ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 91-3 ลอบโจมตีกลางดึก
“อย่าด่วนยินดีเกินไปนัก รอให้ม่อจิ่งหลีจับต้นชนปลายได้ก่อนว่าเกิดอันใดขึ้น เกรงว่าถึงตอนนั้นผู้ใดก็คงต้านทัพใหญ่ของเขาไว้ไม่อยู่” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้น
อวิ๋นถิงพูดด้วยความตื่นเต้นยินดีว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ลอบโจมตีอีกสักสามสี่รอบดีหรือไม่”
ซย่าซูกลอกตาใส่เขาอย่างไม่เห็นขันด้วย “เจ้าคิดว่าลูกน้องของหลีอ๋องเป็นคนโง่กันหมดอย่างนั้นหรือ ถูกลอบโจมตีไปแล้วหนึ่งครั้งแล้วยังจะให้เจ้าลงมือได้อีกหรือ ไม่แน่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังรอให้เจ้าไปขุดหลุมฝังตัวเองอยู่น่ะสิ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ซย่าซูพูดถูก ครานี้พวกเราใช้กลยุทธ์ใหม่จริงๆ แต่หากม่อจิ่งหลีเกิดตั้งตัวขึ้นมาได้แล้วตรงเข้าบุกเมืองหย่งหลิน ถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราสังหารกองทัพกบฏได้อีกสองสามหมื่นนาย ก็คงมิได้ช่วยอันใด”
อวิ๋นถิงค่อยๆ เรียกสติคืนจากความยินดี จึงเปลี่ยนเป็นร้อนใจจนยกนิ้วมือตนเองขึ้นกัด “เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี กองหนุนจากราชสำนักบ้านั่นเมื่อไรจะมาถึง”
“พระชายา” องครักษ์ลับสามเดินถือจนหมายฉบับหนึ่งเข้ามา เยี่ยพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับทั้งสองว่า “พวกเจ้าไปทำงานกันก่อนเถิด”
อวิ๋นถิงและซย่าซูรับคำพร้อมเอ่ยปากขอตัวออกมา
เยี่ยหลีรับจดหมายจากมือองครักษ์ลับสามมาเปิดอ่าน แรกเริ่มเต็มไปด้วยความยินดี แต่สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นอย่างรวดเร็ว องครักษ์ลับสามมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเยี่ยหลีด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่าอย่างไรทำให้พระชายาที่สุขุมอยู่เป็นนิจมีสีหน้าแปลกไปเช่นนี้
ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้เห็นเยี่ยหลีตบจดหมายฉบับนั้นลงกับโต๊ะ “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เริ่มเตรียมพร้อมเต็มกำลัง!”
“พระชายา เกิดอันใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีกล่าวว่า “เป็นไปได้สูงว่าม่อจิ่งหลีจะโจมตีเมืองหย่งหลินอย่างหนักภายในสองวันนี้”
องครักษ์ลับสามไม่เข้าใจ ถ้าตามที่เขาคาดการณ์ไว้ สองสามวันนี้กองทัพกบฏไม่น่าจะเคลื่อนพลถึงจะถูก
เยี่ยหลีเหลือบมองจดหมายบนโต๊ะ “กองหนุนจะมาถึงแม่น้ำอวิ๋นหลันภายในสามวัน อีกไม่เท่าไรม่อจิ่งหลีก็น่าจะได้รับข่าวนี้ หากเขาไม่เร่งโจมตีเมืองหย่งหลินอย่างหนักในช่วงเวลานี้ แล้วรอจนกองหนุนมาถึง โอกาสของเขาคงยิ่งไม่มี
องครักษ์ลับสามพยักหน้า “ดังนั้น…ขอเพียงต้านไว้ให้ได้สามวันนี้…”
“เกรงว่าสามวันนี้คงผ่านไปไม่ง่ายเช่นนั้น”
ภายในทัพใหญ่ของหลีอ๋อง ม่อจิ่งหลีจ้องจดหมายลับในมือที่เพิ่งได้รับเขม็งประหนึ่งจะจ้องจนมันจะเป็นรูขึ้นมาได้ พักใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นเด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวว่า “ดี…หน่วยเฮยอวิ๋นฉีช่างดีนัก ข้าอยากจะรู้นักว่าเมืองหย่งหลินจะเก่งกาจสักเท่าไรกันเชียว!” ในจดหมายลับเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า สิบวันก่อนม่อซิวเหยายังเข้าวังไปพบม่อจิ่งฉีอยู่เลย ต่อให้เขาออกเดินทางจากเมืองหลวงในตอนนั้นก็ไม่มีทางที่จะเดินทางถึงหย่งโจวภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ดังนั้นคนที่คอยขวางทางเขาในหลายวันนี้ไม่มีทางใช่เจ้าคนพิการม่อซิวเหยานั่นอย่างแน่นอน ส่วนหน่วยเฮยอวิ๋นฉี…นอกจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองพันนายในเมืองหย่งหลินแล้ว ดูเหมือนต่อให้พลิกแผ่นดินหย่งโจวก็หาไม่พบแม้แต่เงาของหน่วยเฮยอวิ๋นฉี
“ท่านอ๋อง ตอนนี้…” เสนาธิการทหารสีหน้าหนักใจ “กองหนุนเคลื่อนพลมารวดเร็วมาก อย่างมากไม่เกินสามวันก็จะเคลื่อนพลข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันมาแล้วขอรับ ท่านอ๋องโปรดรีบตัดสินพระทัยเถิด” จะถอนกำลังไปบุกโจมตีทางฝั่งตะวันออก หรือว่าจะบุกโจมตีทางตะวันตกต่อไปจนกว่าด่านซุ่ยเสวี่ยจะแตก แล้วไปรวมพลกับกองทัพของหนานจ้าว
“ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอันใด บุกเมือง!”
กลองศึกดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้สถานการณ์ดุดันและรุนแรงกว่าหลายวันก่อนนัก ม่อจิ่งหลีส่งกองทัพฝีมือดีที่สุดออกมาโจมตีเมืองอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้จะมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีคอยช่วยเหลือ จนการป้องกันเข้มแข็งขึ้นอีกขั้น แต่การบุกโจมตีอย่างบ้าคลั่งโดยไม่หยุดพักนี้ อย่างไรก็ทำให้ทหารที่ประจำการรักษาเมืองอยู่รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก แม้แต่ตอนค่ำก็ยังมิอาจพักผ่อนอย่างสงบได้ ยังคงต้องคอยระวังการลอบโจมตีกลางดึกไปด้วย
เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองสถานกาณ์ตรงหน้า โบกมือให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีขึ้นมารักษากำแพงเมืองแทน เพื่อให้ผู้บัญชาการที่คอยรักษาเมืองอยู่ได้มีเวลาพักผ่อนกันสักเล็กน้อย
“อาหลี พวกเราจะรักษาเมืองหย่งหลินไว้ได้หรือไม่” กลางดึก มู่หรงถิงออกมายืนบนกำแพงเมือง มองดูสถานการณ์เบื้องล่าง จุดที่กองทัพกบฏตั้งค่ายอยู่ไกลออกไปดูมืดสนิท ทำให้อดรู้สึกหนักใจขึ้นมาไม่ได้
เยี่ยหลีหันหน้าไปมองนางพร้อมยิ้มน้อยๆ “นึกกลัวแล้วหรือ”
มู่หรงถิงทำปากยื่น เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ใครกลัวกัน เพียงแต่…ข้าไม่เคยเห็นคนตายมากเช่นนี้มาก่อน แต่ก่อนท่านพ่อมักบอกว่าข้านั้นไร้เดียงสานัก มาตอนนี้ข้าถึงได้รู้ว่าข้านั้นไร้เดียงสาจริงๆ คิดแต่เพียงว่าข้าไปอยู่ชายแดนกับท่านพ่อเสียหลายปีแล้วจะเข้าใจอันใดดีกว่าผู้อื่น อันที่จริงข้าไม่เคยเห็นสนามรบจริงๆ มาก่อน”
เยี่ยหลีเอ่ยปลอบใจเสียงเบาว่า “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว” วันนี้มู่หรงถิงเองก็วุ่นไม่ได้หยุด นางคอยพาท่านหมอกับชายหนุ่มแข็งแรงในเมืองไปช่วยรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ช่วยส่งเสบียงอาหารและลูกธนูไม่ได้หยุด จนนางดูเหนื่อยอ่อนลงไปไม่น้อย “ท่านแม่ทัพมู่หรงจะต้องภูมิใจในตัวเจ้าเป็นแน่”
มู่หรงถิงยิ้มเอียงอาย “ข้ายังไม่ได้ทำอันใดเลย อาหลีต่างหากที่เก่งที่สุดเลย หากอาหลีเป็นบุตรสาวของท่านพ่อ ท่านพ่อข้าคงยินดีจนแม้แต่นอนหลับฝันก็ยังยิ้มได้เป็นแน่”
เยี่ยหลีหัวเราะเบาๆ “ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับไปลองไปถามท่านแม่ทัพมู่หรงดูว่าท่านยินดีจะให้ข้าเปลี่ยนตัวกับเจ้าหรือไม่”
“ไม่เอาหรอก ท่านพ่อรักข้าที่สุดอยู่แล้ว”
เยี่ยหลียิ้มนอ้ยๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า “วางใจเถิด พวกเราไม่เป็นอันใดหรอก”
มู่หรงถิงชะงักไป ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าไม่กลัวหรอก หากกองทัพกบฏบุกเข้ามาได้จริง เข้ามาคนหนึ่งข้าก็จะฆ่าคนหนึ่ง มาสองคนข้าก็จะฆ่าสองคน!” เมื่อเห็นมู่หรงถิงแสร้งทำเป็นเข้มเข็ง เยี่ยหลีจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา ก่อนถอนหายใจแล้วหันไปมองดวงจันทร์เสี้ยวที่อยู่บนฟ้า แววแห่งความเป็นกังวลค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าอันงดงาม
ณ มุมหนึ่งของกำแพงเมือง ซย่าซูกับอวิ๋นถิงยืนคู่กันอยู่ สายตาทั้งคู่หยุดอยู่ที่แผ่นหลังอันบอบบางของคนที่ยืนอยู่ไกลๆ เยี่ยหลีอยู่ในชุดอย่างชายหนุ่มสีขาวนวล บนศีรษะมิได้มีปิ่นปักผมเสียบแซมอยู่ แต่ใช้เพียงเชือกสีขาวนวลมัดไว้อย่างสบายๆ เท่านั้น
