ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 168-2 ศึกตัดสิน
หน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่บนที่สูง และชิงลงมือก่อน ฝีมือการยิงธนูของพวกเขาดูจะดีว่าทหารซีหลิงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนทหารซีหลิงก็ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย และค่อยๆ ถูกบีบให้หนีเข้าไปยังถนนเส้นที่ทั้งแคบและเล็กเหล่านั้น และสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็มิใช่โชคชะตาอันสวยงาม หากไม่ถูกลูกธนูที่ยิงลงมาจากบนหลังคาพุ่งเข้าเสียบกลางอก ก็ถูกคนที่พุ่งออกมาจากที่ใดไม่รู้เอามีดปาดคออย่างรวดเร็ว เมืองหงโจวที่เคยว่างเปล่าก็กลายเป็นนรกบนดินขึ้นมาในพริบตา
ด้านนอกเมือง สีหน้าเจิ้นหนานอ๋องเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว…ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่า ที่หลายวันนี้เขารู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้องมันคือสิ่งใด พวกเขาคิดที่จะไล่ตามกองทัพตระกูลม่อที่ล่าถอยไปจากการรักษาเมือง แต่ผู้ใดเลยจะบอกได้ว่า กองทัพทหารม้าที่ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังพวกเขากลุ่มนี้มาจากที่ใด เยี่ยหลีถึงขั้นสามารถซุกซ่อนทหารม้าจำนวนสามหมื่นนายไว้เบื้องหลังพวกเขาได้โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัว หลายวันนี้พวกเขาได้รับชัยชนะมาทุกวัน จนทำให้มึนงงไม่หมด และไม่เคยประเมินเลยว่ากองทัพตระกูลม่อที่เคยได้ชื่อว่าเหนือกว่าทุกแว่นแคว้นนั้น มีความสามารถที่แท้จริงอยู่มากน้อยเพียงไร
ในพายุหมุนจำนวนมหาศาลที่มุ่งตรงเข้ามา ผู้ที่นำทัพเข้ามาอยู่ในชุดสีแดงสด มองดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง เฟิ่งจือเหยานั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ ดูองอาจประหนึ่งพายุหมุนลูกสีแดงที่วิ่งตรงเข้ามา ยามที่เคลื่อนผ่านกลุ่มทหารของซีหลิง ไม่มีผู้ใดที่ไม่ถอยหลบรัศมีของเขา บนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความฮึกเหิมและสาสมใจ เขาอดทนมาหลายวันแล้ว ในที่สุดก็จะได้ออกมาสู้รบอย่างเต็มกำลังเสียที
การเคลื่อนทัพจัดรูปขบวนทหารเขาสู้เจิ้นหนานอ๋องไม่ได้ จะว่าเรื่องกลยุทธ์การทหารหรือประสบการณ์เขาก็สู้เจิ้นหนานอ๋องไม่ได้ แต่นั่นแล้วจะอย่างไร ทหารม้าสามหมื่นนายกับพลทหารสามหมื่นนาย ในลานโล่งกว้างเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องวางแผน ทุกสิ่งล้วนไม่จำเป็นในการเข้าห้ำหั่นทหารซีหลิงให้สิ้นซากทั้งสิ้น
อาจด้วยเพราะอารมณ์ที่เบิกบาน ดาบที่อยู่ในมือจึงเหวี่ยงเข้าปากคอทหารซีหลิงหลายคนในดาบเดียว เฟิ่งจือเหยาบังคับม้าให้วิ่งผ่านหน้าเจิ้นหนานอ๋อง เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านเจิ้นหนานอ๋อง พระชายาของพวกเราฝากข้าน้อยมาถามไถ่ว่าท่านสบายดีหรือไม่”
การมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบยามนี้ ช่างฟังดูประชดประชันยิ่งนัก เจิ้นหนานอ๋องสีหน้าบึ้งตึง เอ่ยพร้อมยิ้มเยาะว่า “ชายาติ้งอ๋องช่างวางแผนได้ดีนัก เพียงแต่…ข้ากลับอยากรู้ว่า ชายาติ้งอ๋องเผาเมืองซิ่นหยาง ทั้งยังทำลายกำแพงเมืองหงโจวเช่นนี้ แล้วหากทัพเสริมข้ามาถึง นางจะใช้สิ่งใดรักษาหงโจวไว้หรือ”
เฟิ่งจือเหยาหัวเราะเสียงกึกก้อง “ลำบากท่านอ๋องต้องเป็นกังวลแล้ว เพียงแต่พระชายาของพวกเราได้บอกไว้แล้วว่า ทหารซีหลิงที่ล่วงล้ำเข้ามาในซีเป่ย จะสังหารให้สิ้นไม่ให้เหลือแม้แต่ผู้เดียว!”
