู่ในบริษัทนานที่สุดมาที”
บรรยากาศภายในห้องประชุมค่อนข้างมาคุ
ไม่นาน ลู่จิ่งจูเอ่ยถามไปเพียงสองประโยค เธอก็เปิดเผยยอดขายของเล่อสวี้ในเวลาสามปีมานี้จนหมดเปลือก แต่ก็มีการใส่สีตีไข่อยู่บ้างเล็กน้อย
“รองผู้อำนวยการเล่อสวี้? ความสามารถเท่าไหร่ฉันไม่รู้หรอก ฉันรู้เพียงแค่ว่าก่อนหน้านี้ที่บริษัทคัดพนักงานออกได้ตัดสินใจปลดเธอแล้ว ช่วงเวลานี้ฉันลงพื้นที่อยู่ตลอด กลับมาก็ได้ข่าวว่าแผนกเรามีการตัดสินให้เล่อสวี้เป็นรองผู้อำนวยการ ได้ข่าวว่าเป็นการตัดสินใจของประธานลั่ว พวกเราเองก็ไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านี้”
“อะไรกัน” ลู่จิ่งจูหันไปทางลั่วมั่น “เธอเป็นคนส่งเสริมเธออย่างนั้นเหรอ?”