ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 114-1 เยียหลี่ว์เหยี่ยมาเยี่ยม
เมื่อออกมาจากอุทยาน ม่อจิ่งฉีได้ส่งคนออกมารอพวกเขาอยู่ที่ปากประตูแล้ว ในวังหลวงเกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ขึ้น ไม่มีทางปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านไปอาบน้ำกันได้ง่ายๆ เช่นนั้นอย่างแน่นอน
ครานี้ถึงแม้นักฆ่าที่บุกเข้ามาในวังหลวงจะมีจำนวนไม่น้อยนัก แต่เมื่อเทียบกับจำนวนองครักษ์ในวังหลวงเกือบพันคนแล้ว ก็เปรียบประหนึ่งขนหนึ่งเส้นบนวัวเก้าตัวเท่านั้น แต่ที่สามารถทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นมาได้เช่นนี้ ก็ด้วยเพราะอาศัยช่วงที่คนคิดไม่ถึง
เพียงแต่เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า การอารักขาภายในวังหลวงนั้นมิได้เข้มงวดอย่างที่จินตนาการไว้ จึงไม่แปลกที่องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋อง นึกภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ และนึกดูถูกองครักษ์จากหน่วยอวี้หลินเหล่านี้ อย่างน้อย เกือบร้อยปีมานี้ก็ไม่เคยมีนักฆ่าบุกเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋องได้มาก่อน
เมื่อถูกนักฆ่าทำให้ตกใจเช่นนี้ ม่อจิ่งฉีย่อมข่มตานอนไม่หลับ เขานำขุนนางที่ยังคงขวัญหนีดีฝ่อทั้งหลายไปยังตำหนักหลงเถิง ที่เป็นตำหนักสำหรับว่าราชกิจ
ยามเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเดินมาถึงปากประตู ก็ได้ยินเสียงเจือแววโกรธของม่อจิ่งฉีดังลอยออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังต่อว่าการทำหน้าที่ขององครักษ์ทั้งหลายอยู่
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น นางจำได้ว่าผู้ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยอวี้หลินในยามนี้ดูเหมือนจะเป็นเหลิ่งฉิงอวี่ พี่ชายของเหลิ่งเฮ่าอวี่มิใช่หรือ
เมื่อก้าวเข้าไปภายในตำหนัก ก็เห็นชายหนุ่มหน้าตามีส่วนคล้ายเหลิ่งเฮ่าอวี่อยู่สามส่วนกำลังคุกเข่าก้มหน้าอยู่กับพื้น รับฟังการต่อว่าของม่อจิ่งฉี เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา ม่อจิ่งฉีจึงอดใจหยุดคำผรุสวาททั้งหลายลง ไม่ต่อว่าเขาต่อ เพียงหันมองทั้งสองที่เดินจับจูงกันเข้ามาอย่างใช้ความคิด ก่อนเอ่ยว่า “เหตุใดชายาติ้งอ๋องถึงอยู่ติ้งอ๋องได้”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ทูลฝ่าบาท เยี่ยหลีนึกเป็นกังวลในความปลอดภัยของท่านอ๋องบ้านข้า ถึงได้ให้คนออกตามหา อารามรีบร้อนจึงมิทันได้ทูลฝ่าบาทก่อนเพคะ ฝ่าบาทได้โปรดอภัยด้วย”
ม่อจิ่งฉีมองเยี่ยหลีด้วยสายตาหลากหลาย ก่อนฝืนยกยิ้มออกมา “ติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องมีใจรักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง คนเขาต่างลือกันไปทั่วต้าฉู่ ชายาติ้งอ๋องนึกเป็นห่วงติ้งอ๋องนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ข้าจะถือโทษเจ้าได้อย่างไร”
