ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 53-2 วันมงคลสมรสใหญ่
ตำหนักติ้งอ๋องถึงอย่างไรก็เชื่อถือได้กว่าตำหนักหลีอ๋องมาก ล่วงเลยเข้ายามซื่อ [1]ไปได้เพียงสามเค่อ ชิงอี้เซวียนก็กลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง ฮว่าฮูหยินและฉินฮูหยินเข้ามานำผ้าคลุมศีรษะที่ทำจากผ้าไหมเฟิ่งหวางลงมาคลุมหน้าให้เยี่ยหลีด้วยตนเอง พร้อมพยุงนางให้ออกไปคารวะลาเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าและเจ้ากรมเยี่ย รวมถึงป้ายชื่อสวีซื่อท่ามกลางการห้อมล้อมของทุกคน
งานแต่งงานครั้งนี้ ที่ได้รับความสนใจที่สุดย่อมเป็นการปรากฏตัวของเจ้าบ่าวซึ่งจริงๆ ควรจะเป็นเรื่องที่ทุกคนคาดคิดไว้อยู่แล้ว แต่ทุกคนกลับต้องประหลาดใจ ก่อนหน้านี้หลายคนต่างคาดเดากันเงียบๆ ว่าตำหนักติ้งอ๋องจะเชิญใครให้มาช่วยรับตัวเจ้าสาวให้ แต่กลับไม่มีใครคาดคิดว่าติ้งอ๋องจะเดินทางมาด้วยตนเอง ตั้งแต่ปากประตูใหญ่จวนเยี่ยไปจนถึงตำหนักติ้งอ๋องเต็มไปด้วยผู้คนในเมืองหลวงที่ออกมายืนรอดูงานในวันนี้ เมื่อเห็นติ้งอ๋องในชุดสีแดงสดปรากฏตัวขึ้น ก็ทำให้ผู้คนต่างพร้อมใจกันหวนคิดไปถึงชายหนุ่มในชุดผ้าไหมที่ควบม้าไปมาด้วยท่าทางยโส มั่นใจในตัวเองและหลงมัวเมาในสตรีเพศคนนั้น แล้วยิ่งทำให้นึกทอดถอนใจหนักขึ้นไปอีก
เช่นเดียวกัน ขบวนส่งตัวเจ้าสาวของจวนเยี่ยก็ต่างไปจากธรรมดาเช่นเดียวกัน เดิมทีควรเป็นเยี่ยหรง ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลเป็นผู้ออกมาส่งตัวพี่สาว แต่กลับแตกต่างจากคราวส่งตัวเยี่ยอิ๋งโดยสิ้นเชิง ที่หน้าประตูใหญ่จวนเยี่ยมีบุรุษที่งดงามและต่างมีเอกลักษณ์ของตนเองอยู่ถึงหกคน คนที่อยู่หน้าสุดแน่นอนว่าต้องเป็นสวีชิงเฉินและสวีชิงเจ๋อ ด้านหลังเขาทั้งสองคือสวีชิงเฟิงและสวีชิงปั๋ว สองคนสุดท้ายถึงได้เป็นสวีชิงเยี่ยนและเยี่ยหรง คุณชายตระกูลสวีแต่ละคนบ้างก็มีมาดของบัณฑิตขงจื้อ บ้างก็สงบนิ่งเยือกเย็น บ้างก็สง่างามเป็นธรรมชาติ บ้างก็ดูสดใสขี้เล่น แต่ทุกคนแม้แต่คนที่อายุน้อยที่สุดอย่างสวีชิงเยี่ยนยังดูฉลาดหลักแหลม จนทำให้เยี่ยหรงถูกผู้คนมองข้ามไปชั่วขณะ ทำได้เพียงยืนอยู่ข้างสวีชิงเยี่ยนเงียบๆ เท่านั้น
ฮว่าเทียนเซียงและฉินเจิงประคองเจ้าสาวให้เดินออกจากประตูใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ทำจากผ้าไหมเฟิ่งหวางยามอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ก็ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงกันไปอีกครั้ง
แน่นอนว่าวันนี้ย่อมเป็นวันที่คึกคักที่สุดของเมืองหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แน่ใจว่าด้วยเพราะยศศักดิ์และฐานะของตำหนักติ้งอ๋อง หรือด้วยเพราะคนที่มาร่วมงานแต่งงานต่างมีฐานะไม่ธรรมดา เพราะแม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังได้พาฮองเฮาและไทเฮามาร่วมงานแต่งครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง และก็ไม่ได้มาร่วมงานแต่งงานในฐานะประธาน เพราะคนที่เป็นประธานในงานแต่งงานครั้งนี้คือองค์หญิงซีฝู ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องเอ่ยเรียกด้วยความเคารพว่าเสด็จป้า
