บทที่ 253 ผมรู้ ผมเชื่อเธอ
เฟิงเฉินสีหน้าเคร่งขรึม กวาดตามองห้องพักผู้ป่วยแวบหนึ่ง นัยน์ตาคล้ายกับว่ามีความเสียใจพาดผ่านไป และทิ้งเอาไว้ประโยคหนึ่งด้วยเสียงอันดังก้อง
“ตอนที่แม่ยังสบายดีอยู่ ก็ไม่เห็นว่าพ่อจะเอาใจใส่ขนาดนี้มาก่อน”
ตอนที่มนุษย์เรามีสติก็มักจะเกลียดชังซึ่งกันและกัน แต่เมื่อล้มลงก็เริ่มร้อนใจจนโมโหแทน เมื่อเห็นแล้วก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกสมเพชเวทนา เฟิงเฉินนั้นเป็นพวกไร้อารมณ์ความรู้สึกมาตั้งแต่ยังเด็ก เห็นบิดาที่ไม่เคยคิดจะเหลียวแลมารดาเปลี่ยนไปกะทันหัน ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ และรู้สึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก
พ่อเฟิงมองแผ่นหลังของลูกชายที่จากไปแล้ว ก็กำมือจนสั่นเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปมองคนที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วย ใบหน้าก็ซีดเผือดทันที
ชีวิตหนึ่งของคนเรา มีเรื่องที่เสียใจในภายหลังมากมาย มีเพียงแค่เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ถึงรู้ว่าคนที่ให้อภัยได้ยากที่สุดคือใคร
เฟิงเฉินที่ออกมาจากโรงพยาบาล ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากกวนเส้าหยู้ที่เอ่ยถามราวกับรัวกระสุน ทำให้เฟิงเฉินรำคาญใจอยู่บ้าง
“ข่าวนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แม่ของนายเป็นอะไรไปน่ะ เกี่ยวข้องกับมั่นมั่นได้อย่างไรกัน”
เดิมเรื่องที่ลั่วมั่นถูกตำรวจจับกุมตัวไปก็ไม่ได้เกิดคลื่นลมเท่าไร ตระกูลเฟิงส่งคนไปแถลงข่าวว่าเป็นเพียงแค่ให้ความร่วมมือกับทางตำรวจในการทำบันทึกเท่านั้น เพราะเธอเป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรก
แต่จากเมื่อคืนวาน ทิศทางลมในอินเทอร์เน็ตก็มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ไม่รู้ว่ามีคนบอกเป็นนัย และให้ผู้อื่นทำแทนหรือไม่ เรื่องที่ทางตำรวจตรวจพบรอยนิ้วมือบนกระบอกปืนจึงถูกเปิดเผยออกมา ในพริบตาเดียว บนอินเตอร์เน็ตก็มีประชาพิจารณ์ไปทางหนึ่ง เกือบจะทั้งหมดเชื่อแล้วว่าลั่วมั่นเป็นคนร้ายที่ฆ่าคนจริงๆ
ไม่รอให้เฟิงเฉินตอบกลับ อีกฟากของโทรศัพท์ก็มีเสียงรบกวนดังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงสงบนิ่งแต่ชัดเจนของเล่อสวี้ดังขึ้น
“ประธานลั่วเป็นอย่างไรบ้าง”
“อยู่ที่สถานีตำรวจ ถูกคุมตัวเอาไว้”
“เธอไม่ได้เป็นคนทำ เธอไม่ทำเรื่องประเภทนี้หรอก”
เล่อสวี้พูดจาสั้นกระชับมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้สอบถามอะไรมากมาย มีเพียงแค่ประโยคเดียว คล้ายกับว่าตั้งใจเตือนเฟิงเฉินอย่างไรอย่างนั้น เฉยชาแต่กลับหนักแน่น
ผ่านไปนาน เฟิงเฉินจึงเอ่ยออกมาสั้นๆสามคำ
“ผมรู้ ผมเชื่อเธอ”
“อย่างนั้นก็ดี”
ภายในโรงแรมห่างไกลในหนิงโจว หลังจากวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว กวนเส้าหยู้ก็ขยี้เท้าไม่พอใจ “แค่นี้หรือ ผมยังไม่ได้ถามให้ชัดเจนเลยว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ ต้องการให้ผมช่วยมั่นมั่นออกมาก่อนหรือไม่…….”
