ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 172-1 ตกตะลึงไปทั่วใต้หล้า
เดือนสิบปีนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่คนทั้งใต้หล้าควรค่าแก่การจดจำ
เช่นว่า หลีอ๋อง ม่อจิ่งหลีร่วมมือกับหนานจ้าวและซีหลิงยกทัพมาโจมตีต้าฉู่ เช่นว่าท่านติ้งอ๋องนำทัพกองทัพตระกูลม่อจำนวนห้าแสนนายออกไปรับศึกจากทั้งสามแคว้นด้วยตนเอง และเช่นว่า ชายาติ้งอ๋องอายุสิบหกปีไปประจำการรบอยู่ที่ซีเป่ย วันที่สิบห้าสิบหกเดือนสิบ ภายในเมืองหงโจวที่เป็นเมืองสุดท้ายของซีเป่ยในต้าฉู่ มาถึงบัดดนี้ ทัพใหญ่ซีหลิงจำนวนสองแสนนายที่เข้าต่อสู้กับชายาติ้งอ๋องที่ซีเป่ย ถูกสังหารจนหมดสิ้น จนเจิ้นหนานอ๋องต้องรีบหลบหนีไปทางตะวันตกอย่างร้อนรน เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ก็ทำให้คนทั้งใต้หล้าต่างพากันตกใจ
และเช่นว่า ในยามที่ชายาติ้งอ๋องสู้รบกับเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงนั้น ยังได้แบ่งกองทัพออกเป็นสองหน่วย และใช้กำลังทหารเพียงสามหมื่นนาย ไล่ต้อนกองทัพขนาดสามแสนนาย ให้เข้าไปติดอยู่ในหุบเขาแคบๆ ในเขตซีเป่ยของต้าฉู่ ยากที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังได้ ฉินเฟิง องครักษ์คนสนิทของชายาติ้งอ๋อง นำหน่วยทหารขนาดสิบกว่านาย ที่ใช้ชื่อว่าหน่วยกิเลน ไปมารวดเร็วประหนึ่งปีศาจ ทุกครั้งที่กองทัพตระกูลม่อจะลอบโจมตีหรือขัดขวาง ต่างมีหน่วยฉีกินเลนคอยเป็นทัพหน้า เปิดทางให้ทุกคราไป
วันที่สิบเจ็ดเดือนสิบ เสบียงอาหารที่ทัพเสริมซีหลินกำลังเคลื่อนย้ายมายังต้าฉู่ ถูกไฟเผาจนเหลือเพียงขี้เถ้ากองโต เปลวไฟกิเลนขนาดมหึมาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า บัดนี้ หน่วยกิเลนมีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นที่รู้จักไปทั่วใต้หล้า เสบียงอาหารสำหรับทหารสามแสนนายเสียหายจนหมดสิ้น ทหารและแม่ทัพล้มตายจนต้องลนลานถอยหนีกลับไปยังชายแดนซีหลิง
แต่ที่เอ่ยมาทั้งหมดนี้ มิใช่ข่าวที่สำคัญที่สุด ข่าวที่ทำให้คนต้องประหลาดใจถึงขีดสุดก็คือ วันที่สิบหกเดือนสิบ ชายาติ้งอ๋องตกหน้าผาของเทือกเขาถิงอวิ๋น ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองหงโจวและเมืองหรู่หยางของต้าฉู่ ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ที่น่าแปลกคือ ในขณะนั้นทหารที่ปักหลักอยู่บริเวณตีนเขา มิใช่ทหารของฝ่ายศัตรู แต่เป็นทหารต้าฉู่จำนวนกว่าเจ็ดพันนาย หลังจากเกิดเรื่องนี้ ติ้งอ๋องโกรธจัด ทหารทั้งเจ็ดพันคน รวมถึงผู้บัญชาการทหาร ถูกสังหารเรียบ ไม่มีเหลือ ว่ากันว่า เลือดสดๆ ไหลหลากไปทั่วจนแม่น้ำสายใหญ่บริเวณตีนเขากลายเป็นสีแดงฉาน