ตำหนักติ้งอ๋องที่ไม่เปิดรับแขกมาเจ็ดแปดปี มาวันนี้แขกเหรื่อมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้า องค์หญิงนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าผู้อื่น คอยเอ่ยต้อนรับและพูดคุยกับแขกทั้งหลายที่เข้ามาแสดงความยินดีในงาน ม่อจิ่งฉีพร้อมด้วยฮองเฮานั่งพูดคุย เป็นเพื่อนองค์หญิงอยู่ข้างๆ ถึงแม้องค์หญิงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ด้วยอิทธิพลขององค์หญิงแม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังต้องเคารพยำเกรง ถึงอย่างไรจึงมิอาจล่วงเกินได้ง่ายๆ
“ทูลฝ่าบาท ทูลองค์หญิง ได้ฤกษ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านประจำตำหนักเข้ามาทูลรายงาน แขกเหรื่อในงานต่างพร้อมใจกันเงียบเสียง ม่อจิ่งฉีหันมององค์หญิงผู้มีเกศาเป็นสีขาวทว่ายังคงมีร่างกายกระฉับกระเฉงแข็งแรง แล้วกล่าวพร้อมยิ้มน้อยๆ “ถ้าเช่นนั้น ก็เริ่มพิธีกันเลยดีหรือไม่ เสด็จป้า”
องค์หญิงซีฝูพยักหน้า ก่อนยืนขึ้นพูดกับแขกทุกคนว่า “เชิญฮ่องเต้ ไทเฮา ฮองเฮาและแขกเหรื่อทุกท่านออกไปร่วมเป็นสักขีพยานพร้อมกับข้าเถิด”
ห้องโถงสำหรับประกอบพิธีที่ตั้งอยู่ตรงกลางของตำหนักได้รับการจัดแต่งไว้พร้อมแล้ว เปลวไฟจากเทียนแดงพวยพุ่ง เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นมงคล เสด็จพระองค์หญิงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ฮ่องเต้และไทเฮานั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวา ส่วนแขกเหรื่อท่านอื่นๆ ก็นั่งลดหลั่นกันตามลำดับฐานะของตนเอง สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีที่มีแม่สื่อประคองเข้ามาในห้องโถง เดิมทีควรเป็นคู่ชายหนุ่มผู้เก่งกาจกับหญิงสาวผู้เลอโฉม แต่เจ้าบ่าวกลับต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น จึงทำให้หลายคนอดนึกเศร้าใจไม่ได้ เช่นเดียวกันมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเสียดาย หากติ้งอ๋องไม่ได้อยู่ในสภาพเช่นนี้ คงได้ออกเรือนแต่งงานกับหญิงสาวที่เพียบพร้อมทั้งความสามารถและรูปลักษณ์ไปนานแล้ว คงไม่ต้องรอถึงตอนนี้ แล้วค่อยมาแต่งงานกับบุตรสาวของท่านเจ้ากรมธรรมดาๆ คนหนึ่ง
“ติ้งอ๋องขาทั้งสองข้างไม่อำนวย เช่นนี้การประกอบพิธีจะไม่ขาดความศักดิ์สิทธิ์ไปหลายส่วนหรือ”
อยู่ดีๆ ก็มีน้ำเสียงเอ่ยล้อเลียนดังขึ้นในห้องโถง ประหนึ่งเป็นการสาดน้ำอันเย็นเฉียบลงบนไฟที่กำลังปะทุอยู่อย่างร้อนแรง ภายในห้องโถงประกอบพิธีมงคลเงียบกริบลงทันที ทุกคนในงานต่างอึ้งไปพร้อมหันไปมองยังที่มาของเสียงนั้น ซึ่งเป็นตำแหน่งของบรรดาทูตจากทั่วสารทิศที่มาร่วมงานมงคลครั้งนี้ หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่กำลังจ้องตรงมาที่ม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าสาแก่ใจ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนพูดประโยคเมื่อสักครู่ ดูเหมือนเขาจะไม่คิดว่าเป็นการเสียมารยาท ยิ่งเมื่อเห็นสายตาทุกคู่กำลังมองมา ก็ยิ่งดูจะภูมิใจเข้าไปใหญ่