เยี่ยหลีทอดถอนใจประหนึ่งโล่งอก ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เยี่ยหลีขอบพระทัยฝ่าบาทที่เข้าพระทัยเพคะ”
“องค์หญิงเจินหนิงของข้าปลอดภัยดีหรือไม่” ม่อจิ่งฉีหันหน้าไปถามม่อซิวเหยา
ม่อซิวเหยาพยักหน้าเรียบๆ “องค์หญิงเจินหนิงตกใจและเสียขวัญเล็กน้อย แต่มิได้บาดเจ็บอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” ม่อจิ่งฉีเอ่ยกลั้วหัวเราะ “องค์หญิงเจินหนิงเป็นธิดารักของข้า หากเกิดบาดเจ็บอันใดไป ข้ากับสนมรักคงปวดใจไม่น้อย” ถึงแม้ใบหน้าเขาจะมีรอยยิ้มอยู่ แต่เยี่ยหลีกลับสัมผัสถึงความยินดีในรอยยิ้มนั้นไม่ได้เลยจนนิดเดียว
“เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ติ้งอ๋องมีความเห็นเช่นไร” ม่อจิ่งฉีจ้องหน้าม่อซิวเหยาพร้อมเอ่ยถามขึ้น
ม่อซิวเหยาย่นคิ้ว หยุดคิดเล็กน้อย “กระหม่อมไม่รู้ เพียงแต่…น่าจะมิได้บุกเข้ามาเพราะฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ถึงแม้ยามที่เกิดเรื่อง องครักษ์โดยมากจะเข้าอารักขาฮ่องเต้ แต่นักฆ่าเหล่านั้น มิได้มีจุดประสงค์ที่จะฝ่าวงล้อมขององครักษ์เข้าไปทำร้ายฮ่องเต้แต่อย่างใด ต้องรู้ก่อนว่า ต่อให้พวกเขาสังหารขุนนางใหญ่ทั้งหลายบนหอนั้นจนหมดจริง ก็เพียงทำให้ฮ่องเต้ทรงพิโรธเท่านั้น ผลกระทบที่แท้จริงนั้นมิได้ยิ่งใหญ่สักเท่าไร อย่างมากก็เพียงเป็นการล้างไพ่ในราชสำนักและเปลี่ยนขุนนางครั้งใหญ่เท่านั้นเอง
“เพียงแต่…ใต้เท้าเหลิ่ง ขอถามว่าเหตุใดทหารอวี้หลินถึงได้มาถึงช้าเช่นนั้นหรือ” เพียงหมุนตัว ม่อซิวเหยาก็หันปากประบอกปืนเข้าใส่เหลิ่งฉิงอวี่ที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นทันที
เหลิ่งฉิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ยามนั้นพวกนักฆ่าแบ่งกันออกเป็นหลายกลุ่ม โจมตีจุดอื่นๆ ของวังหลวงหลายครั้ง ด้วยความเลินเล่อ กระหม่อมจึงแบ่งกำลังทหารออกไปพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทได้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เลินเล่อหรือ” ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงเย็น “ดูท่าใต้เท้าเหลิ่งคงลืมไปแล้วกระมังว่า องครักษ์ในวังหลวงมีไว้เพื่ออันใด ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ามีคนบุกเข้ามาในวัง ไม่ว่าในยามนั้นจะมีนักฆ่าบุกเข้ามาที่หอดูดาวหรือไม่ สิ่งที่ใต้เท้าเหลิ่งต้องทำเป็นอย่างแรกมิใช่การส่งคนมาอารักขาที่หอดูดาวหรือ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยอวี้หลิน แต่กลับถูกนักฆ่าไม่กี่คนล่อเสือออกจากถ้ำได้ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยอวี้หลินคงจะต้องเปลี่ยนคนเสียแล้วกระมัง”
