ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 101-2
เมื่อเดินภายในอุทยานจนทั่วแล้ว ฮองเฮาจึงได้นำคณะของพวกนางไปนั่งพักยังศาลารับลมภายในอุทยาน แล้วฮองเฮาจึงได้อมยิ้มพร้อมเอ่ยถามขึ้นว่า “ชายาติ้งอ๋องเข้ามาในวังหลวงไม่บ่อยนัก เห็นว่าทัศนียภาพภายในวังแห่งนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยหลียิ้ม “โอ่อ่าหรูหราดังเช่นเมืองในเทพนิยายทีเดียวเพคะ”
ฮองเฮากวาดตามองนาง “เจ้าตอบข้าตามมารยาทเสียแล้ว โอ่อ่าหรูหรานั้นจริงอยู่ แต่เมืองในเทพนิยายนั้น…เมืองในเทพนิยายใดกันที่เป็นเช่นนี้หรือ” น้ำเสียงพระองค์เจือแววเบื่อหน่าย ก่อนส่ายพระพักตร์ยิ้มๆ “หากให้ข้าพูด ข้าว่าพูดตามความจริงจะดีกว่า ในวังหลวงนี้ทัศนียภาพทุกอย่างล้วนวิจิตรงดงามยิ่งนัก แต่เมื่อฝั่งตะวันออกก็วิจิตร ฝั่งตะวันตกก็งดงาม จึงทำให้คนรู้สึกตาพร่าไปหมด ตำหนักติ้งอ๋องนั้นข้าเคยไปมาก่อน เชื่อว่าน่าจะถูกใจพระชายาเป็นอย่างมากใช่หรือไม่”
ตำหนักติ้งอ๋องนั้นมีอาณาบริเวณกว้างขวางมาก แต่การตกแต่งกลับเรียบง่ายและโอ่อ่า ซึ่งเยี่ยหลีชื่นชอบเช่นนั้นมากจริงๆ
องค์หญิงเจาหยางเองก็พยักหน้าพร้อมยิ้มตามว่า “ฮองเฮาตรัสถูกแล้วเพคะ สมัยข้ายังเด็กมักชอบไปวิ่งเล่นที่นั่นเสมอๆ รู้สึกไม่อยากกลับมาทุกคราไป”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ฮองเฮากับองค์หญิงชื่นชมเกินไปแล้วเพคะ ตำหนักติ้งอ๋องทุกรุ่นต่างเป็นนักรบ เป็นธรรมดาที่จะมีความหยาบกระด้างอยู่บ้าง ข้ากับท่านอ๋องต่างไม่ชอบความวุ่นวาย จึงจัดให้สงบร่มรื่นหน่อยเท่านั้นเองเพคะ”
อวิ๋นเฟยที่นั่งข้างเยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “หม่อมฉันได้ยินฝ่าบาทรับสั่งว่า ชายาติ้งอ๋องเคยช่วยกองทัพต้านกองทัพกบฏของหลีอ๋อง เพื่อรักษาเมืองหย่งหลินที่เขตหย่งโจว เราถึงรักษาด่านซุ่ยเสวี่ยไว้ได้ พระชายาเล่าเรื่องในตอนนี้ให้เราฟังได้หรือไม่ ที่แท้พระชายาก็มีวิทธยายุทธติดตัว มิน่าเมื่อปีก่อนท่านถึงสามารถใช้ธนูเพียงดอกเดียวข่มขวัญองค์หญิงซีหลิงจนขวัญหนีดีฝ่อไปได้”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “พระสนมอวิ๋นเฟยล้อเล่นแล้ว เพียงแค่ท่านอ๋องเป็นห่วงในความปลอดภัยของข้า ถึงได้ให้เรียนวิชาต่อสู้ไว้บ้างเท่านั้น คนที่รักษาเมืองหย่งหลินนั้นเป็นทหารที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนเสียมากกว่า มิได้เป็นผลงานของเยี่ยหลีเลยแม้แต่น้อย”
