บทที่ 216 แบบนี้จะกินได้เหรอ
สิ่งที่เฟิงเฉินคิดก็คือ เหล้าเป็นสิ่งที่ช่วยลดกลิ่นคาวของอาหาร ดังนั้นใช้ไวน์ก็น่าจะได้เหมือนกัน เพราะถึงยังไงก็เป็นเหล้าเหมือนกัน คงไม่แตกต่างอะไรกันมาก
แต่เขาลืมคิดถึงปัญหาเรื่องสีของอาหาร
ลั่วมั่นมองไปที่เกี้ยวสีจะเขียวก็ไม่เขียวจะแดงก็ไม่แดงที่อยู่ในหม้อ หน้าก็เริ่มตึง “กิน……ได้ไหม?”
สีหน้าของเฟิงเฉินซับซ้อน แต่ก็ยังหนักแน่น
“ก็แค่ปัญหาเรื่องสี กินได้ไม่มีปัญหา”
เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของเขา ลั่วมั่นอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมเขา“ได้ คุณห่อเถอะ ตอนนี้ฉัน……ฉันเริ่มหิวแล้ว เราสั่งอาหารดีลิเวอร์รี่กันเถอะ?”
เฟิงเฉินไม่แสดงอาการปฏิเสธ
ลั่วมั่นถือว่าเขาตกลงแล้ว หันกลับไปหยิบโทรศัพท์ที่ห้องโถงแล้วโทรสั่งดีลิเวอร์รี่
ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่ให้หน้าเขา เพียงแต่ว่าเกี้ยวที่มีสีแดงปนดำทั้งยังมีลักษณะเหนียวหนืด เมื่อเห็นก็ยากที่จะทำให้คนรู้สึกอยากอาหาร ของสิ่งนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะกิน?
ขณะที่เธอมีความคิดเช่นนี้ เธอจึงสั่งให้เฟิงเฉินหนึ่งชุด เพื่อป้องกันว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะยังคงรักษาหน้าไม่ยอมกิน หากเขาหิวจนเป็นอะไรไปสุดท้ายเธอนั้นแหระที่เป็นคนต้องดูแล
ภายในห้องครัว เฟิงเฉินค่อยๆห่อเกี้ยวตามวิธีการในอินเตอร์เน็ต ไม่มีใครเห็นว่าไส้ที่อยู่ด้านในสีอะไร รอบนี้เขาได้เรียนรู้มาจากคราวที่แล้วแล้วว่าต้องทำอย่างไรไส้ที่อยู่ข้างในจึงจะไม่แตก
หลังจากที่ตักเกี้ยวล็อตแรกขึ้นมา คนที่รออาหารเดลิเวอรี่หิวจนตาลาย จู่ๆก็ถูกความหอมของเกี้ยวถาดนั้นจนได้สติขึ้นมา หลังจากที่สูดจมูกแล้ว ก็เดินไปที่โต๊ะอาหารในห้องครัว
“ตักขึ้นมาแล้วเหรอ?”
ลั่วมั่นมองไปที่ถอดเกี้ยวที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความประหลาดใจ
ดูดีกว่าที่ตนคิดไว้ไม่น้อย หลังจากที่ต้มเสร็จผิวของเกี้ยวที่ห่อดูน่ากิน ไส้ที่อยู่ด้านในหลังจากที่ถูกน้ำชุปตุ๋นอยู่นานสีก็จางลง เริ่มคลายตัว ราวกับดอกซากุระสีชมพู ทำให้คนอยากอาหารไม่น้อย
“อืม เพื่อไม่ให้คุณถูกพิษของอาหาร เดี๋ยวผมชิมก่อน อร่อยทีเดียว”
เฟิงเฉินยื่นตะเกียบให้กับเธอ บอกเป็นนัยว่าให้เธอลองชิม
ลั่วมั่นรับตะเกียบอย่างเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง ในใจรู้สึกว่าทำไมตนเองถึงไม่ค่อยจะเชื่อเลย?
“คุณลองคิดดูสิว่าไวน์ขวดนั้นของผมในโลกนี้มีอยู่เพียงสามขวด คุณลองชิมสักคำเถอะ” สีหน้าของเฟิงเฉินพยายามให้ความกล้ากับเธอ “คำเดียวก็ได้ ชิมเสร็จแล้วก็เอาตะเกียบมาให้ผม จากนั้นถ้าคุณมาขอร้องผมอยากจะกินผมก็จะไม่ให้คุณกินแน่”
ลั่วมั่นรู้สึกเหมือนถูกหลอก คิ้วเป็นเส้นตรง “ใครจะขอร้องคุณ คุณคิดว่าคุณคือเชฟมิชลินเหรอ?”
คำพูดของเฟิงเฉินยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าเกี้ยวคงไม่อร่อยจนอยากจะคลายทิ้ง อยากที่จะให้เธอหลงกล
เพียงแต่ว่าเขาทำมันด้วยตนเอง อีกทั้งยังเปลืองเหล้าราคาแพงของเขาไปหนึ่งขวด กินแค่คำเดียวก็คงจะไม่เป็นอะไรมาก เมื่อคิดได้แบบนั้น เธอก็คืบเกี้ยวขึ้นมาหนึ่งตัว ทำท่าจะเป็นจะตายคีบเกี้ยวชิ้นนั้นเข้าไปในปาก เคี้ยวอยู่สองสามที เค็มหอมกำลังดีจู่ๆเธอก็ได้ลิ้มรสความหอมหวาน
รสชาติของไวน์แดงแตะที่ปลายลิ้นของเธอ ทำให้รสชาติของไส้เกี้ยวอร่อยยิ่งขึ้น ไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย
“อึ๋มอึ๋ม ……” ลั่วมั่นเบิกตากว้างมองไปยังเฟิงเฉิน เคี้ยวไปด้วยพูดงึมงำไปด้วย
แต่เฟิงเฉินกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แย่งตะเกียบจากมือของเธอ
“อ่อ ไม่อร่อยใช่ไหม ไม่เป็นไรผมแค่ให้คุณลองชิมหนึ่งคำ คุณกินแค่คำเดียวก็เพียงพอแล้ว อย่าฝืนตัวเองเลย”
“ไม่……”ลั่วมั่นกลืนเกี้ยวลงไป พูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ใช่ คุณเอาตะเกียบมาให้ฉันนะ ฉันยังไม่ได้รับปากคุณเลยว่าฉันจะกินแค่คำเดียว”
“คุณสั่งอาหารดีลิเวอร์รี่มาแล้วไม่ใช่เหรอ?” เฟิงเฉินยกแขนขึ้น ตะเกียบอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าที่ลั่วมั่นจะเอื้อมถึง
เธอเริ่มร้อนใจ กลอกตาไปมาแล้วรีบวิ่งผ่านเขาไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบตะเกียบใหม่มาหนึ่งคู่ กอดถาดเกี้ยวพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
“แน่นอนว่าอาหารดีลิเวอร์รี่ฉันสั่งให้กับคุณ เกี้ยวน้อยนิดเดียว คุณกินไม่อิ่มหรอก”