ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 125-1 ล่อเสือมาติดกับ
กลางดึก ตำหนักติ้งอ๋องอยู่ในความเงียบสงบ ภายในห้องหนังสือ เยี่ยหลีนั่งอยู่ใต้โคมไฟ หันมองเฟิ่งจือเหยาที่นั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล “เฟิ่งซาน เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นคืนนี้”
เฟิ่งจือเหยานั่งสบายๆ พร้อมพัดพัดในมือ รอยยิ้มบนใบหน้าแช่มชื่นประหนึ่งลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นกลับทำให้คนฟังถึงกับขนลุกด้วยความกลัว “พระชายาเพียงทำใจให้สบายก็พอแล้ว เมืองหลวงก็มีอาณาบริเวณอยู่เพียงเท่านี้ หากพวกเขายังไม่ลงมือในคืนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว คืนนี้ จะต้องให้เลือดของพวกศัตรูมาย้อมตำหนักติ้งอ๋องให้แดงฉานให้ได้ หึหึ…ช่างเป็นสีสันที่สวยสดงดงามจนทำให้ผู้คนหลงใหล เมืองหลวงมิได้มีเรื่องตื่นเต้นเช่นนี้มาหลายปีแล้วด้วยสิ”
พวกมันมีความเคลื่อนไหวกันไม่เว้นแต่ละวันเช่นนี้ หากองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องยังหาพวกมันไม่พบ เช่นนั้นคนทั้งใต้หล้าคงได้คิดว่าองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องล้วนเป็นพวกเศษสวะกันทั้งนั้นเป็นแน่
เยี่ยหลีพยักหน้า “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีที่สุด เช่นนั้นพวกเราคงต้องเตรียมพร้อมรอต้อนรับการมาของพวกเขาแล้ว”
ม่อหวาเหลือบมองสีหน้าเรียบเรื่อยของเยี่ยหลีด้วยสายตาหลากหลาย เขาลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “พระชายากับใต้เท้าสวีไปหลบยังที่ที่ปลอดภัยก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ วันนี้ในบรรดานักฆ่าที่มาจะต้องมียอดฝีมือชั้นเลิศอยู่ด้วยเป็นแน่ หากเกิดอันใดที่ไม่คาดคิดขึ้น…”
เยี่ยหลีผินหน้าไปมองสวีหงเยี่ยนที่นั่งจิบชาอยู่ด้วยความสงบนิ่ง ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความเป็นกังวล นิสัยของท่านลุงนั้นนางพอเข้าใจดี หากตนเองไม่ยอมหลบไปแล้ว เขาไม่มีทางยอมไปเป็นแน่ เพียงแต่จะให้นางมาหลบไปในยามนี้ นางก็ไม่มีทางทำเช่นกัน…
สวีหงเยี่ยนเห็นแววตาเป็นกังวลของนางอย่างชัดเจน เขาวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยว่า “ทำธุระของเจ้าไป ให้ข้านั่งจิบชาเล่นอยู่ที่นี่สักสองถ้วยก็พอแล้ว”
เยี่ยหลีเข้าใจความหมายของท่านลุงดี เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มน้อยๆ “ถ้าเช่นนั้น หลีเอ๋อร์จะอยู่วางหมากเป็นเพื่อนท่านลุงสักสองกระดานนะเจ้าคะ”
สวีหงเยี่ยนพยักหน้า มองหลานสาวที่ยังคงสงบนิ่งได้ด้วยความพอใจ ตัวอยู่ที่ใดก็ต้องทำหน้าที่นั้น ในเมื่อแต่งงานเข้ามาเป็นชายาติ้งอ๋องแห่งตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ชะตาชีวิตของเยี่ยหลีก็ได้ถูกผูกไว้กับติ้งอ๋อง และนั่นเท่ากับว่า ชะตาได้กำหนดไว้แล้วว่านางคงจะไม่มีชีวิตที่สงบเรียบร้อยอีกต่อไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าสวีหงเยี่ยนหรือตระกูลสวี จึงต่างหวังให้เยี่ยหลีแข็งแกร่งขึ้นได้เท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น หากเป็นดังเช่นมารดาของนาง ต่อให้มีความสามารถมากมายเพียงใด ก็คงมิใช่เรื่องแปลกหากนางไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในฐานะเช่นนี้ได้