“ไม่ต้องให้คุณไปสร้างความวุ่นวายเพิ่มหรอก” เล่อสวี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเฉยเมย “ประธานเฟิงจะจัดการได้แน่นอน”
โทรศัพท์ในครั้งนี้ เธอต้องการแค่ยืนยันถึงท่าทีของเฟิงเฉินที่มีต่อเรื่องนี้เท่านั้น ขอเพียงแค่เขาเชื่อในตัวลั่วมั่น อย่างนั้นทั้งหมดก็จะไม่มีปัญหาอะไร
ช่วงบ่ายในวันเดียวกัน
ทางตำรวจค้นใบอนุญาตให้มีปืนไว้ในครอบครองและกล่องบรรจุลูกกระสุนที่มีคุณสมบัติพิเศษของเธอได้จากช่องลับในห้องนอนลั่วมั่นที่บ้านตระกูลลั่ว เมื่อเปรียบเทียบกับปลอกกระสุนและหัวกระสุนแล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นชุดเดียวกับลูกกระสุนปืนพกในที่เกิดเหตุ
“ประธานเฟิง ทางตำรวจส่งข่าวใหม่ล่าสุดมาครับ ประธานลั่วถูกส่งตัวไปที่ศาลแล้วครับ”
ภายในห้องทำงาน หลี่สู้มองชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน พลางเอ่ยด้วยความระมัดระวัง
“บอกว่าหลักฐานชัดเจนแล้ว ทางศาลได้ตรวจสำนวนและตัดสินก็เป็นการทำตามกระบวนการ เรื่องราวได้สืบสวนอย่างชัดเจนแล้ว ปืนเป็นของประธานลั่ว รอยนิ้วมือก็เป็นของประธานลั่ว วันนั้นไม่มีคนรับใช้คนไหนให้ประธานลั่วเข้าไปในเรือนเพาะชำดอกไม้เลยสักคน”
เสียงดินสอในมือของเฟิงเฉินขาดหายไป ภายในห้องที่เงียบสงัดนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก ตอนนี้เครื่องหมายที่ปักอยู่บนสิ่งก่อสร้างของคฤหาส์เฟิงหลายจุดในกระดาษบนโต๊ะทำงานในสายตาเขายิ่งยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น
“ประธานเฟิง ทางศาลแจ้งว่าวันมะรืนจะเปิดศาลพิจารณาคดีครับ เปิดศาลพิจารณาคดีในวันศุกร์นี้ คุณจะไปไหมครับ”
เฟิงเฉินเอ่ยถาม คล้ายกับว่าไม่ได้ยินคำพูดนี้อย่างไรอย่างนั้น
“หาคนมาซ่อมแซมกล้องวงจรปิดของคฤหาสน์เฟิงได้หรือยัง”
หลี่สู้ชะงักไปหลายวินาที และส่ายศีรษะ “กล้องวงจรปิดเสียหายหนัก ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะซ่อมแซมได้เลยครับ”
“จำนวนสาวรับใช้นับครบแล้วหรือยัง กล้องวงจรปิดนอกคฤหาสน์เฟิงล้วนตรวจสอบดูหมดแล้วใช่ไหม”
“ตรวจดูแล้วครับ ไม่พบความผิดปกติ”
หลังจากหลี่สู้ตอบคำถามของเฟิงเฉินแล้ว ก็เห็นว่าสีหน้าเขาไม่น่ามอง จึงถามอย่างลังเลว่า “ประธานเฟิง ตอนนี้ทางฝ่ายตำรวจมีหลักฐานชัดเจนแล้ว จะเป็นไปได้ไหมว่า…….ประธานลั่วจะ…….”
เฟิงเฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมา มองมาด้วยสายตาคมกริบ หลี่สู้ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ปิดปากลงช้าๆ และกลืนอีกครึ่งประโยคที่เหลือลงท้องไป