ข่าวลือเรื่องคุณหนูสามตระกูลเยี่ย ชายาติ้งอ๋องในอนาคตถูกโจรลักพาตัวไปนั้น เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตั้งแต่เยี่ยหลีถูกจับไปได้ไม่ทันไรข่าวลือนี้แพร่ไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ยิ่งพยายามปิดเท่าไรก็ยิ่งแพร่กระจายรุนแรงและรวดเร็วขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ทั้งตระกูลเยี่ย ตระกูลสวี และตำหนักติ้งอ๋องต่างไม่มีใครออกมาแสดงท่าทีใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
จนวันรุ่งขึ้นเมื่อเยี่ยหลีนั่งรถม้ากลับมาจากคฤหาสน์ตระกูลสวีพร้อมด้วยของรางวัลที่ได้รับพระราชทานมาจากในวัง โดยมีคุณชายสองและคุณชายสามตระกูลสวีเป็นผู้พากลับมาส่งยังบ้านตระกูลเยี่ยนั้น จึงทำให้ผู้คนเริ่มไม่แน่ใจกับข่าวลือดังกล่าว เพราะทุกคนที่ได้เห็นคุณหนูสามตระกูลเยี่ยทั้งโดยบังเอิญและตั้งใจ ต่างเห็นว่าไม่ว่าจะสีหน้าหรือสภาพร่างกายของนางล้วนดูเป็นปกติดีทุกอย่าง ไม่เหมือนคนเพิ่งผ่านการถูกลักพาตัวมาหมาดๆ เลยแม้แต่น้อย และแม้แต่สีหน้าของคุณชายตระกูลสวีทั้งสองคน โดยเฉพาะคุณชายสามที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ใจร้อนและเก็บอารมณ์ไม่อยู่ที่สุด ก็ยังมีสีหน้าเป็นปกติไม่ต่างไปจากเดิม หรือว่าข่าวเสียๆ หายๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวานจะเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น
เยี่ยหลีนั่งฟังชิงซวงเล่าเรื่องที่คนข้างนอกวิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ แต่ในใจกลับนึกขัน ที่พี่สามออกมาให้ผู้คนเห็นหน้าด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่งเช่นนี้ได้ เป็นเพราะเมื่อวานเขาได้เอาความโกรธกว่าครึ่งไปลงยังพวกโจรที่ตาไร้แววนั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน ระหว่างที่ลงจากภูเขามาพร้อมม่อซิวเหยา รังโจรบนภูเขานั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แล้วยังท่าทางอาฆาตแค้นของพี่สามนั่นอีก เยี่ยหลีนึกเชื่อทันทีว่า ตระกูลสวีที่มีแต่บัณฑิตมารุ่นต่อรุ่นนี้คงจะมีนักรบสายบู๊เกิดขึ้นเป็นแน่แล้ว ม่อซิวเหยาจัดการกับโจรพวกนั้นเช่นไร เยี่ยหลีไม่คิดที่จะสอบถาม เพราะไม่ว่าโจรกลุ่มนั้นจะเป็นโจรที่ร่อนเร่เข้ามาในเมืองหลวง หรือจะเป็นโจรที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเมืองหลวงก็ตาม การที่มีกลุ่มคนเช่นนี้น้อยลงอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องดี
“คุณหนูสามตระกูลเยี่ย”
เสียงใสของชายหนุ่มดังขึ้นจากนอกหน้าต่าง ชิงหลวนรีบชักกระบี่หันไปทางชายหนุ่มที่โผล่มาที่หน้าต่างทันที
เยี่ยหลีอมยิ้มก่อนกดมือชิงหลวนให้ลดอาวุธลง แล้วหันไปเอ่ยทักทายว่า “คุณชายหาน สบายดีหรือ” ชายที่ปรากฏขึ้นที่หน้าต่างคือหานหมิงเย่ว์ โจรลักพาตัวที่เพิ่งแยกกันเมื่อวาน
