ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 166-2 สงคราม (2)
เจิ้นหนานอ๋องมองสตรีในชุดสีอ่อนที่ประหนึ่งกำลังผงกศีรษะให้เขา แล้วในใจของเจิ้นหนานอ๋องก็เต้นแรงขึ้นมาทันที ความรู้สึกไม่วางใจค่อยๆ เข้าครอบคลุมจิตใจเขา แต่เมื่อได้ครุ่นคิดพิจารณาดูแล้ว กลับหาที่มาของความรู้สึกไม่สบายใจนั้นไม่พบ
เจิ้นหนานอ๋องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินกลับค่ายไป “ม้าเร็วถ่ายทอดคำสั่ง ให้ทหารที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนซีหลิงทั้งสามแสนนาย เดินทางมายังหงโจวพร้อมเสบียงอาหารทันที”
ผู้บัญชาการทหารที่ยืนอยู่อึ้งไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยความลังเลว่า “ท่านอ๋อง ความเร็วในการขนถ่ายเสบียงอาหารด้วยกองทัพขนาดใหญ่…” ทหารที่ประจำการอยู่บริเวณชายแดนนั้น มีเสบียงอาหารที่เพียงพอให้ทหารจำนวนสี่แสนนายใช้ชีวิตอยู่ได้ตลอดฤดูหนาวก็จริง แต่หากคิดอยากจะขนถ่ายทั้งหมดมายังหงโจว การเคลื่อนทัพย่อมไปอาจรวดเร็วได้เท่าที่ควร
เจิ้นหนานอ๋องส่งเสียงหึเบาๆ “มาให้ทันข้ามด่านก็พอแล้ว หากพวกเจ้าช้าไปอีกสักนิด ไม่แน่ว่าเมื่อทัพใหญ่มาถึงแล้ว พวกเจ้าก็ยังตีเมืองหงโจวไม่แตก!”
ผู้บัญชาการทหารที่ติดตามข้างกายต่างพากันหน้าแดงขึ้นทันที สีหน้าดูไม่ยอมแพ้ หากพวกเขาเอาชนะสตรีเพียงคนเดียวก็ยังไม่ได้ พวกเขาคงไม่มีหน้ากลับไปซีหลิงแล้ว
“ภายในห้าวัน จะต้องตีเมืองหงโจวให้แตกให้ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้าจะคอยดู”
ในเมืองหงโจว เฟิ่งจือเหยาหน้าแดง มองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยยิ้มๆ ว่า “วันนี้หากไม่ได้พระชายาเตรียมการไว้ก่อน กองทัพตระกูลม่อที่ออกไปรับศึกคงมิอาจได้กลับมา ข้ายังอ่อนด้อยอีกมากนัก…”
เยี่ยหลีอมยิ้มมองเขา “ถึงแม้เจ้าจะกรำศึกมาตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำศึกมานานหลายปีแล้ว เรื่องประสบการณ์ย่อมน้อยกว่าเจิ้นหนานอ๋องที่กรำศึกมากว่าครึ่งชีวิตแน่นอน บทเรียนในวันนี้ได้สอนพวกเราแล้วว่า ทางที่ดีอย่าได้เอาจุดอ่อนของตนเองไปแข่งกับจุดแข็งของผู้อื่น”
เฟิ่งจือเหยาทำได้เพียงผายมือออก “การสู้รบแบบเผชิญหน้า สิ่งที่ต้องมีคือการจัดขบวนทัพ หากปล่อยให้ทหารทั้งหลายออกไปรบราข้าฟันกันแบบหมู่คณะ คงได้ตายอย่างน่าอนาจยิ่งกว่านี้ แต่สิ่งที่พระชายาพูดก็ถูกต้อง การรบเช่นนี้ คนที่ด้อยกว่าก็คือพวกเรา ความสามารถของทหารทั้งสองฝ่ายพอๆ กัน สิ่งที่จะตัดสินก็คือการจัดขบวนทัพ”
หากเป็นพวกทหารชั้นต่ำของม่อจิ่งหลีที่ทางใต้แล้ว ผู้ใดเลยจะสนใจว่าต้องใช้ขบวนทัพรูปแบบใด ฆ่าไปเสียให้หมดๆ ก็สิ้นเรื่อง แค่เพียงทำให้กลัวก็สามารถฆ่าทหารชั้นเลวพวกนั้นได้แล้ว
เยี่ยหลีเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ในกองทัพ คนที่มีประสบการณ์มากที่สุดอย่างหนานโหว นางก็ให้ไปทำอย่างอื่นเสียแล้ว ส่วนความรู้เรื่องขบวนทัพของคนอื่นๆ เกรงว่าก็คงยังสู้เฟิ่งจือเหยาที่เรียนรู้จากม่อซิวเหยามาตั้งแต่เล็กๆ ไม่ได้
ถึงแม้นางจะพอเข้าใจในหลักการ แต่สำหรับคนที่เรียนรู้การรบสมัยใหม่มาแล้วอย่างนาง เอาเข้าจริงก็ยากที่จะเรียนรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของการจัดขบวนทัพแบบโบราณเหล่านั้นได้ ต่อให้นางอ่านตำราพิชัยสงครามมามากกว่านี้ ก็คงไม่มีประโยชน์เมื่อต้องเข้ามาอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบที่แท้จริงอยู่ดี เพราะมิใช่ทุกคนที่อ่านสามสิบหกกลยุทธ์ซุนจื่อแล้วจะสามารถกลายเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจได้
เยี่ยหลีก้มหน้าลงนิ่งคิด ก่อนเอ่ยว่า “พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าเช่นนี้ให้ได้มากที่สุด เรื่องที่หลายวันก่อนข้าพูดถึง เตรียมการไปถึงไหนแล้ว”