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป คนทั้งใต้หล้าต่างพากันวิจารณ์ไปต่างๆ นานา บ้างด่าว่าติ้งอ๋องสังหารผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเ**้ยม บ้างช่วยแก้ต่างให้ติ้งอ๋อง คิดว่ามีคนตั้งใจกุข่าวขึ้นเพื่อใส่ร้าย และมีคนบางกลุ่มที่ลอบคาดเดาว่า ที่ชายาติ้งอ๋องหายสาบสูญไปนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับทหารจำนวนเจ็ดพันนายนั้น แต่ไม่ว่าคนทั้งใต้หล้าจะวิพากษ์วิจารณ์กันไปเช่นไร กองทัพตระกูลม่อและติ้งอ๋องที่กลับเข้าประจำการที่เมืองหงโจวอีกครั้ง ก็ไม่ออกมาแสดงท่าทีใดๆ เลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขากระนั้น
เมื่อข่าวส่งไปถึงเมืองหลวง เป็นช่วงออกว่าราชการในยามเช้าพอดี ภายในตำหนักใหญ่เงียบกริบ ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ได้แต่รอให้ฮ่องเต้ที่นั่งฟังด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว มีรับสั่งออกมาเท่านั้น
ม่อจิ่งฉีดูจะจับฎีกาที่มีคนถวายขึ้นมาไว้ไม่อยู่ มือเขาสั่นเทา ไม่รู้ด้วยเพราะโกรธจัดหรือกลัวจัด พักใหญ่ ถึงได้ตะโกนเสียงดังสนั่นขึ้นว่า “บังอาจ! ม่อซิวเหยาเจ้าช่างกล้านัก?! ทหารเจ็ดพันนาย มันฆ่าทหารเหล่านั้นโดยไม่พูดอันใดสักคำ คิดจะต่อต้านข้าแล้วใช่หรือไม่!”
ภายในตำหนัก ขุนนางอาวุโสหลายคนที่ก้มหน้าอยู่ ต่างลอบกระตุกมุมปาก ฝ่าบาท ท่านเข้าใจถึงใจความสำคัญหรือไม่ ชายาติ้งอ๋องตายเสียแล้วนา ด้วยความสำคัญที่ชายาติ้งอ๋องมีต่อติ้งอ๋อง รวมถึงยามนี้ที่นางเป็นที่ยอมรับนับถือในหมู่กองทัพตระกูลม่อ หรือแม้กระทั่งทั้งต้าฉู่ ท่านคิดว่าทหารเจ็ดพันคนนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่หรือ อีกอย่าง…ต่อให้ท่านคิดว่าติ้งอ๋องคิดจะต่อต้านท่านจริงๆ ท่านก็มิจำเป็นต้องมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าขุนนางใหญ่บุ๋นบู๊กลางท้องพระโรงเช่นนี้กระมัง
“ฝ่าบาท ที่ติ้งอ๋องอุกอาจสังการทหารและแม่ทัพของราชสำนักเช่นนี้ ถือเป็นความอัปยศยิ่งนัก หากไม่ลงโทษสถานหนัก คงทำให้ทหารของต้าฉู่และประชาชนทั้งใต้หล้าต้องรู้สึกปวดใจเป็นแน่ ขอฝ่าบาทได้โปรดมีราชโองการสั่งลงอาญาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีหลิ่วที่กำลังขึ้นหม้ออยู่ในยามนี้ เดินออกจากแถวมาเอ่ยขึ้น
ขุนนางใหญ่ที่เป็นฝ่ายม่อจิ่งฉีอีกหลายคนก็ต่างพากันเดินออกจากแถวมากราบทูลเช่นเดียวกัน
ในขณะที่ม่อจิ่งฉีกำลังจะเอ่ยปากนั้น ก็มีขุนนางท่านหนึ่งเดินออกมาเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีเหลือบตาขึ้นมอง ก็เห็นว่าเป็นซูเจ๋อ ขุนนางใหญ่จากสำนักศึกษาไท่เสวีย ที่อายุล่วงเลยไปกว่าหกสิบปีแล้ว
ม่อจิ่งฉีหน้าตึงไปเล็กน้อย เอ่ยเรียบๆ ว่า “ใต้เท้าอาวุโสซู มีความเห็นเช่นไรหรือ”