ใบหน้าของนางเปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์ ทำให้เห็นแววเป็นเป็นกังวลได้อย่างชัดเจน ความสงบนิ่งดุจดอกบัวและความสง่างามดุจดอกกล้วยไม้ ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในชุดสีแดงด้านข้างดูอ่อนแสงลงอย่างช่วยไม่ได้
“หากครั้งนี้ข้ามีชีวิตรอดกลับไปได้ ข้าจะต้องเข้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีให้ได้!” อวิ๋นถิงเอ่ยอย่างแน่วแน่ การเข้าร่วมหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเป็นความหวังของเขามาโดยตลอด เพียงแต่ตอนนี้เขามีความแน่วแน่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
“หากพรุ่งนี้ต้านทานไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ เจ้าคุ้มกันพระชายาหนีไปก่อน เดินทางไปทิศเหนือของแม่น้ำ เมื่อข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันไปได้ ก็น่าจะพบกับกองหนุนได้โดยเร็ว” ซย่าซูเอ่ยขึ้นเรียบๆ
อวิ๋นถิงถลึงตามองเขา “เห็นข้าเป็นคนหนีเอาตัวรอดหรือ”
ซย่าซูเหลือบตามองเขานิ่งๆ “เจ้าไม่รู้หรือว่าพระชายากับหลีอ๋องมีความสัมพันธ์กันเช่นไร หากพระชายาตกไปอยู่ในมือของหลีอ๋อง ผลจะเป็นอย่างไร”
อวิ๋นถิงอึ้งไป หันมองหญิงสาวที่ยืนรับลมอยู่ไกลๆ โดยไม่รู้ตัว เขายกมือขึ้นดึงทึ้งผมด้วยความขัดใจ “ข้าคงไม่มีความสามารถพอที่จะคุ้มครองพระชายาให้หนีไปได้ เจ้าไปก็แล้วกัน เจ้าโน้มน้าวใจคนเก่งกว่าข้า ดูท่าพระชายามิใช่คนที่จะยอมทิ้งเมืองหย่งหลินแล้วหนีไปง่ายๆ จะว่าไป ข้ายังไม่เคยเห็นพระชายาผู้ใดเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย”
ซย่าซูพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้จะทำความรู้จักกันได้เพียงไม่กี่วัน แต่พระชายาที่อายุน้อยกว่าพวกเขาท่านนี้ ได้ทำลายภาพลักษณ์ของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งพระชายาที่พวกเขาเคยคิดไว้โดยสิ้นเชิง ภายนอกดูบอบบาง แต่ภายในกลับเข้มแข็งเสียยิ่งกว่าชายหนุ่ม แล้วยังความเก่งกาจที่น่าตกใจนั่นอีก ความเด็ดขาดอย่างชายชาติทหาร รวมถึงฝีมือที่แข็งแกร่งและเก่งกาจกว่าใครหลายคน หลายคราที่ซย่าซูคิดว่า หญิงสาวผู้นั้นมิใช่พระชายาที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม แต่เป็นนายทหารที่ผ่านสนามรบมาแล้วเป็นร้อยครั้งเสียมากกว่า
“เจ้าว่าหากพวกเรารอดไปได้ ข้าขอพระชายาให้รับข้าเข้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉี พระชายาจะยอมรับข้าหรือไม่” คำถามที่จะหาคำตอบมิได้ก็อย่าเพิ่งไปคิดมัน เป็นนิสัยที่ติดตัวมาของอวิ๋นถิง เขาเอียงขอวาดฝันถึงอนาคตอันสวยงาม
ซย่าซูนิ่งคิดเล็กน้อยแล้วยิ้มเรียบๆ “เจ้าลองไปถามพระชายาดูสิว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉียังรับคนหรือไม่”
อวิ๋นถิงตาเป็นประกายทันที มองแผ่นหลังหญิงสาวในชุดสีขาวนวลที่ยืนคุยกับกับมู่หรงถิงด้วยความลิงโลด
ซย่าซูได้แต่ส่ายหน้า หมุนตัวเดินลงจากกำแพงเมืองไปพร้อมกล่าวว่า “กลับไปพักผ่อนเถิด อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ยังมีศึกหนักรออยู่”
อวิ๋นถิงพยักหน้าอย่างใจลอย ยังคงลังเลว่าจะเข้าไปถามพระชายาดีหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรก็มิใช่ทุกคนที่มีโอกาสได้พบกับผู้บัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉี อวิ๋นถิงมองแผ่นหลังอันบอบบางภายใต้แสงจันทร์ แล้วจึงหมุนตัวเดินลงจากกำแพงเมืองไป หากพรุ่งนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ขอร้องก็จะขอร้องจนกว่าพระชายาจะยอมรับเขาเข้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีให้ได้!