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “ทุกอย่างจัดวางไว้ตามที่พระชายาต้องการเรียบร้อยแล้ว พระชายา…” เฟิ่งจือเหยาลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามว่า “ยามนี้ในเมืองหงโจวก็ไม่มีเรื่องสำคัญอันใดแล้ว พระชายาลองใคร่ครวญเรื่องข้ามด่านไปก่อนดีหรือไม่”
“ข้ามด่าน?” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว หันไปมองเฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังตน บนใบหน้าอ่อนเยาว์และหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเป็นกังวล”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ยามนี้ข้ามิอาจไปจากหงโจวได้ หากข้าไม่อยู่ที่หงโจว เป็นไปได้มากที่เจิ้นหนานอ๋องจะรู้ถึงจุดประสงค์ของเรา ที่ข้าอยู่ที่นี่…ก็เพื่อให้เขาเชื่อว่า กองทัพตระกูลม่อตั้งใจจะรักษาเมืองหงโจวไว้ให้ได้”
“แต่ว่า…” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยอย่างไม่วางใจ “หากเป็นก่อนหน้านี้ข้าย่อมไม่กังวลใจ ต่อให้ต้องตกอยู่ท่ามกลางการสู้รบที่วุ่นวายจริงๆ ด้วยความสามารถของพระชายากับหน่วยกิเลน อย่างน้อยก็สามารถหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่ในยามนี้…หากเกิดอันใดนอกเหนือความคาดหมายขึ้น…”
ถึงแม้ยามนี้จะยังดูไม่ออก แต่อย่างไรพระชายาก็กำลังตังครรภ์อยู่ ในสมรภูมิรบสามารถเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจะเกิดเหตุอันใดขึ้นหรือไม่
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “ไม่มีอันใดเหนือความคาดหมายหรอก อีกย่าง…ให้คนพาตัวหานหมิงเย่ว์และซูจุ้ยเตี๋ยออกไปเถิด ส่วนหน่วยกิเลนนั้น…ข้ามีงานอื่นให้พวกเขาทำ”
เฟิ่งจือเหยาหน้าขรึมลง ขวางหน้าเยี่ยหลีไว้อย่างดื้อรั้น “หน่วยกิเลนมีไว้เพื่อปกป้องความปลอดภัยของพระชายา”
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองเขา ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ที่ข้าลำบากฝึกฝนหน่วยกิเลนมา มิใช่เพื่อให้พวกเขามาเป็นองครักษ์ หากไม่มีพวกเขา…แผนการในครานี้มีความเป็นไปได้กว่าครึ่งที่จะล้มเหลว เฟิ่งซาน ลองใคร่ครวญถึงผลที่จะตามมา หากทหารซีหลิงจำนวนหลายแสนนายหลุดข้ามด่านไปได้เสียก่อน แล้วค่อยมาคุยกับข้า”
พูดจบนางก็ไม่สนใจเฟิ่งจือเหยาอีก หมุนตัวเดินลงจากกำแพงเมืองไปทันที
เฟิ่งจือเหยาทำได้เพียงถอนใจยาว สิ่งที่พระชายาคิดใคร่ครวญนั้น เหตุใดเขาจะไม่รู้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทหารซีหลิงเมื่อเข้าไปในพื้นที่จงหยวนแล้วจะทำร้ายชาวบ้านอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงอันตรายของแผ่นดินต้าฉู่หากคนซีหลิงรุกรานเข้าไปถึงพื้นที่จงหยวนได้ เพียงพูดถึงเรื่องอันตรายจากทหารหลายแสนนาย ที่จะมีต่อกองทัพตระกูลม่อที่อยู่ในเขตจงหยวน ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อขวางศัตรูชั้นต่ำเหล่านั้นให้อยู่นอกเมืองหงโจวได้แล้ว เพียงแต่…ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะให้เกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นกับพระชายาไม่ได้ เฟิ่งเจือเหยาไม่กล้าคิดเลยว่า หากเกิดอันใดขึ้นกับพระชายา ม่อซิวเหยาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร
“แม่ทัพเฟิ่ง?” ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามอยู่ด้านหลังเอ่ยเรียกขึ้น
เฟิ่งจือเหยายกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว “องครักษ์ข้างกายพระชายาให้เพิ่มจำนวนขึ้นอีกเท่าตัว พวกเขาไม่ต้องทำอันใดทั้งนั้น เมื่อใดก็ตามที่เมืองหงโจวแตก รีบอารักขาพระชายาออกจากเมืองทันที!”