“ท่านนั้นคือองค์ชายสิบเอ็ดแห่งแคว้นเป่ยหรงนี่ ได้ข่าวว่าเขาเป็นคนซื่อบื้อคนหนึ่ง เหตุใดท่านอ๋องเป่ยหรงจึงได้ส่งเขามาเป็นทูตที่ต้าฉู่ได้นะ” เยี่ยหลีที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ม่อซิวเหยา ได้ยินเสียงแขกที่เอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ดังลอยมา
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าแคว้นเป่ยหรงก็มีความแค้นต่อตำหนักติ้งอ๋องอยู่ไม่น้อย แม้หลายปีนี้จะสานสัมพันธ์อันดีกับต้าฉู่ของเราแล้ว แต่คงจะยังนึกแค้นใจกับเรื่องในอดีตไม่หาย ถึงได้ส่งเจ้าทึ่มนี่มาเพื่อทำให้ติ้งอ๋องขายหน้า”
“ฝ่าบาททรงอนุญาตให้คนเช่นนี้มาร่วมงานได้อย่างไรกัน…”
“คนเขามาเป็นทูต เดินทางมาเป็นร้อยเป็นพันลี้คงจะไม่ให้ร่วมงานก็คงไม่ได้กระมัง”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ ม่อจิ่งฉีหันไปพูดกับองค์ชายจากเป่ยหรงที่นั่งอยู่ด้านล่างด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “องค์ชายสิบเอ็ด พิธีในงานแต่งงานของต้าฉู่เราไม่ได้มีธรรมเนียมที่จะต้องคุกเข่าคำนับ ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องอันใดที่ติ้งอ๋องทำการไม่สะดวกหรอก”
ทว่าดูเหมือนองค์ชายจากเป่ยหรงไม่คิดที่จะให้เกียรติฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ จึงได้ขมวดคิ้วดกดำของตน ก่อนพูดเสียงดังด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เมื่อตอนข้าอยู่เป่ยหรงเคยได้ยินชื่อเสียงอันลือเลื่องของติ้งอ๋อง ใครจะรู้ว่าวันนี้จะได้มาเห็นคนพิการที่ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น! ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่คงไม่ได้กำลังล้อพวกเราเล่นกระมัง”
พอสิ้นประโยค ไม่เพียงม่อจิ่งฉีที่หน้าเปลี่ยนสี แม้แต่ขุนนางของต้าฉู่ทุกคนก็พลอยหน้าเปลี่ยนสีไปด้วย
เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อจากแคว้นซีหลิง นาม เหลยเถิงเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ กระแอมไอขึ้นทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายสิบเอ็ด ท่านนี้คือติ้งอ๋องแห่งต้าฉู่ตัวจริง เพียงแต่เมื่อเจ็ดปีก่อนประสบเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น วันนี้พวกเรามาร่วมเป็นสักขีพยาน ไม่ได้มาเพื่อทำลายบรรยากาศ มา! ข้าขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก”
แคว้นเป่ยหรงเดิมทีเป็นแคว้นอนารยะที่ไร้วัฒนธรรม แต่องค์ชายสิบเอ็ดคนนี้ยิ่งถือเป็นคนหยาบช้าของแคว้นเป่ยหรง จึงไม่คิดรามือเพียงเพราะเหล้าของเหลยเถิงเฟิงเพียงจอกเดียว เขาเพียงมองสำรวจม่อซิวเหยาหัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ ก่อนหัวเราะหึๆ แล้วกล่าวว่า “ข้านึกออกแล้ว ดูเหมือนอาการบาดเจ็บของติ้งอ๋องจะเกิดจากแม่ทัพเฟยฉีแห่งเป่ยหรงของเรา เมื่อก่อนเคยได้ยินแม่ทัพเฟยฉีพูดกับข้าอยู่บ่อยๆ ว่าน่าเสียดาย อีกนิดเดียวก็จะจับ…”
“พอได้แล้ว!” องค์หญิงซีฝูโกรธจนสีพระพักตร์ดำคล้ำไปหมด จนไม่ได้สนใจว่าองค์ชายเป่ยหรงเป็นทูตที่มาจากต่างแคว้น องค์หญิงเอ่ยเสียงเย็นว่า “หากองค์ชายเป่ยหรงจะมาร่วมงานก็ช่วยนั่งอยู่เงียบๆ หากไม่ใช่ก็เชิญออกไปเสีย!”