เจิ้นหนานอ๋องส่งเสียงหึเบาๆ “ช่างปากดียิ่งนัก ทหารเพียงสองแสนนายของข้ายังรับมือได้อย่างลำบากเพียงนี้ แล้วยังจะกล้าปากดีเช่นนี้อีก แม้นทัพข้าเสียหายอย่างหนัก แต่กองทัพตระกูลม่อเองก็คงมิได้ดีไปกว่ากันหรอก”
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วยิ้ม “ท่านอ๋องคิดว่ากองทัพตระกูลม่อกลัวคนซีหลิงของท่านหรือ สิ่งที่พระชายาคิดไว้นั้นมิใช่คิดรับมือเพียงเจิ้นหนานอ๋องแต่เพียงผู้เดียว ทัพเสริมสามแสนนายนั่นไม่มีเจิ้นหนานอ๋องคอยบัญชาการ จะมาถึงหงโจวหรือไม่ ยังต้องรอดูกันไปก่อน”
เจิ้นหนานอ๋องถึงกับหน้าถอดสี แต่สีหน้ายังคงรักษาให้ดูเรียบเฉย แต่ในใจกลับเย็นวาบและประหนึ่งมีคลื่นลูกใหญ่พุดกระหน่ำ ศึกครานี้เขาแพ้เสียแล้ว ถึงแม้จะยังไม่เป็นบนสรุปสุดท้ายแต่เจิ้นหนานอ๋องก็รู้ดี เขาทำศึกอย่างองอาจมาครึ่งชีวิต ก่อนหน้านี้พ่ายแพ้ให้กับม่อหลิวฟาง แต่ไม่คิดเลยว่าช่วงชีวิตหลังเขาจะพ่ายแพ้ให้กับสตรีนางหนึ่ง!
ถึงแม้จะมองเห็นตอนจบของศึกในครานี้แล้ว แต่เขากลับมิอาจยอมรับผลของมันด้วยใจจริงได้ จากการประมือกันมาหลายครา ในใจเขารู้ดีว่าเยี่ยหลีมิใช่แม่ทัพที่เก่งกาจสะท้านฟ้าแต่อย่างใด และด้วยเพราะเหตุนี้ ทำให้เขามิอาจเข้าใจได้ว่า สถานการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นได้อย่างไร
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทหารจิ่นอีเว่ยทุกนาย ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอันใด จับตัวเยี่ยหลีมาให้ได้!” เขานิ่งไปครู่ใหญ่ มองชายในชุดแดงที่หัวเราะเสียงดังจากไป ก่อนเจิ้นหนานอ๋องจะเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน
“ท่านอ๋อง ยามนี้ที่นี่…”
“ฆ่า!”