หานหมิงเย่ว์ยิ้มขื่น “คุณหนูสามเห็นสภาพข้าเช่นนี้แล้ว ถือว่าดีหรือ” เมื่อครู่ที่เข้ามาในเรือนส่วนนี้เขารู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาจากมุมมืด ไม่สงสัยเลยว่าหากตนเกิดผลีผลามกระทำการใดไป เจ้าของเทียนอี้เก๋ออย่างเขาคงได้สิ้นชื่อจากโลกนี้ไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นแน่
หานหมิงเย่ว์หยิบกล่องไม้แกะสลักออกมาจากแขนเสื้อก่อนวางลงบนขอบหน้าต่าง “สิ่งนี้ให้คุณหนูสามเป็นค่าปลอบขวัญ และถือเป็นของขวัญแสดงความยินดีสำหรับงานสมรสของคุณหนูสามและซิวเหยาด้วย วันงานข้าไม่แน่ใจว่าจะได้มาทันดื่มเหล้ามงคลของท่านทั้งสองหรือไม่”
เยี่ยหลีพยักหน้าทั้งที่ยังไม่ได้เปิดกล่องดู แล้วเอ่ยถามว่า “คุณชายหานเตรียมจะไปจากเมืองหลวงแล้วหรือ”
หานหมิงเย่ว์ยิ้ม “ช่วงนี้ข้าประสบเรื่องที่ทำให้เสียขวัญอยู่ไม่น้อย อยู่ที่เจียงหนานทำให้ข้าสบายใจมากกว่า หากมีเวลาข้าขอเชิญคุณหนูสามกับซิวเหยามาที่เจียงหนาน ข้าจะเป็นเจ้าบ้านคอยต้อนรับดูแลอย่างดี”
เยี่ยหลียิ้ม “คุณชายหานพูดเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกละอายยิ่งนัก”
หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้น…เรื่องที่เข้าใจผิดกันก่อนหน้านี้ ถือว่าเลิกแล้วต่อกันได้หรือไม่”
สายตาเยี่ยหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องเข้าใจผิดระหว่างข้ากับท่านถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ส่วนเรื่องเข้าใจผิดระหว่างท่านกับม่อซิวเหยาก็เป็นเรื่องของพวกท่านแล้ว”
หานหมิงเย่ว์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รู้ดีว่าตนคงไปบังคับอะไรใครไม่ได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกชื่นชมเยี่ยหลีที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เขาจึงไม่รั้งอยู่ต่อไป ยกมือขึ้นคารวะแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นวันนี้ ข้าน้อยขอลาก่อน”
“ขอให้เดินทางปลอดภัย ข้าขอไม่ส่ง”
รอจนหานหมิงเย่ว์จากไปแล้ว ชิงหลวนจึงได้เดินไปหยิบกล่องที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างพร้อมพูดด้วยความไม่พอใจว่า “คุณหนูไปเกรงใจคนพรรค์นั้นทำไมกันเจ้าคะ”
เยี่ยหลีหมุนตัวลงนั่ง “เมื่อวานเขาก็เกรงใจพวกเรามากแล้ว” เยี่ยหลีรู้ดีว่า หากไม่ใช่เพราะหานหมิงเย่ว์นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับม่อซิวเหยา พวกนางคงไม่มีโอกาสรอดกลับมาอย่างปลอดภัยครบสามสิบสอง จะว่าหานหมิงเย่ว์เกรงม่อซิวเหยานางยังพอเชื่อ แต่หากจะว่าหานหมิงเย่ว์กลัวม่อซิวเหยาจริงๆ ละก็ นางไม่นึกเชื่อในข้อนี้