เวลาล่วงเลยจนเลยเที่ยงคืนไปได้เล็กน้อย ภายในตำหนักก็ยังคงเงียบสงัด เยี่ยหลีกับสวีหงเยี่ยนวางหมากกันไปได้สามกระดานแล้ว แพ้หนึ่งชนะหนึ่ง และกระดานที่เล่นอยู่นี้ก็ดูท่าว่าจะเสมอ ทั้งสองขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด จนแม้แต่เฟิ่งจือเหยาและหัวหน้าพ่อบ้านม่อยังอดเข้าไปร่วมชมด้วยไม่ได้ หนำซ้ำเฟิ่งจือเหยายังคอยออกความเห็นเป็นระยะอีกด้วย
เยี่ยหลีอมยิ้มมองเขา “คุณชายเฟิ่งซาน การชมการดวลหมากโดยไม่ออกความเห็น ถือเป็นวิถีของสุภาพบุรุษนะ”
เฟิ่งจือเหยาเอามือลูบจมูก “ข้ากำลังช่วยท่านอยู่นา”
เยี่ยหลีลอบกรอกตาเงียบๆ เจ้ากำลังรบกวนความคิดของข้าต่างหาก
มีเสียงความเคลื่อนไหวเบาๆ ดังขึ้นจากที่ไกลๆ หมากในมือของเยี่ยหลีชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าของเฟิ่งจือเหยาก็แข็งขึ้นทันที
สวีหงเยี่ยนที่ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงอันใด แต่กลับสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของทุกคนได้เป็นอย่างดี จึงยิ้มบางๆ พร้อมวางตัวหมากในมือลง “วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถิด ปีกว่ามานี้ฝีมือการวางหมากของเยี่ยพลีพัฒนาขึ้นมากทีเดียวนะ”
เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมวางหมากในมือลง “ไม่มีอันใดหรอกเจ้าคะ วางหมากกระดานนี้ให้จบก่อนก็ยังได้ ม่อหวา เจ้าออกไปดูที”
ม่อหวาพยักหน้าโดยไม่ส่งเสียง ก่อนหมุนตัวผลักประตูเดินออกไป
จนเมื่อพวกเขาวางหมากกันจบ เสียงต่อสู้จากด้านนอกจึงค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา เยี่ยหลีโบกมือสั่งให้ชิงหลวนที่ยืนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ให้เข้ามาเก็บกระดานหมากไป ก่อนลุกยืนขึ้นเดินไปทางหน้าต่าง ผลักหน้าต่างเปิดออกแล้วหันมองไปด้านนอก บรรยากาศภายในบริเวณเรือนยังคงเงียบเชียบอยู่ภายใต้แสงจันทร์อ่อนๆ ที่ทอประกายลงมา เพียงแต่ด้านนอกบริเวณเรือนหลายแห่งเริ่มเปลวไฟพวยพุ่งขึ้น เยี่ยหลีหลุบตาลงพร้อมทอดถอนใจเบาๆ “ให้พวกเขาระวังหน่อย อย่าถึงกับต้องทำลายตำหนักติ้งอ๋องที่มีอายุเก่าแก่เป็นร้อยปีเลย”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยด้วยความเคารพว่า “พระชายาวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ ได้กำชับพวกเขาไว้ก่อนแล้ว”
เยี่ยหลีพยักหน้า นั่งลงหันหลังให้หน้าต่าง เอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ “เช่นนั้นก็ดี พวกเรามารอดูกันเถิดว่าค่ำนี้พวกที่มาจะมีผู้ใดกันบ้าง” มาคอยดูกันว่าในแผ่นดินต้าฉู่นี้มีสักกี่คนที่คิดอยากให้ตำหนักติ้งอ๋องสูญสิ้น
เสียงการต่อสู้จากภายนอกค่อยๆ ดังขึ้นและดังใกล้เข้ามาทุกที สวีหงเยี่ยนยันตัวลุกขึ้น หันมองออกไปทางด้านนอกไกลๆ ที่มีเปลวไฟสว่างวาบอยู่แล้วทอดถอนใจ “ดูท่าฝ่าบาทคงทรงคิดจะนิ่งเฉยไม่ทำอันใดจริงๆ”
เยี่ยหลีส่ายหน้าน้อยๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านลุง ฝ่าบาทมิได้ทรงคิดที่จะนิ่งดูดายหรอกเพคะ พระองค์ทรงคิดจะฉวยโอกาสจับปลาขณะที่น้ำขุ่น ท่านลองเดาดูว่าในบรรดาคนเหล่านี้มีกี่คนที่เป็นคนจากวังหลวง”
เมืองหลวงมีอาณาบริเวณอยู่เพียงเท่าไรกันเชียว สิบกว่าวันมานี้ มีคนจากทั่วสารทิศเข้ามาท้าทายอำนาจตำหนักติ้งอ๋องกันไม่เว้นแต่ละวัน สูญเสียคนไปจำนวนนับร้อย แล้วทุกวันนี้ยังมีคนหลบซ่อนอยู่ในเมืองหลวงอีกจำนวนเท่าไร หากมิใช่เพราะเบื้องหลังมีคนคอยอำนวยความสะดวก ยอดฝีมือจำนวนมากเช่นนี้จะแทรกซึมเข้ามาในเมืองหลวงได้ง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร หากพวกเขาเก่งกาจเช่นนั้นจริง เกรงว่าฮ่องเต้ของแต่ละแคว้นคงข่มตานอนกันไม่หลับเป็นแน่