องค์ชายจากเป่ยหรงนิ่งอึ้งไป อ้าปากเหมือนอยากจะพูดสิ่งใดกับองค์หญิง แต่ถูกผู้ติดตามสองคนที่อยู่ข้างๆ กดไว้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้องค์ชายจากเป่ยหรงจะเต็มไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาให้มีเรื่องอีก
ส่วนคนอื่นๆ เมื่อเห็นสีหน้าขององค์หญิงไม่ดีเช่นนี้ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอันใดอีกเช่นกัน ม่อจิ่งฉีกระแอมเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “เสด็จป้า เริ่มพิธีกันเถิด”
สาวตาขององค์หญิงซีฝูนิ่งไป ก่อนหันไปพยักหน้าน้อยๆ ให้ผู้ทำพิธีที่ยืนอยู่อีกด้าน
“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน…!”
“สอง คำนับพ่อแม่…!”
“สาม บ่าวสาวคำนับกันและกัน…!”
เยี่ยหลีที่มีผ้าสีแดงสดคลุมหน้าอยู่ เหลือบมองคนข้างตัวที่มือข้างหนึ่งกำผ้าไหมแดงในมือแน่น ก็ได้แต่นึกทอดถอนในใจ อันที่จริงตั้งแต่ได้รู้จักกับม่อซิวเหยามาจนถึงตอนนี้ นางคิดมาตลอดว่าม่อซิวเหยาสมบูรณ์แบบราวกับภาพฝันที่ไม่มีอยู่จริง ถึงแม้ตัวจะพิการขาทั้งสองข้าง ใบหน้าเสียโฉม ทั้งยังได้ยินว่าแม้แต่ร่างกายก็ยังไม่แข็งแรง แต่เขากลับแสดงออกมาได้อย่างไร้ที่ติ ไม่มีการดูถูกตนเอง ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจ และไม่มีความสิ้นหวังอยู่เลย ไม่ว่าเวลาใดแผ่นหลังนั้นก็จะตั้งตรงเสมอ ถึงแม้จะนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแต่กลับดูเหมือนเขาอยู่สูงกว่าทุกคนหนึ่งขั้นเสมอ นึกย้อนไปถึงที่ได้ยินใครต่างเล่าว่ากันว่าสมัยเด็กๆ เขาเลือดร้อนเพียงใด ยิ่งทำให้รู้สึกว่าม่อซิวเหยาในตอนนี้เป็นเพียงภาพในจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริง จากร้อนแรงดั่งไฟกลายเป็นนิ่งเย็นดุจหยก เขาต้องผ่านความเจ็บปวดเช่นไร จึงสงบลงได้เช่นนี้ มาตอนนี้เยี่ยหลีก็ได้รับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของม่อซิวเหยา อารมณ์โกรธแค้นและโหดร้าย
เยี่ยหลียิ้มขื่นๆ งานแต่งงานของนาง กลับได้สัมผัสถึงอารมณ์ด้านมืดของสามีตนเองในโถงพิธี ต่อให้ไม่ได้เกิดขึ้นกับนาง แต่ก็ทำให้อดรู้สึกหดหู่ขึ้นมาน้อยๆ ไม่ได้
“เสร็จพิธี…ส่งตัวเข้าห้องหอ!”