“ถ้าไม่ใช่เพราะเขา คุณหนูจะ…พวกคนข้างนอกนั่นยังพูดกันเรื่องที่คุณหนูถูกลักพาตัวไปกันอยู่เลยนะเจ้าคะ ลือกันไม่น่าฟังทั้งนั้น…” ชิงหลวนไม่คิดว่าหานหมิงเย่ว์ปฏิบัติต่อพวกนางด้วยความเกรงใจแม้สักกระผีก หากไม่ใช่เพราะเขา คุณหนูจะถูกคนอื่นวิจารณ์เสียๆ หายๆ ให้ได้หัวเราะเยาะกันทั้งเมืองได้อย่างไร
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากไม่ใช่เขาก็เป็นไปได้ที่จะเป็นคนอื่น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะบังเอิญรู้จักกับติ้งอ๋องนะ” เยี่ยหลีพูดพร้อมรับกล่องจากชิงหลวนมาเปิดดู นางประหลาดใจไม่น้อย ในกล่องมีตัวเงินปึกใหญ่วางอยู่เป็นระเบียบ เป็นตั๋วทองหนึ่งหมื่นตำลึงสองใบ แล้วยังมีตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงอีกสิบกว่าใบ
ชิงหลวนเห็นเข้ายังอดร้องขึ้นด้วยความตกใจไม่ได้ “คุณหนู…นี่…”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นสีหน้าดูลำบากใจไม่น้อย ตั๋วเงินสองหมื่นตำลึงเท่ากับเงินกว่าสองแสนตำลึง เงินจำนวนมากเช่นนี้แม้แต่เยี่ยหลีก็รู้สึกไม่สบายใจที่จะรับไว้ ข้างๆ ตั๋วเงินยังมีเครื่องประดับหยกขาวคู่หลงเฟิ่งวางอยู่ เพียงดูจากคุณภาพของหยกก็รู้แล้วว่าต้องมีมูลค่าไม่ธรรมดาแน่นอน เยี่ยหลีนิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนปิดกล่องลงอีกครั้งแล้วยื่นส่งให้ชิงซวง “เตรียมตัวที ข้าจะไปตำหนักติ้งอ๋อง”
ชิงซวงยกประคองกล่องนั้นอย่างระมัดระวัง เมื่อสักครู่นางได้เห็นเช่นกัน ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากเช่นนั้นมาก่อนเลย ฮือๆๆ ช่างน่ากลัวเสียจริงๆ…
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
“อาหลี! อาหลี…” เสียงมู่หรงถิงดังเข้ามาตั้งแต่นางยังเดินมาไม่ถึงประตู
เยี่ยหลีฉีกยิ้ม พร้อมลุกขึ้นออกไปต้อนรับ ฉินเจิง ฮว่าเทียนเซียง รวมถึงฉินอวี่หลิง น้องสาวท่านฉินมู่ ผู้ว่าการเมืองหลวงที่เคยพบหน้ากันเพียงครั้งเดียวก็มาเยี่ยมนางพร้อมกันด้วย
มู่หรงถิงเดินนำหน้าเข้ามาในห้องก่อน จับมือเยี่ยหลีแล้วถามขึ้นว่า “อาหลี เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีฉีกยิ้มกว้าง “หากข้าเป็นอันใดจะมายืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พวกเจ้ามากันได้อย่างไรหรือ”
ฉินเจิงปิดปากยิ้มน้อยๆ “ถิงเอ๋อร์ไปลากข้ากับเทียนเซียงให้มาหาเจ้าด้วยกันแต่เช้า ข้าบอกนางแล้วว่าเจ้าไม่ได้เป็นอะไร แต่นางก็ยังดื้อดึงว่าไม่วางใจ อย่างไรก็จะมาหาเจ้าให้ได้ ระหว่างทางพวกเราพบคุณหนูอวี่หลิงเข้า จึงมาพร้อมกันเสียเลย”
มู่หรงถิงกอดเยี่ยหลีไว้พร้อมกับชูกำปั้นขึ้นโบกไปมา “อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าคนที่ปล่อยข่าวลือไร้สาระพวกนั้นเป็นใคร ข้าจะจัดการให้แม้แต่พ่อแม่เขายังจำหน้าไม่ได้เลย คอยดู! ทำเกินไปแล้วจริงๆ แย่กว่าเจ้าบ้าเหลิ่งเฮ่าอวี่นั่นเป็นหมื่นเท่า!” ทุกคนต่างอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เยี่ยหลีอมยิ้มพูดกับฉินอวี่หลิงว่า “คุณหนูฉิน ขอบใจท่านมากที่ตั้งใจมาเยี่ยมข้า”