ซูเจ๋อทำการคารวะด้วยความเคารพ กราบทูลว่า “ฝ่าบาท ชายาติ้งอ๋องต้องมาสิ้นชีพด้วยอุบัติเหตุ ยามนี้ติ้งอ๋องคงเศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด จึงควรปลอบใจ มิควรลงโทษนะพ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีหลิ่วหันไปเอ่ยกับซูเจ๋ออย่างเยาะหยันว่า “หรือว่าทหารเจ็ดพันนายนั้นต้องตายไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ ใต้เท้าอาวุโสซูก็เป็นบัณฑิตเรียนหนังสือ คงรู้ดีว่าเมื่อผู้เป็นอ๋องทำเรื่องผิดกฎ ก็ต้องรับโทษเช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไป อีกทั้งติ้งอ๋องนี้ก็เป็นขุนนางคนหนึ่งของฝ่าบาท ที่ชายาติ้งอ๋องต้องมาสิ้นชีพด้วยอุบัติเหตุ พวกเราย่อมรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง หรือว่าชีวิตของชายาติ้งอ๋องเป็นชีวิต แต่ทหารเจ็ดพันนายนั้นเป็นผักเป็นหญ้าหรืออย่างไร”
ที่เขาเอ่ยมาเป็นความจริงก็จริงอยู่ แต่คนที่สามารถมายืนอยู่ในท้องพระโรงนี้ได้ มีผู้ใดหรือที่เป็นหนอนหนังสืออ่านเป็นแต่ตำรา ผู้เป็นอ๋องเมื่อทำผิดต้องรับโทษเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป? หากกฎข้อนี้นำมาใช้จริง ตระกูลหลิ่วที่ใช้อำนาจข่มขู่ในทางมิชอบนี้ คงได้ถูกกวาดล้างทั้งตระกูลไปจนหมดแล้ว
ซูเจ๋อหันมองเสนาบดีหลิ่ว ถอนใจเบาๆ ทีหนึ่งก่อนกราบทูลต่อม่อจิ่งฉีต่อว่า “กระหม่อมขอฝ่าบาทได้โปรดไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้บ้านเมืองต้าฉู่กำลังวุ่นวาย ครานี้ท่านติ้งอ๋องกระทำการตามอำเภอใจนั้นจริงอยู่ แต่ต้าฉู่ในยามนี้จะขาดท่านติ้งอ๋องไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทได้โปรดให้อภัยท่านติ้งอ๋องในความผิดครานี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีหลิ่วส่งเสียงหึเบาๆ “ขาดท่านติ้งอ๋องไมได้? ขุนนางและแม่ทัพที่มีอยู่เต็มราชสำนักเป็นคนไร้ความสามารถกันหมดหรือไร หากต้าฉู่ไม่มีติ้งอ๋อง ก็จะอยู่ไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
ซูเจ๋อเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าเคยได้ยินว่า ในจวนของใต้เท้าหลิ่ว มีแม่ทัพอยู่ท่านหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าแม่ทัพหลิ่วน้อยนั้น เคยนำทัพมามากน้อยเพียงใด มีผลงานอันใดบ้าง สามารถนำทัพไปปราบความวุ่นวายทางซีเป่ยได้หรือไม่”
สีหน้าเสนาบดีหลิ่วเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด ม่อจิ่งฉีตบหนักๆ ลงบนโต๊ะทรงพระอักษร เอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวว่า “พอที! พวกเจ้าคิดว่าท้องพระโรงที่เป็นที่ประชันฝีปากกันหรืออย่างไร หุบปากให้หมดเดี๋ยวนี้! ถ่ายทอดราชโองการข้าลงไป ติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยา สังหารผู้บริสุทธิ์โดยพลการ ถือเป็นการก้าวล่วงอำนาจการปกครอง ข้าเห็นแก่คุณความดีที่เคยทำไว้ตั้งแต่สมัยบรรพกาล จะละเว้นโทษตาย ลดตำแหน่งจากซื่อสีอ๋องเป็นจวินอ๋อง และงดเบี้ยหวัดสามปี!”
เมื่อเอ่ยจบ ท้องพระโรงก็เงียบกริบลงทันที ผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้มีคนตั้งสติได้ เอ่ยว่า “ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองด้วย…”
“หุบปาก! ข้าตัดสินใจแล้ว!”