“ที่เจิ้นหนานอ๋องตกหลุมพรางนี้ก็ด้วยเพราะเขาประมาทข้าเกินไป” บนเนินเขาภายในด่านห่างจากเมืองหงโจวไปสิบกว่าลี้ เยี่ยหลีเงี่ยหูฟังเสียงฆ่าฟันที่ยังคงดังมาจากเมืองหงโจวไม่หยุด แล้วหันไปเอ่ยกับพวกจั๋วจิ้งที่ยืนทำหน้างงงวยอยู่เรียบๆ ว่า “หากคนที่ทำศึกกับเขาคือซิวเหยา เขาไม่มีทางตกหลุมพรางนี้แน่นอน”
จั๋วจิ้งเอ่ยว่า “ความหมายของพระชายาคือ….หากท่านอ๋องดำเนินการตามแผนการนี้ เจิ้นหนานอ๋องจะคิดว่านี่เป็นแผน แต่เมื่อเป็นพระชายา จึงไม่คิดเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ไม่ว่าเจิ้นหนานอ๋องจะคิดว่าตนระมัดระวังมากเพียงใดแล้วก็ตาม แต่…ธรรมชาติของบุรุษนั้นอย่างไรก็มีความดูถูกสตรีอยู่ อย่างมากเขาก็เพียงมีน้อยกว่าผู้อื่นเท่านั้นเอง”
เว่ยลิ่นเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เชื่อว่าหลังจากผ่านครานี้ไปแล้ว เจิ้นหนานอ๋องจะไม่มีทางดูถูกพระชายาอีกเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“พระชายา…เมื่อการศึกด้านนอกเมืองจบลงแล้ว จะเข้าเมืองไปช่วยเหลือพี่น้องที่เหลืออยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หลินหานเอ่ยถาม
เยี่ยหลีนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ในที่สุดจึงเอ่ยปากออกมาว่า “ไม่ พวกเขาต้องไปช่วยเหลือหนานโหวต่อทันที”
ทุกคนนิ่งไป มิได้เอ่ยอันใด ภายในเมืองมีทหารซีหลิงอยู่เจ็ดหมื่นนาย แต่กลับมีทหารกองทัพตระกูลม่ออยู่เพียงหนึ่งหมื่นกว่านาย ท้ายที่สุดแล้วจะมีคนเหลือรอดออกมาสักกี่คนก็ยังมิมีผู้ใดกล้ายืนยัน
ส่วนหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสามหมื่นนายที่ซ่อนตัวอยู่นอกเมืองนั้น หลังจากจำกัดทหารซีหลิงสามหมื่นนายจนหมดสิ้นแล้ว ก็ต้องรีบมุ่งหน้าต่อไปช่วยเหลือหนานโหวที่ชายแดนทันที หนานโหวและหนานโหวซื่อจื่อพร้อมด้วยอวิ๋นถิงและแม่ทัพหนุ่มอีกสามสี่คน มีทหารอยู่เพียงสามหมื่นนาย แต่ต้องเข้าขวางทัพเสริมจำนวนสามแสนนายของซีหลิงไว้ให้ได้ และเช่นกัน ไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าจะสามารถรอดชีวิตกลับมาได้จำนวนเท่าใด มิใช่เพราะพระชายาใจดำ ทุกคนต่างรู้ดีว่า พวกเขามิได้มีกำลังทหารมากมายเช่นนั้น พระชายาได้จัดวางกำลังอย่างดีที่สุดแล้ว
“พระชายา ควรออกเดินทางได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ หากเดินทางเร็วหน่อย คืนนี้ก็จะสามารถไปพักยังเมืองเล็กๆ สักเมืองได้ทันพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีหันกลับไปมองเมืองที่อยู่ไกลออกไปอีกครั้ง นิ่งไปพักหนึ่งแล้วจึงค่อยๆ พยักหน้า
“เรียนพระชายา ด้านหน้ามีทหารจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังหงโจวพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับที่ล่วงหน้าไปสำรวจเส้นทางก่อน กระหืดกระหอบกลับมารายงาน
เยี่ยหลีอึ้งไป ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถามว่า “เป็นผู้ใดกัน”