ฉินอวี่หลิงยิ้มอายๆ “อันที่จริง…ข้าจะมาขอโทษคุณหนูเยี่ยแทนพี่ชายของข้า พี่ข้ามาดูแลจวนว่าการของเมืองหลวงได้ไม่เท่าไรก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูเยี่ย…”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ดูจากสีหน้าของฉินอวี่หลิงก็รู้เลยว่านางได้รับมอบหมายจากฉินมู่ให้มาเยี่ยมด้วยตนเอง ความจริงแล้วจะไปโทษฉินมู่ผู้ว่าการเมืองหลวงก็คงไม่มีเหตุผลนัก เพราะแม้แต่ชาติที่แล้วของนางที่วิทยาการก้าวไกลกว่านี้แต่เรื่องที่คนกระทำความผิดกลับไม่เคยลดน้อยลงเลย นับประสาอะไรกับสมัยนี้ที่กำลังความสามารถของคนมีจำกัด จะให้ดูแลอย่างทั่วถึงได้อย่างไร
“ใต้เท้าฉินประหนึ่งบิดามารดาของราษฎรในเมืองหลวง มุ่งมั่นทำเพื่อราษฎรจนได้ชื่อว่าตัดสินคดีอย่างไม่ไว้หน้าใคร เรื่องนี้ก็เป็นแค่ข่าวลือไร้สาระเท่านั้น คุณหนูฉินอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย ข่าวลือเช่นนี้ขึ้นอยู่กับผู้รับ หากไม่ไปใส่ใจคนพวกนั้นก็คงเบื่อและเลิกลือกันไปเอง”
เมื่อได้ยินเยี่ยหลีกล่าวเช่นนี้ ฉินอวี่หลิงก็สบายใจขึ้นมาก ตั้งแต่เล็กจนโตนางกับพี่ชายพึ่งพากันและกันประหนึ่งชีวิต ถึงแม้พี่ชายนางจะไม่ได้พูดออกมา แต่นางรู้ดีว่าเรื่องคราวนี้เกี่ยวพันไปถึงตำหนักติ้งอ๋อง จวนเจ้ากรม และตระกูลสวี พี่ชายของตนเป็นเพียงผู้ว่าขั้นสาม ซ้ำตระกูลฉินก็ไม่มีใครคอยหนุนหลัง หากพลาดพลั้งไปเพียงนิดก็มีโอกาสถูกลากลงไปตายแทนได้
“ขอบคุณเจ้ามาก คุณหนูเยี่ย”
ฮว่าเทียนเซียงยิ้ม “คุณหนูฉิน ท่านไม่ต้องขอบคุณนางแล้วล่ะ คนชั้นต่ำพวกนั้นลับหลังนึกริษยาอาหลี จึงอยากทำลายชื่อเสียงของนาง ใต้เท้าฉินก็คงมิอาจจัดการปากของทุกคนได้มิใช่หรือ อาหลี เจ้าแต่งตัวเช่นนี้ กำลังเตรียมตัวจะออกไปไหนหรือ” ฮว่าเทียนเซียงสังเกตเห็นการแต่งเนื้อแต่งตัวของเยี่ยหลี จึงได้เอ่ยปากถามขึ้น “พวกเราคงไม่ได้มาผิดเวลากระมัง”
“เมื่อครู่คิดจะไปตำหนักติ้งอ๋องสักหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด ไว้ค่อยไปก็ได้” เยี่ยหลีตอบ
“อ้อ” มู่หรงถิงนึกบางสิ่งขึ้นได้ก่อนยิ้มอย่างมีเลศนัย “ที่แท้อาหลีของพวกเราก็สนิทสนมกับติ้งอ๋องถึงเพียงนั้นแล้วสินะ”
เยี่ยหลีกลอกตามองอย่างไม่เห็นขันด้วย มู่หรงถิงถามกลั้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจว่า “เหตุใดต้องไปตำหนักติ้งอ๋องด้วยตัวเองด้วยเล่า ส่งจดหมายไปเชิญติ้งอ๋องออกมาไม่ง่ายกว่าหรือ จะได้ให้พวกประสงค์ร้ายปากมากพวกนั้นรู้กันด้วยว่า ต่อให้พยายามเพียงใดก็ไม่อาจแยกอาหลีกับติ้งอ๋องออกจากกันได้!”