ในห้องที่ประดับตกแต่งไปด้วยสีแดงสด เทียนคู่มังกรหงส์ลุกโชนอยู่เงียบๆ เยี่ยหลีนั่งเงียบอยู่บนเตียงใหม่ที่ปักเป็นรูปหงส์ร่อนมังกรรำเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล นางรู้ว่าม่อซิวเหยานั่งมองนางอยู่ไม่ไกลจากเตียงมากนัก แต่ดูเหมือนเขาจะไม่คิดเข้ามาใกล้กว่านั้น
“ข้าถอดนี่ออกได้หรือไม่” เมื่อทนรอเจ้าบ่าวไม่ไหว นางจึงต้องเอ่ยปากถามด้วยตนเอง ผ่านไปครู่หนึ่ง ม่อซิวเหยาจึงได้ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ ผ้ามงคลเปิดออกพร้อมแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นข้างหน้า เมื่อทั้งสองได้เห็นอีกฝ่ายต่างก็ตกตะลึงไป ม่อซิวเหยาที่ปกติมักอยู่ในชุดสีอ่อน เมื่อเห็นเขาใส่ชุดสีแดงสดเช่นนี้ทำให้เยี่ยหลีไม่คุ้นชินสักเท่าไร เพียงแต่…ชายผู้นี้ใส่ชุดสีอะไรก็ดูไม่น่าเกลียด ส่วนม่อซิวเหยาเหม่อมองอยู่เพียงครู่ ในดวงตาเรียบนิ่งคู่นั่นดูตื่นตะลึงในความงาม แต่เพียงชั่วแวบเดียวก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองนั่งมองกันนิ่ง ต่างรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย
เยี่ยหลีโน้มตัวไปดึงมือซ้ายของม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาตกใจนึกอยากดึงมือที่กำเป็นหมัดแน่นอยู่กลับทันที
“แบออกเถิด” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเรียบๆ
นิ้วมือจึงค่อยๆ คลายออก มือใหญ่หนานั้นไม่เหมือนกับมือของชนชั้นสูงที่มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายแม้แต่น้อย ซ้ำด้านบนยังมีรอยด้านและมีแผลเป็นอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ร้ายแรงอันใด เยี่ยหลีจำได้ว่า เคยมีเพื่อนสมัยเด็กที่โตมาด้วยกันคนหนึ่งบอกนางว่ามือของผู้ชายควรเป็นอย่างไร ควรมีรอยด้านบ้าง นั่นหมายความว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่ไม่หยิบจับทำอันใดเลย และหากมีรอยแผลเป็นที่ไม่สะดุดตานัก แสดงว่าชายผู้นั่นไม่ได้บอบบางและถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนู และให้ดีที่สุดเลยคือมีทั้งหมดนั่นแต่ยังเป็นมือที่ดูสวยอยู่ มือเช่นนั้นจึงจะทำให้ผู้หญิงรู้สึกปลอดภัย ทั้งยังรู้สึกเจริญหูเจริญตาอีกด้วย ในเวลานี้มือข้างนี้กลับมีรอยแดงปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามืออย่างชัดเจน ซ้ำรอยแดงลึกทั้งสี่รอยยังค่อยๆ มีเลือดซึมออกมาอีกด้วย แต่บุรุษข้างหน้านางกลับทำเหมือนไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาแบมือปล่อยให้นางสำรวจได้ตามใจ
เยี่ยหลีก้มลงดูรอยแผลบนฝ่ามือของเขา ยื่นปลายนิ้วออกไปสัมผัสเบาๆ จากนั้น…ใช้นิ้วกดลงไปเต็มแรง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าชายหนุ่มที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย “ไม่เจ็บหรือ”
ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ มองสีหน้าประหลาดใจของเยี่ยหลีด้วยสีหน้าที่ดูอบอุ่นขึ้นหลายส่วน “นี่เรียกว่าเจ็บอันใดได้ ตอนที่เจ็บกว่านี้ก็ผ่านมาได้แล้ว”