สนมหวังเจาหรงยิ้ม “พระชายาถ่อมตัวเกินไปแล้ว หม่อมฉันเองก็เคยได้ยินฝ่าบาทรับสั่งเช่นกันว่า หากมิใช่เพราะพระชายา เกรงว่าด่านซุ่ยเสวี่ยคงแตกไปนานแล้ว พระชายาได้ทำคุณงามความดีให้กับแผ่นดินต้าฉู่ น่าเสียดายเพียงพวกหม่อมฉันอยู่แต่ในวังหลวงมานาน มิสามารถทำอันใดเพื่อต้าฉู่ได้ ช่างน่าเศร้าใจยิ่ง”
“เอ๋ สนมหวังเจาหรงเองก็อยากทำประโยชน์เพื่อต้าฉู่เหมือนกันหรือ เช่นนั้นให้ข้าไปขอเสด็จพ่อให้ส่งท่านไปอยู่ชายแดนเพื่อทำประโยชน์ให้ต้าฉู่ดีหรือไม่ สนมหวังเจาหรงมีใจจงรักภักดีต่อต้าฉู่เช่นนี้ เสด็จพ่อจะต้องดีพระทัยมากเป็นแน่” เสียงเล็กแหลมดังขึ้นจากนอกศาลา ทุกคนต่างหันไปมอง ก็เห็นองค์หญิงฉางเล่อในชุดสีชมพู กำลังยิ้มแย้มมองหวังเจาหรงด้วยตากลมโตเป็นประกาย
หวังเจาหรงฝืนยิ่มส่งให้ “องค์หญิงล้อเล่นแล้วเพคะ หม่อมฉัน…ร่างกายไม่แข็งแรง…” ถึงแม้นางจะได้รับความโปรดปราน ตระกูลกำลังได้รับความไว้วางพระทัย แต่หวังเจาหรงก็ยังมิกล้ามีเรื่องกับองค์หญิงฉางเล่อ
องค์หญิงฉางเล่อเป็นพระธิดาเพียงองค์เดียวของฮองเฮา ทั้งยังเป็นสายเลือดหลักเพียงคนเดียวแห่งราชวงศ์ต้าฉู่ ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะมิได้รักชอบอันใดฮองเฮานัก แต่เขาก็ให้ความเคารพพระองค์อย่างมาก กับองค์หญิงที่สดใสน่ารักพระองค์นี้ พระองค์ก็ทั้งรักและเอ็นดูเป็นที่สุด หากองค์หญิงฉางเล่อวิ่งไปพูดกับพระองค์ที่ห้องทรงพระอักษรจริงๆ นางคงเดือดร้อนไม่น้อย
องค์หญิงฉางเล่อกลอกตาใส่นาง ก่อนปรายตามองด้วยความเหยียดหยามว่า “แล้วท่านจะพูดจาเหลวไหลเช่นนั้นไปไย ข้ายังคิดว่าท่านมิกล้าเอ่ยกับเส็ดจพ่อเสียอีก เสด็จอาติ้งอ๋องก็อยู่ที่ห้องทรงพระอักษรด้วยพอดี หากข้าไปช่วยท่านขอร้องเสด็จพ่อ ไม่แน่ว่าเสด็จพ่ออาจทรงเห็นแก่ความจงรักภักดีของท่าน ยอมตกปากรับคำก็เป็นได้”
“ฉางเล่อ เลิกพูดจาเหลวไหลทีเถิด” ฮองเฮามองกิริยาที่ไม่งดงามขององค์หญิงฉางเล่อแล้วขมวดคิ้วด้วยความไม่พอพระทัย
องค์หญิงฉางเล่อทำหน้าทะเล้นด้วยความซุกซน ก่อนก้าวเข้าไปในศาลาแล้วทำการคารวะอย่างเรียบร้อย “ลูกถวายพระพรเสด็จแม่ คารวะชายาติ้งอ๋อง คารวะเสด็จป้าทั้งสองเพคะ”
องค์หญิงเจาหยางยื่นมือไปดึงองค์หญิงฉางเล่อให้ลุกขึ้นก่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้พบกันตั้งนาน องค์หญิงตัวน้อยโตจนจะเป็นสาวเสียแล้ว”
เยี่ยหลีอมยิ้มพยักหน้า ไม่ได้พบกันเพียงหนึ่งปี องค์หญิงฉางเล่อโตขึ้นกว่ายามที่พวกนางพบกันที่หน้าตำหนักเหยาหวาไม่น้อยทีเดียว อย่างน้อยก็ดูมิใช่เด็กที่จะมุดเข้าไปอยู่ในพุ่มไม้ได้