ฉินอวี่หลิงมองมู่หรงถิงด้วยความสงสัย “คุณหนูมู่หรงทราบว่าใครเป็นคนทำหรือ”
“เรียกข้าว่ามู่หรงก็ได้” ก่อนพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “จะมีใครอีกเล่า ก็คงเป็นหลีอ๋องที่ไม่อยากเห็นอาหลีได้ดีเป็นแน่ ชั่วชีวิตข้ายังไม่เคยพบเคยเห็นบุรุษที่ไหนใจแคบเช่นเขามาก่อนเลย ช่างเหมาะสมกับเยี่ยอิ๋งยิ่งนัก!”
เยี่ยหลีเงียบไป ครั้งนี้ม่อจิ่งหลีถูกเข้าใจผิดเสียแล้ว แต่ใครใช้ให้ตัวเขาหย่อนศีลธรรมจนทำให้ผู้อื่นนึกสงสัยได้ง่ายเช่นนี้เล่า สามคนที่เหลือมองหน้ากันไปมา แต่เมื่อได้เห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของมู่หรงถิง กอปรกับความแค้นระหว่างม่อจิ่งหลีกับเยี่ยหลีแล้ว จึงทำให้ทุกคนต่างเห็นด้วยกับการคาดเดาของมู่หรงถิง แม้แต่ฉินอวี่หลิงยังทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อว่าหลีอ๋องจะเป็นคนเช่นนั้นได้
เรื่องที่หลีอ๋องพื้นอารมณ์เสียนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับในหมู่ชนชั้นสูงในเมืองหลวง แต่หากมีใครได้ลองสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่า ภายหลังงานสมรสท่านหลีอ๋องที่ควรจะดื่มด่ำกับชีวิตข้าวใหม่ปลามันกลับอารมณ์ไม่ดียิ่งกว่าก่อนงานสมรสเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ที่เขาออกจากตำหนักแต่เช้า เขาได้ยินเสียงผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเยี่ยหลีซึ่งควรจะทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างที่สุด แต่กลับพบว่าระหว่างทางมักมีคนส่งสายต่างแปลกๆ มาที่เขาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ หรือไม่เมื่อเห็นเขาผ่านมาก็จะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แม้แต่ตอนที่ไปนั่งจิบชาในโรงน้ำชายังรู้สึกได้ถึงสายตาแอบจ้องมองมาโดยที่ไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็น เกิดเรื่องกับเยี่ยหลี คนที่ควรถูกหัวเราะเยาะ คนที่ควรถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นควรเป็นม่อซิวเหยาถึงจะถูก! เหตุใดเขาจึงรู้สึกประหนึ่งว่าทุกคนกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่กระนั้น
คนในเมืองหลวงโดยมากยังถือว่าใจดี เมื่อพวกเขาเห็นม่อจิ่งหลีผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าทำอะไรน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ได้ จึงเพียงส่งสายตาดูแคลนไปให้เขาแทน เหอะ! คนอะไร ถอนหมั้นคนเขาไปอย่างไม่มีเหตุผลแล้วก็ช่างเถิด นี่ยังทนเห็นเขาได้ดิบได้ดีไม่ได้อีก ก่อนหน้านี้ทำชื่อเสียงเขาเสียหายยังไม่เท่าไร แต่มาตอนนี้ยังมาปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ เช่นนี้อีก หากเป็นหญิงสาวลูกคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่เท่ากับบังคับให้นางไปตายหรอกหรือ คนประเภทนี้ ต่อให้เป็นพระญาติของฮ่องเต้อย่างไรก็ถือได้ว่าเป็นคนสารเลว!