สวีหงเยี่ยนอึ้งไป สุดท้ายก็ทำได้เพียงทอดถอนใจยาว “ฝ่าบาทเหตุใดถึงต้อง…”
เมื่อนักฆ่าคนแรกปีนข้ามกำแพงเข้ามายังเรือนประมุขได้ เยี่ยหลีก็กลับลุกยืนขึ้นอีกครั้งพร้อมเดินออกไปด้านนอก สาวใช้สามสี่คนข้างกายต่างรีบเดินตามออกไป
เยี่ยหลีหันมาโบกมือเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่ต้องออกไปหรอก”
ชิงหลวนเอ่ยว่า “ตามปกติพวกเราก็ช่วยอันใดไม่ได้มากอยู่แล้ว ยามนี้เมื่ออยู่ในตำหนัก พระชายายังไม่ให้พวกเราติดตามออกไปอีก พวกบ่าวรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์เต็มทนแล้วนะเพคะ ชิงซวงกับชิงสยาไม่มีวิทยายุทธให้อยู่ในห้องยังพอว่า แต่ให้บ่าวกับชิงอวี้ติดตามพระชายาออกไปเถิดเพคะ”
เมื่อเห็นพวกนางมีความแน่วแน่เช่นนี้ เยี่ยหลีจึงเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่มิได้พูดอันใดอีก เพียงหมุนตัวก้าวออกจากห้องหนังสือไปเท่านั้น
เมื่อเดินออกไปตรงลานด้านนอก จั๋วจิ้งและเฟิ่งจือเหยาก็เดินเข้ามาหานางทันที
เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินออกมา เฟิ่งจือเหยาจึงเอ่ยว่า “มีคนบางกลุ่มไปทางโถงบรรพชน น่าจะไปเพื่อเอากระบี่หลั่นอวิ๋นที่วางบูชาอยู่ที่นั่น ส่วนคนอื่นๆ ต่างมุ่งหน้ามาที่เรือนประมุข แต่มีบางคนที่ไปทางหอหนังสือทางด้านนู้นพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุอันใด ทุกคนที่เหลืออยู่ก็อย่าได้หวังจะได้มีชีวิตรอดกลับออกไปเลย”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เฟิ่งจือเหยาหัวเราะเสียงใสขึ้น ประสานมือคารวะเยี่ยหลีก่อนกระโดดออกไปจากบริเวณเรือน ท่ามกลางสีแดงฉานของเลือด ชุดสีแดงเพลิงนั้นประหนึ่งมีกลิ่นคาวเลือดอ่อนๆ โชยออกมา
เสียงรบราฆ่าฟันค่อยๆ ดังตรงมาทางเรือนประมุข ดูเหมือนองครักษ์ตำหนักติ้งอ๋องจะเริ่มตึงมือเสียแล้ว เยี่ยหลียืนอยู่ใต้ชายคาเรือน ถึงแม้จะมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอก แต่ยังคงได้ยินเสียงฆ่าฟันและกลิ่นคาวเลือดฉุนๆ ที่ลอยตามลมเข้ามาได้อย่างชัดเจน
จู่ๆ ก็มีเงาดำสามสี่เงาฝ่าวงล้อมจากด้านนอกเรือนกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาได้ และดูเหมือนจะสังเกตเห็นเยี่ยหลีในชุดขาวที่ยืนอยู่ใต้ชายคาเรือนได้ทันที เงาดำกลุ่มนั้นพุ่งตรงมาทางเยี่ยหลีโดยพร้อมเพรียงกัน การเคลื่อนที่ที่รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าทำให้รู้ว่าพวกเขามิได้เป็นเพียงนักฆ่าธรรมดาทั่วไป แต่เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งจริงๆ
เยี่ยหลียืนนิ่งอย่างสง่างาม ประหนึ่งไม่มีรังสีสังหารกำลังพุ่งตรงมาหานางกระนั้น จนเมื่อเงานั้นพุ่งใกล้เข้ามาเต็มที ชั่วพริบตานั้นเอง จั๋วจิ้งที่ยืนอยู่ข้างกายนางก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาสะบัดมือออก พร้อมกับประกายเย็นเยียบที่พุ่งออกจากแขนเสื้อเข้าใส่เงาที่อยู่หน้าสุด ขณะเดียวกันในมุมมืด ก็มีลูกธนูพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ลูกธนูพุ่งตรงออกไปทางเดียวกันพร้อมปักเรียงแถวลงกับพื้นอย่างเป็นระเบียบ กลายเป็นเส้นสีขาวที่ขีดกั้นระหว่างทั้งสองฝ่ายไว้ และเป็นการเตือนให้ผู้มาเยือยหยุดฝีเท้าไว้เพียงเท่านั้น