องค์หญิงฉางเล่อดูจะจำเยี่ยหลีได้ นางจึงกะพริบตาปริบๆ ให้เยี่ยหลีทั้งๆ ที่ยังซบอยู่กับอกขององค์หญิงเจาเหริน เยี่ยหลีชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ได้ยิ้มบางๆ ตอบกลับนางไป
อวิ๋นเฟยเห็นองค์หญิงฉางเล่อกำลังออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดขององค์หญิงเจาหยาง จึงยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “องค์หญิงเพคะ พวกเรากำลังอยากฟังเรื่องที่พระชายานำทหารไปออกรบที่เมืองทางชายแดนอยู่พอดี องค์หญิงไม่อยากฟังหรือเพคะ”
สายตาองค์หญิงฉางเล่อเปลี่ยนไปทันที ยิ้มแย้มอย่างสดใส “ข้าเป็นสุภาพสตรี จึงไม่อยากไปสอบถามเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น มีก็แต่หญิงสาวที่วันๆ คิดแต่จะแก่งแย่งชิงดี ใส่ร้ายผู้อื่นเท่านั้นที่เสียเวลาซักไซร้เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นเช่นนี้ อวิ๋นเฟยท่านว่าจริงหรือไม่”
รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของอวิ๋นเฟยมีความแข็งขืนเล็กน้อย ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “องค์หญิงเป็นสุภาพสตรีจริงๆ เพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนกันไปพูดกับฮองเฮาว่า “เสด็จแม่ ลูกขอเชิญชายาติ้งอ๋องกับพี่สาวไปเล่นข้างนอกได้หรือไม่เพคะ”
ฮองเฮายิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นคงต้องดูว่าชายาติ้งอ๋องมีเวลาไปเล่นกับเจ้าหรือไม่แล้ว เจ้าเด็กคนนี้ อายุก็ไม่น้อยแล้ว วันๆ เอาแต่คิดว่าจะเล่นอันใดอยู่อีกหรือ”
องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะ “ลูกชอบพระชายาติ้งอ๋องเพคะ”
ฮองเฮาผินพระพักตร์ไปมองเยี่ยหลี “เด็กคนนี้ยังไม่รู้ความนัก คงทำให้พระชายาเห็นขันแล้ว”
เยี่ยหลียิ้ม “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ องค์หญิงไร้เดียงสาน่ารักใคร่ การที่องค์หญิงชื่นชอบ เป็นความโชคดีของเยี่ยหลีเพคะ ไม่รู้ว่าองค์หญิงจะชวนข้าไปเล่นที่ใดหรือเพคะ”
องค์หญิงผละออกจากอ้อมอกขององค์หญิงเจาหยางด้วยความยินดี มือหนึ่งจับเยี่ยหลีอีกมือหนึ่งจับฮว่าเทียนเซียงก่อนพาวิ่งออกไป “พวกเจ้ามากับข้าเถิด”
เยี่ยหลีมีความว่องไว เมื่อถูกองค์หญิงพาวิ่งจึงมิได้เป็นอันใด แต่ฮว่าเทียนเซียงกลับวิ่งตามด้วยความทะลักทุเล ฮองเฮาจึงได้แต่สั่งให้คนตามออกไปคอยดูพวกเขา