ข่าวจากราชสำนักถูกส่งต่อไปยังวังหลังอย่างรวดเร็ว เดิมทีฮว่าฮองเฮากำลังรับการทำความเคารพจากบรรดานางสนมและสตรีในวังอยู่ เมื่อได้ยินข่าวจากนางกำนัลคนสนิท ก็ถึงกับหน้ามืด ร่างกายโอนเอนกว่าจะทรงตัวไว้ได้ โบกมือสั่งให้นางสนมและสตรีในวังที่มองมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวถอยออกไปทันที ก่อนเอ่ยถามเสียงขรึมขึ้นว่า “เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ”
นางกำนัลเอ่ยเสียงต่ำว่า “ข่าวที่เพิ่งได้รับจากราชสำนักเมื่อครู่บอกว่า ราชโองการลงอาญาของฝ่าบาทเกรงว่ายามนี้ น่าจะออกจากเมืองหลวงไปแล้วเพคะ”
ฮองเฮาทิ้งตัวลงบนราชอาสน์หงส์อย่างหมดแรง เอ่ยพึมพำเสียงเบาว่า “เขาบ้าไปแล้ว…ชายาติ้งอ๋อง…ชายาติ้งอ๋อง…”
นางกำนัลเอ่ยว่า “ที่บ้านก็ได้รับข่าวนี้แล้ว เรื่องชายาติ้งอ๋องเกรงว่าจะร้ายมากกว่าดีเพคะ”
ฮองเฮานึกย้อนไปถึงสตรีแสนสุภาพอ่อนหวานที่เคยได้พบหน้าอยู่หลายครา นางดูอ่อนน้อมและสง่างาม แต่กลับให้ความรู้สึกน่าเข้าใกล้และทำให้รู้สึกสบายใจ สตรีผู้นั้น…ได้ทำให้ทั้งใต้หล้าต้องตื่นตะลึงจากวีรกรรมที่ได้สร้างขึ้นในสนามรบเขตซีเป่ย แต่ผ่านไปเพียงไม่นานก็ต้องมาสูญหายไปเช่นนี้หรือ สวรรค์ช่าง…รังเกียจหญิงงามเสียจริง…
ไม่นาน ฮองเฮาก็ตั้งตัวได้ พยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกติ “เจ้าออกจากวังไปพบท่านพ่อข้าด้วยตนเองที บอกเขาว่า…บอกเขาว่าเรื่องทั้งหมดให้เห็นแก่ตระกูลฮว่าเป็นสำคัญ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
นางกำนัลมองพระพักตร์ฮองเฮาด้วยความลังเล
ฮองเฮาโบกพระหัตถ์ เอ่ยว่า “ไปเถิด ท่านพ่อจะเข้าใจความหมายของข้าเอง”
เมื่อนางกำนัลทูลลาออกไปด้วยความเป็นกังวลแล้ว ฮองเฮาถึงได้ทิ้วตัวลงพิงราชอาสน์หงส์พร้อมถอนใจออกมาหนักๆ ใบหน้าที่งดงามเต็มไปด้วยความเป็นกังวลและไม่รู้จะทำเช่นไรดี
“เสด็จแม่…” องค์หญิงฉางเล่อวิ่งซอยเท้าถี่ๆ เข้ามาในตำหนัก เมื่อเห็นสีหน้าอ่อนล้าของเสด็จแม่ จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า “เสด็จแม่เป็นอันใดหรือเพคะ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ”
ฮองเฮาโอบองค์หญิงฉางเล่อเข้ามากอดไว้กับอก ตบหลังนางเบาๆ พร้อมเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่มีอันใด ไม่มีเรื่องอันใดหรอก เด็กดี…แม่จะวางแผนทุกอย่างให้เจ้าให้เรียบร้อย…”
ถึงแม้ฮองเฮาจะไม่ยอมเอ่ยทุกอย่างออกมาให้กระจ่าง แต่ในใจดวงน้อยๆ ขององค์หญิงฉางเล่อรู้ดีว่า จะต้องเกิดเรื่องใหญ่บางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน
นางซุกอยู่กับอกฮองเฮาอย่างว่าง่าย “ฉางเล่อก็จะปกป้องเสด็จแม่เองเพคะ ฉางเล่ออยากให้เสด็จแม่กับฉางเล่อได้อยู่อย่างปลอดภัยเพคะ”
“เด็กดี”