เยี่ยหลีนึกเชื่อตามนั้น สำหรับคนที่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว บาดแผลแค่นี้ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นางลุกยืนขึ้นไปค้นกล่องเล็กๆ ที่ใช้ประจำออกมาจาก**บสินเดิมของตน ก่อนนั่งลงบนขอบเตียง เปิดกล่องออก นำสำลีและผ้าขาวสะอาดๆ พร้อมยาออกมาทาให้เขา “ต่อให้โกรธอย่างไรก็ไม่ควรทำร้ายตัวเองเช่นนี้ ข้ายังคิดว่าท่านชินแล้วเสียอีก”
ริมฝีปากม่อซิวเหยามีร่องรอยขมขื่น ก่อนยิ้มอ่อนๆ แล้วพูดว่า “เจ้าก็เห็นแล้วนี่ ว่าที่จริงแล้วข้ายังไม่ชิน” เขาก็คิดว่าตนเองชินนานแล้ว อันที่จริงเขาใช้เวลาตลอดเจ็ดปีในการทำให้ตัวเองชิน ชินกับการที่ต่อไปเขาจะไม่สามารถขี่ม้าออกไปสู้รบยังสมรภูมิได้อีก ชินกับการที่จะต้องใส่หน้ากากเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน มิเช่นนั้นรอยแผลเป็นบนใบหน้าคงทำให้ผู้พบเห็นส่งสายตาหวาดกลัวหรือเห็นใจมาให้ เขาคิดมาตลอดว่าเขาทำมันได้ดี จนมาวันนี้ ตอนอยู่ในโถงประกอบพิธี เมื่อได้ยินองค์ชายแห่งเป่ยหรงตั้งใจพูดจาตอกย้ำเขาอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนั้น เขาถึงได้เข้าใจว่า ตนเองยังห่างไกลอีกมาก วันนี้เขาไม่เพียงทำให้ตัวเองเป็นตัวตลกเท่านั้น แต่ยังทำให้เจ้าสาวหมาดๆ ของเขาถูกหัวเราะเยาะไปด้วย ถึงแม้ภรรยาของเขาจะไม่ได้โทษเขาเลยก็ตาม
เยี่ยหลีรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดของบุรุษตรงหน้าอย่างชัดเจน นางจึงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าท่านรู้เสียอีกว่า ตั้งแต่ที่พวกเราตัดสินใจยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ ข้าก็เตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ไว้แต่แรกแล้ว”
ม่อซิวเหยาตอบว่า “เจ้ารู้แต่แรกแล้วหรือว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น”
เยี่ยหลียิ้มแล้วส่ายหน้า “ต่อให้ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็คงเกิดเหตุการณ์อื่นอยู่ดี หรือว่าข้าสามารถคาดหวังว่า เมื่อเราแต่งงานกันแล้วจะสงบสุขราบรื่น ไม่มีอันใดมาทำให้ขุ่นเคืองใจอีกเลยอย่างนั้นหรือ” เพราะต่อให้เป็นครอบครัวคนทั่วไปก็ยังมีเรื่องให้ต้องปวดหัวกันทุกบ้าน นับประสาอันใดกับบ้านชนชั้นสูงเช่นนี้
ม่อซิวเหยามองนางเงียบๆ ครู่ใหญ่จึงได้พูดขึ้นว่า “ข้าไม่อาจสัญญากับเจ้าได้ว่าจะไม่มีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเลยตลอดชีวิต แต่ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถให้เจ้ามีชีวิตอย่างที่เจ้าอยากมีได้”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “ข้าเชื่อใจท่าน” เยี่ยหลีค่อยๆ ทายาจนเสร็จ ก่อนเก็บยาเข้าที่ แล้วเอ่ยตอบยิ้มๆ
“เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เจ้ารีบพักผ่อนเถิด” ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ
เยี่ยหลีอึ้งไป แล้วรีบเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างรวดเร็ว “ดีสิ ท่านก็รีบพักผ่อนนะ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าก่อนร้องเรียกอาจิ่นให้เข้ามาเข็นตนเองออกไป ทั้งยังไม่ลืมที่จะหันไปสั่งพวกชิงซวงให้เข้ามาคอยรับใช้อีกด้วย
[1] ยามซื่อ เท่ากับช่วงเวลาประมาณ 9.00 – 10.59 น.