องค์หญิงฉางเล่อพาทั้งสองคนวิ่งเลี้ยวไปทางนั้นทีทางนี้ทีภายในอุทยาน จนเมื่อวิ่งไปถึงภูเขาจำลองที่อยู่มุมทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของอุทยานแล้ว จึงได้หยุดลง เมื่อหันกลับไปไม่เห็นคนของวังหลวงตามมาถึงได้วางใจ ขมวดคิ้วเอ่ยบ่นว่า “คนพวกนี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง เอาแต่ตามข้าไปทุกที่อยู่ได้”
เยี่ยหลียิ้ม “พวกนางเพียงทำตามรับสั่งของฮองเฮาและฮ่องเต้เท่านั้นเพคะ หากเกิดหาองค์หญิงไม่พบขึ้นมา ไม่แน่ว่าพวกนาอาจถูกลงโทษก็เป็นได้”
องค์หญิงฉางเล่อโบกมือ “เจ้าวางใจเถิด เสด็จแม่ข้าเป็นคนดีมาก ไม่มีทางสั่งลงโทษนางกำนัลตามใจหรอก เพียงแต่คนพวกนั้นช่างน่ารำคาญจริงๆ พวกนางชอบเอาคำพูดของข้าไปทูลต่อเสด็จพ่อบ้าง ไปบอกพระสนมคนอื่นบ้าง ข้าเกลียดพวกนางนัก พวกเจ้าตามข้ามา”
องค์หญิงฉางเล่อปีนขึ้นไปบนภูเขาจำลองด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า พลางหันกลับมาเอ่ยกับทั้งสองคนว่า “ที่นี่ใหญ่มาก พวกเราปีนขึ้นไปแล้วพวกนางหาไม่เจอแน่”
เยี่ยหลีเหลือบมอง ภูเขาจำลองกลุ่มนี้ใหญ่มากจริงๆ หากหลบอยู่ที่นี่แล้วไม่ตั้งใจหา คงไม่แน่ว่าจะหาพบ เพียงแต่… “องค์หญิง พวกเขาจะปีนขึ้นไปทำอันใดหรือเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อหันกลับมามองนาง ยกมือขึ้นลูบมวยผมที่มีปิ่นมุกเสียบแซมอยู่ “เสด็จอาติ้งอ๋องบอกว่ามีผู้ใหญ่นิสัยไม่ดีจะทำให้เจ้าไม่พอใจ ให้ข้าช่วยหาสถานที่จับเจ้าซ่อนไว้ อีกเดี๋ยวท่านจะมารับเจ้า อืม…แล้วพี่เซียงเซียงมิได้มีเรื่องอันใดจะคุยกับเจ้าหรือ”
เยี่ยหลีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ให้จับนางซ่อนไว้หรือ นางกล้าพนันได้เลยว่า ม่อซิวเหยาไม่มีทางพูดเช่นนี้กับองค์หญิงฉางเล่อ นางหันมองฮว่าเทียนเซียงที่อยู่ในอาการตกใจเช่นเดียวกัน ฮว่าเทียนเซียงก็หันมององค์หญิงฉางเล่อ
องค์หญิงฉางเล่อส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนหันกลับไปปีนต่อไป “ข้าเป็นผู้ใด เสด็จพ่อมีพระประสงค์จะส่งพี่เซียงเซียงให้แต่งงานไปอยู่เป่ยหรง ข้าถามหมัวมัวมาแล้ว เป่ยหรงเป็นแคว้นที่ไม่ดีเอาเสียเลย คนทั้งหยาบคายและไร้อารยธรรม ซ้ำยังหนาวเหน็บไม่มีอันใดให้กินอีก ข้าไปขอเสด็จอาติ้งอ๋องมา เสด็จอาติ้งอ๋องบอกว่าเรื่องนี้คนที่ตัดสินใจคือชายาติ้งอ๋อง ดังนั้น ตอนนี้พวกเราจึงควรมาคุยกันได้เสียที พวกเจ้าขึ้นมาสิ”
ทั้งสองไม่รู้จะทำเช่นไรดี จึงได้แต่ปีนตามขึ้นไป บนภูเขาจำลองลูกนั้นมีสถานที่ให้หลบซ่อนตัวอยู่จริง เมื่อเห็นความสงบของที่นี่แล้ว จึงรู้ว่าจะต้องมีคนมาอยู่ที่นี่บ่อยๆ เป็นแน่