สีหน้าที่เย็นชาอยู่เป็นนิจของเหลิ่งฉิงอวี่เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างขึ้นไปอีก แต่เขารู้ดีว่าที่ติ้งอ๋องกล่าวนั้นถูกต้อง เรื่องในคืนนี้เป็นเพราะตนบกพร่องในหน้าที่จริงๆ ไม่ว่าติ้งอ๋องจะพูดเช่นไรตนก็มิอาจเอ่ยปากเถียงได้เลย
“เอาล่ะ” ม่อจิ่งฉีขมวดคิ้ว “เรื่องในคืนนี้เป็นเพราะฉิงอวี่บกพร่องในหน้าที่จริง ตัดเบี้ยหวัดครึ่งปีก็แล้วกัน องครักษ์ในวังก็จัดการผลัดเปลี่ยนเสียหน่อย หากครั้งหน้าเกิดผิดพลาดอันใดขึ้นอีก ข้าจะไม่ปล่อยไว้อีกแน่” ม่อจิ่งฉีเอ่ยเช่นนี้ก็เท่ากับไม่ลงโทษเหลิ่งฉิ่งอวี่แล้ว ตระกูลเหลิ่งเป็นตระกูลใหญ่และมีการค้าใหญ่โต ไม่มีทางขัดสนด้วยเบี้ยหวัดเพียงครึ่งปีนี้เป็นแน่ ลงโทษก็ประหนึ่งมิได้ลงโทษกระนั้น
เดิมทีเรื่องเช่นนี้หากเป็นผู้อื่นต่อให้ไม่หัวหลุดจากบ่าก็คงหลุดออกจาตำแหน่งไปแล้ว แต่ในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยปากว่าจะลงโทษแล้ว ผู้อื่นย่อมมิกล้าพูดอันใดอีก เมื่อได้ยินม่อจิ่งฉีเอ่ยเช่นนี้ ม่อซิวเหยาจึงก้มหน้าลงมิได้เอ่ยคัดค้านอันใด
เมื่อเห็นม่อซิวเหยามิได้ว่าอันใด ม่อจิ่งฉีจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนเอ่ยถามว่า “เรื่องคืนนี้มอบหมายให้ติ้งอ๋องเป็นผู้สืบความดีหรือไม่ เชื่อว่าติ้งอ๋องจะต้องสืบความมารายงานข้าได้อย่างแน่นอนใช่หรือไม่”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย อีกเพียงหนึ่งเดือนกระหม่อมก็จะออกเดินทางไปเป่ยหรงแล้ว แล้วกระหม่อมยังมีเรื่ององค์ชายเป่ยหรงรวมถึงเรื่องในตำหนักที่ต้องจัดการก่อนไป เกรงว่าคงมิสามารถแบ่งร่างมาจัดการเรื่องนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีอึ้งไป แต่ก็มิได้เอ่ยบังคับอันใดอีก เพียงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าไตร่ตรองไม่รอบคอบเอง เอาเถิด เรื่องนี้ข้ามอบหมายให้เสนาบดีหลิ่วไปตรวจสอบก็แล้วกัน”
ม่อซิวเหยาไม่มีความเห็นกับเรื่องนี้ อันที่จริง ต่อให้เขามีความเห็น ม่อจิ่งฉีก็ไม่มีทางฟังเขาอยู่ดี
เมื่อออกจากวังหลวง บนรถม้า เยี่ยหลีเหลือบมองม่อซิวเหยาด้วยความแปลกใจ “ท่านกำลังช่วยเหลิ่งฉิงอวี่หรือ”
ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองนาง เลิกคิ้วกล่าวว่า “มองออกหรือ”
เยี่ยหลีเบ้ปาก “ท่านทำออกชัดเจนเสียเพียงนั้น” ผู้ใดต่างก็มองออก เมื่อครู่ตอนอยู่ในตำหนัก ม่อซิวเหยาตั้งใจเอ่ยต่อว่าเหลิ่งฉิงอวี่ แต่เช่นเดียวกัน ต่อให้ม่อซิวเหยาไม่ชอบหน้าเหลิ่งฉิงอวี่จริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องข้ามคนล้มอย่างเขาเพื่อทำให้เขาดูไม่ดีเช่นนั้น และด้วยนิสัยของม่อจิ่งฉี หากม่อซิวเหยาอยากให้ลงโทษ เขาย่อมต้องปกป้องอย่างแน่นอน หากม่อซิวเหยาไม่เล่นละครฉากนั้นไป ต่อให้ม่อจิ่งฉีเชื่อใจเหลิ่งฉิงอวี่เพียงใดก็คงไม่ลงโทษด้วยการหักเบี้ยหวัดเพียงครึ่งปีเช่นนั้นเป็นแน่
“เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าท่านกับเหลิ่งฉิงอวี่มีความสัมพันธ์กันดีเช่นนี้ ที่ทำเพราะเห็นแก่หน้าของเหลิ่งเอ้อร์หรือ”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “เหลิ่งเอ้อร์ไม่ต้องการให้ข้าเห็นแก่หน้าเขา อีกอย่าง…ต่อให้ช่วยคนขอทานข้างถนน เขาก็ไม่มีทางขอให้ข้าช่วยพี่ใหญ่เขาเป็นแน่”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา “ท่านอยากเข้าไปแทรกกลางระหว่างม่อจิ่งฉีกับตระกูลเหลิ่งหรือ”
ม่อซิวเหยาเอนหลังพิงรถม้า เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ภรรยาช่างฉลาดเสียจริง นี่เป็นเพียงเล่ห์กลเล็กน้อยเท่านั้น อีกเดี๋ยวม่อจิ่งฉีก็จะเข้าใจถึงเรื่องนี้ เพียงแต่ คนอย่างม่อจิ่งฉีนั้น ขอเพียงนึกระแวงเพียงเล็กน้อย ต่อให้ในใจเขารู้ดีอย่างไรก็คงอดที่จะขัดขวางเหลิ่งฉิงอวี่อยู่สักเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปหากพวกเราคิดจะเติมเชื้อไฟก็คงง่ายขึ้นไม่น้อย”
เยี่ยหลีเข้าใจในทันที นี่เป็นเพียงการปูทางไว้ก่อน หากในอนาคตม่อจิ่งฉีกับตำหนักติ้งอ๋องไม่มีเรื่องบาดหมางกันแล้ว เหลิ่งฉิงอวี่ย่อมสามารถเป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้ใจได้อย่างไม่มีข้อสงสัย แต่หากถึงจุดที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้จริงๆ คนข้างกายที่ม่อจิ่งฉีไว้ใจ ย่อมอยู่ในกลุ่มคนที่ตำหนักติ้งอ๋องจะต้องกำจัดออกไปอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อคิดได้ว่าอีกเพียงเดือนกว่าๆ ม่อซิวเหยาก็จะต้องออกเดินทางไกล เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่รู้เหตุใดถึงรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“อาหลีเป็นอันใดหรือ” ม่อซิวเหยาก้มลงมองนางที่ขมวดคิ้วเรียวจนมุ่น ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองเขา “เรื่องไปเป่ยหรง ท่านวางแผนไว้อย่างไรบ้างหรือ”
ม่อซิวเหยาหัวเราะ “อาหลีไม่ต้องเป็นกังวล คนเป่ยหรงไม่มีทางเล็งปืนเล็งมีดใส่ข้าอย่างเปิดเผยหรอก ถึงแม้การลอบทำร้ายคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หลายปีมานี้ ตำหนักติ้งอ๋องเคยกลัวผู้ใดหรือ”
เยี่ยหลีย่นคิ้ว “อย่างไรระวังไว้หน่อยก็ไม่เสียหลายนะเพคะ”
เมื่อรู้ว่านางเป็นห่วงตน ม่อซิวเหยาจึงกอดนางแนบอกก่อนเอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า “ข้ารู้แล้ว อาหลีวางใจเถิด ข้าจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
เยี่ยหลีพยักหน้าขรึมๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้นกำแขนเสื้อของม่อซิวเหยาแน่นโดยไม่รู้ตัว