องครักษ์ลับตอบว่า “เป็นทหารที่ประจำการอยู่ใกล้ๆ เขตหงโจวพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดพวกเขาถึงได้มาในยามนี้” นางรู้ว่า แม่ทัพที่ประจำการอยู่บริเวณใกล้เคียงเขตหงโจวนั้น เคยยื่นฎีกาถึงฮ่องเต้ว่าอยากส่งทหารมาช่วยเหลือยังหงโจว แต่แม่ทัพเหล่านี้ต่างเป็นคนที่จงรักภักดีต่อม่อจิ่งฉี นางเคยส่งคนไปขอทัพเสริมให้มาช่วยเหลือ แต่หากไม่มีราชโองการจากม่อจิ่งฉี แม่ทัพเหล่านี้ไม่มีทางยินยอม หรือจะบอกว่า ไม่กล้าให้นางยืมกำลังทหารอย่างแน่นอน พวกเขาเพียงรับปากว่าจะยื่นฎีกาไปยังเมืองหลวงเพื่อขอเคลื่อนพล ส่วนความคิดของม่อจิ่งฉีเป็นเช่นไรนั้น เยี่ยหลีพอเข้าใจอยู่หลายส่วน จึงย่อมไม่มีความหวังอันใดกับสิ่งที่พวกเขารับปาก
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นทหารที่ส่งมาช่วยเสริมทัพที่หงโจว” หลินหานเอ่ยถาม
จั๋วจิ้งเอ่ยด้วยความเยาะหยันว่า “มาได้พอดีเวลาเกินไปหน่อยกระมัง พระชายา ข้าน้อยจะไปลองดูพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีย่นคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ไปเถิด ระวังด้วย”
จั๋วจิ้งเป็นคนที่เยี่ยหลีฝึกมาเองกับมือ จัดการสิ่งใดได้ละเอียดรอบคอบดีและรวดเร็วยิ่งนัก ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็กลับมา แต่สีหน้าเขากลับดูย่ำแย่ยิ่งนัก
จั๋วจิ้งเหลือบมองเยี่ยหลี ก่อนเอ่ยว่า “พระชายา พวกเขามิได้มาช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนต่างอึ้งไป ม่อหวาเอ่ยอย่างเยาะหยันว่า “หรือว่าคนพวกนั้นจะมาช่วยคนซีหลิงกัน”
จั๋วจิ้งส่ายหน้า “พวกมันตั้งค่ายอยู่หากไปสิบกว่าลี้ ข้าลองเข้าไปลอบฟังพวกมันสนทนากันมาแล้ว พวกมันคิดที่จะคอยดูอยู่เฉยๆ หากพวกเราชนะ พวกมันก็จะอาศัยช่วงที่เรายังไม่ทันได้พักผ่อน เข้ามาจัดการพวกเรา หากคนซีหลิงชนะ พวกมันก็จะถอยกลับไปประจำการที่เดิม หากทั้งสองฝ่ายพ่ายแพ้และเสียหายอย่างหนักก็ยิ่งดี เป็นโอกาสให้พวกมันได้ฉกฉวยผลประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านในวังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ หรือว่าเขาไม่อยากเก็บหงโจวไว้แล้วอย่างนั้นหรือ” หลินหานเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
เยี่ยหลีหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “เดิมทีเขาก็คิดจะยกพื้นที่ทั้งสามเขตของซีเป่ยให้ซีหลิงอยู่แล้ว ไม่ว่าศึกครานี้จะแพ้หรือชนะ พื้นที่ในซีเป่ยก็จะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป จึงย่อมไม่รู้สึกเจ็บปวดอันใดอยู่แล้ว”
“บ้าไปแล้วจริงๆ!” พักใหญ่ เว่ยลิ่นถึงได้สบถออกมา พื้นที่ซีเป่ยมีความสำคัญต่อต้าฉู่เพียงใด แม้แต่เขาที่ไม่สนใจเรื่องการทหารยังรู้ เพื่อจะจัดการกับกองทัพตระกูลม่อแล้ว ม่อจิ่งฉีไม่สนใจแม้กระทั่งซีเป่ยแล้วหรือ…
“ยังมีอีกว่า…” จั๋วจิ้งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “กองทัพที่ประจำการอยู่ในละแวกใกล้เคียงต่างได้รับราชโองการลับจากฮ่องเต้ ให้หาโอกาสกำจัดกองทัพตระกูลม่อทั้งหมดในเขตซีเป่ย และที่สำคัญที่สุดคือ…ให้จับพระชายาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายพ่ะย่ะค่ะ!”