พวกนางนั่งลงบนภูเขาจำลองนั้น เยี่ยหลียิ้ม “ดังนั้น องค์หญิงจึงอยากขอร้องข้าไม่ให้ส่งเทียนเซียงไปแต่งงานที่เป่ยหรงหรือเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อจ้องนางตาโต “เจ้าจะรับปากหรือไม่”
เยี่ยหลียิ้มอย่างสวยงาม “ข้ารับปากแล้วจะมีประโยชน์อันใด”
องค์หญิงฉางเล่อนิ่งคิด “ข้าจะเอาสมบัติทั้งหมดของข้ามายกให้เจ้า ข้ามีสมบัติอยู่ไม่น้อยนะ ล้วนเป็นของที่เสด็จพ่อพระราชทานให้ เสด็จแม่ตรัสว่าของเหล่านั้นมีค่ามากนัก ตกลงหรือไม่”
“ฉางเล่อ…” ฮว่าเทียนเซียงตาแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย นางเองย่อมไม่อยากแต่งงานไปอยู่เป่ยหรง เพียงแต่ไม่ว่านางหรือว่าท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านปู่ ท่านย่าล้วนเข้าใจดีว่า ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าให้เรื่องนี้พระชายาติ้งอ๋องเป็นคนจัดการรับผิดชอบ แต่หากฝ่าบาทมีพระประสงค์จะให้นางไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์จริงๆ ต่อให้เป็นหลีเอ๋อร์ก็คงทำอันใดมิได้ พระองค์เพียงอยากให้ตำหนักติ้งอ๋องเป็นคนผิดใจกับจวนฮว่าแทนพระองค์เท่านั้นเอง ดังนั้นไม่ว่าท่านปู่ ท่านย่า หรือตัวนางเอง จึงมิได้คิดจะไปหาหลีเอ๋อร์ตั้งแต่แรก เพราะมีแต่จะทำให้นางลำบากใจเท่านั้น
“เหตุใดองค์หญิงจึงไม่อยากให้เทียนเซียงไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์หรือเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อกัดริมฝีปากมองทั้งสองคน ครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยด้วยท่าทีลังเลว่า “เสด็จแม่ตรัสว่า…ต้องเป็นองค์หญิงจึงจะสามารถแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ได้ แต่ในยามนี้พวกเราไม่มีองค์หญิงที่เหมาะสม ดังนั้นจึงต้องเลือกผู้อื่นไปแต่งงานแทน เสด็จแม่ตรัสว่าเรื่องเหล่านี้…เป็นเรื่องภายในราชวงศ์ ข้า…ข้ายังเด็ก มิเช่นนั้นข้าจะไปแต่งงานเอง…หากพี่เซียงเซียงไปแล้ว ท่านยายกับท่านลุงและท่านป้าสะใก้จะต้องเสียใจมากเป็นแน่ ท่านป้าสะใภ้ยังเคยร้องไห้ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จแม่ด้วย…”
องค์หญิงฉางเล่อพูดเสียงขาดๆ หายๆ แต่ทั้งสองยังฟังเข้าใจความหมายทุกอย่างเป็นอย่างดี องค์หญิงฉางเล่อคิดว่าเทียนเซียงต้องไปแต่งงาน ต้องไปลำบากแทนตน ดังนั้นถึงได้ใจร้อนมาขอร้องเยี่ยหลี
พอพูดจบ องค์หญิงฉางเล่อก็หันมามองนางด้วยความร้อนใจ “ชายาติ้งอ๋อง ท่านอย่าส่งพี่สาวไปแต่งงานได้หรือไม่”
เยี่ยหลียิ้มน้อยพร้อมพยักหน้า “ได้เพคะ หม่อมฉันรับปากท่าน”