“ขอรับ”
ส่วนยามนี้ในวังหลวงของต้าฉู่ ภายในตำหนักทองสีเหลืองอร่าม ดูสงบเงียบและเย็นเยียบกว่ายามปกติเล็กน้อย ภายในห้องทรงพระอักษร ม่อจิ่งฉีจับจ้องคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า “ม่อซิวเหยาย้ายมาคุมทัพภายในด่าน แล้วชายาติ้งอ๋องเป็นผู้บัญชาการทหารสองแสนนายในการต้านทัพซีหลิงของเจิ้นหนานอ๋อง?”
บุรุษที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ตัวสั่นขึ้นด้วยคลื่นความเย็นยะเยือกในน้ำเสียงนั้น เอ่ยด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า “ทูลฝ่าบาท ข่าวที่ส่งมาจากทางซีเป่ยรายงานมาเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ…ชายาติ้งอ๋องเป็นผู้นำกองทัพตระกูลม่อที่อยู่รักษาพื้นที่ทางซีเป่ย และร่นถอยไปทางเมืองหงโจว เกรงว่าน่าจะวางแผนที่จะสู้รบตัดสินกับทัพใหญ่ซีหลิงใกล้ๆ หงโจวพ่ะย่ะค่ะ…แม่ทัพภายในด่านที่อยู่ใกล้ๆ หงโจวต่างพากันยื่นฎีกาขอให้ส่งกำลังเสริมไปช่วยเหลือชายาติ้งอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
“หุบปาก!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยเสียงเย็น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุดจากการหอบหายใจถี่ๆ ช่วยเหลือชายาติ้งอ๋อง…หากนางชนะศึกครานี้อีกครั้ง ก็คงทำให้นางได้ชื่อเสียงแห่งความเป็นวีรสตรีไปอย่างนั้นสิ หลายปีมานี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้ม่อซิวเหยากลายเป็นคนไร้สมรรถภาพไปได้ ไม่คิดเลยว่าเขาไม่เพียงกลับมายืนได้อีกครั้ง แต่ยังมีพระชายาที่สามารถทำศึกได้เพิ่มขึ้นมาอีกคน!
“เยี่ยหลี…” ม่อจิ่งฉีลอบนึกเสียใจอยู่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตอนแรกเหตุใดเขาถึงได้ให้เยี่ยหลีแต่งงานกับม่อซิวเหยากันนะ ใจเขาเต้นเร็วขึ้น เมื่อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ตระกูลสวีที่อยู่อวิ๋นโจวยามนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ขุนนางที่คุกเข่าอยู่กับพื้นถึงกับใจกระตุก ค่อยเหลือบตาขึ้นมองฮ่องเต้ที่ประทับนั่งอยู่ด้านบน ก่อนเอ่ยด้วยความระมัดระวังว่า “ตระกูลสวี…ท่านผู้เฒ่าชิงอวิ๋นกับท่านหงอวี่ยังคงสอนหนังสืออยู่ที่สำนักหลีซาน มิได้มีอันใดผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”
ในใจเขาเต้นรัว ในหัวเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น ฮ่องเต้ที่ประทับนั่งอยู่บนที่สูงนั่น ไม่แน่ว่ายามนี้อาจเสียสติไปแล้ว ตระกูลสวีเป็นตระกูลผู้นำของบัณฑิตสายบุ๋นทั่วทั้งใต้หล้า หากเป็นยามที่บ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีก็ว่าไปอย่าง แต่ยามนี้สถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกต้าฉู่ต่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ฮ่องเต้ยังคิดที่จะเล่นงานตระกูลสวีอีก พระองค์ต้องรู้ก่อนว่า…ขุนนางในใต้หล้านี้กว่าครึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านชิงอวิ๋น อีกทั้งตระกูลสวีไม่มีพฤติกรรมชั่วร้ายอันใดที่จะเป็นข้ออ้างให้ฮ่องเต้สั่งจับตัวพวกเขาไว้ได้
ม่อจิ่งฉีนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถิด”
“ฝ่าบาท…หนังสือร้องขอคำสั่งทำศึกจากแม่ทัพภายในด่าน…”
“ขอคำสั่งทำศึก?” ความเย็นเยียบในน้ำเสียงดุเข้มของม่อจิ่งฉี ทำให้คนฟังรู้สึกหนาวยะเยือก “เจ้าออกไปเถิด ข้าจะจัดการเอง”
“ข้าน้อยทูลลา”