ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 173-2 ปฏิกิริยาต่อราชโองการ
หลิ่วฉงอวิ๋นฝืนยิ้ม เอ่ยว่า “เรื่องนี้…ฝ่าบาทมิได้เอ่ยถึงในราชโองการ ข้าน้อยมิกล้าแอบอ้างราชโองการโดยพลการ เชื่อว่าฝ่าบาทน่าจะทรงไตร่ตรองไว้ในพระทัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า เอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “ที่ใต้เท้าหลิ่วพูดช่างมีเหตุผลนัก ว่ากันตามเหตุผลแล้ว…ในเมื่อฝ่าบาททรงมีราชโองการลดขั้นมาแล้ว พวกเราที่เป็นขุนนางก็ควรรู้หน้าที่มอบสิ่งนั้นคืนด้วยตนเอง เพียงแต่ข้าเองก็จนใจ…ของที่อยู่ในมือข้าเหล่านี้…ไม่สะดวกที่จะให้ผู้ใดง่ายๆ ส่วน…ตำแหน่งติ้งอ๋องนั้นสามารถคืนให้ฝ่าบาทได้ ข้ารบกวนใต้เท้าหลิ่วกลับไปทูลต่อฝ่าบาททีได้หรือไม่ว่า ไม่ว่าจะเป็นชินอ๋องหรือจวินอ๋องข้าล้วนไม่ใส่ใจทั้งสิ้น และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่ข้าเก็บกองทัพตระกูลม่อและทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษไว้ สามารถปลดยศตำแหน่งของข้าทั้งหมดไปได้เลย ท่านว่าอย่างไร”
หลิ่วฉงอวิ๋นหน้าถอดสี ความหมายในคำพูดของม่อซิวเหยานั้นเขาย่อมเข้าใจดี ตัวม่อซิวเหยามิได้สนใจยศถาบรรดาศักดิ์แม้แต่น้อย ว่าตนจะยังเป็นติ้งอ๋องอยู่หรือไม่ ต่อให้เขาเป็นประชาชนคนธรรมดา แต่กองทัพตระกูลม่อก็ยังคงฟังคำสั่งม่อซิวเหยาแต่เพียงผู้เดียว ทรัพย์สมบัติของตำหนักติ้งอ๋องก็มีเพียงม่อซิวเหยาคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถสั่งโยกย้ายได้ ยศถาบรรดาศักดิ์ติ้งอ๋องที่ว่านั้น ก็เป็นเพียงชื่อลอยๆ เท่านั้นเอง หากม่อซิวเหยาต้องการ เขาจะสถาปนาตนเองขึ้นเป็นอ๋องอันใดก็ได้ทั้งสิ้น
“ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะก่อน ฝ่าบาทมิได้มีพระประสงค์เช่นนั้น…”
ม่อซิวเหยาหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “มิได้มีพระประสงค์เช่นนั้น เช่นนั้นขอถามใต้เท้าหลิ่วว่า ที่ลอบสั่งรวมกำลังพลทหารหกแสนนายอยู่ที่ด่านหงกวานห่างจากเมืองหรู่หยางไปหกสิบลี้นั้น เป็นเรื่องอันใดกัน ที่ทัพม่อจิ่งหลีจากทางใต้ ทัพหนานจ้าว และทัพซีหลิงที่เคลื่อนทัพบีบเข้ามายังซีเป่ยโดยไม่มีการขัดขวางเลยแม้แต่น้อยนั้นคือเรื่องอันใดกัน”
“เรื่องนี้…เรื่องนี้…ข้าน้อยไม่ทราบ ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย” หลิ่วฉงอวิ๋นใจหายวาบ ด้วยคิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนพลที่กระทำการอย่างลับๆ นี้ ติ้งอ๋องจะรู้อย่างชัดเจนเช่นนี้ อีกทั้งแม้แต่จำนวนทหารที่แน่นอนก็ยังรู้โดยละเอียด
เมื่อเห็นสีหน้าขาวซีดของเขา ม่อซิวเหยาจึงเอ่ยปลอบเขาอย่างรู้สึกผิดว่า “ใต้เท้าหลิ่ววางใจเถิด ครานี้ข้าจะให้ท่านกลับไปอย่างปลอดภัย รบกวนท่านกลับไปบอกมู่หยางโหวทีว่า…เขามีบุตรชายที่ดีถึงสองคน น่าเสียดายที่ตัวเขากลับทำให้เสียเรื่องเก่งเสียเหลือเกิน เห็นแกที่มู่หยางเป็นบุตรที่มีความกตัญญู ข้าจะให้เจ้านำตัวมู่หยางกลับไปด้วย ส่วนมู่หยางโหว…ให้เขารอข้าอยู่ที่เมืองหรู่หยางก่อน ข้าหมายจะเอาชีวิตเขาแน่แล้ว!”
“ท่านอ๋อง…” หลิ่วฉงอวิ๋นไม่รู้ว่าตนเองยังสามารถพูดอันใดได้อีก
ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “แน่นอน…ก่อนอื่นมู่หยางโหวจะต้องยังมีชีวิตอยู่ระหว่างที่ใต้เท้าหลิ่วกำลังเร่งเดินทางกลับไป”
“นี่ท่านอ๋องเอ่ยหมายความเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลิ่วฉงอวิ๋นฝืนเอ่ยถาม
ม่อซิวเหยาผินหน้ามองเขาพร้อมหัวเราะน้อยๆ “ทหารกองทัพตระกูลม่อทุกนายมีความตั้งใจเดียวกันที่จะจับคนชั่วช้าที่เป็นหัวหน้าทำให้ชายารักของข้าและนายหญิงของพวกเขาต้องมาหายตัวไป เพื่อเป็นการแก้แค้นให้พระชายา ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนักและมิอาจปฏิเสธความจงรักภักดีของพวกเขาได้ ใต้เท้าหลิ่ว ท่านว่าจริงหรือไม่”
หลิ่วฉงอวิ๋นหน้าถอดสีไปทันที เขารู้สึกประหนึ่งตนกำลังสูดอากาศอันเย็นจัดจนปวดร้าวไปถึงหน้าอก เมื่อครู่ยามที่เขาเข้าเมืองมา เขาเห็นว่ามีการเคลื่อนกำลังทหารอยู่จริง แต่เขาคิดเพียงว่านั่นเป็นการป้องกันทัพเสริมของทหารซีหลิง รวมถึงทัพพันธมิตรทั้งสามฝ่ายที่กำลังเคลื่อนพลกดดันเข้ามา แต่เขาคิดไม่ถึงว่าติ้งอ๋องจะเคลื่อนพลเข้าไปโจมตีเมืองหรู่หยาง
“ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองด้วย! ยามนี้เกิดศึกวุ่นวายไปทั่วต้าฉู่ ท่านอ๋องได้โปรดเห็นแก่แผ่นดินของต้าฉู่เป็นสำคัญเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หางตาม่อซิวเหยากระตุกเล็กน้อย มองเขาด้วยสายตาเหน็บแนมและไม่เข้าใจ “เห็นแผ่นดินเป็นสำคัญ? เรื่องนั้นหมายความเช่นไรกัน”
หลิ่วฉงอวิ๋นกระอักเลือดอยู่ภายใน การได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกจากปากติ้งอ๋องที่คอยปกป้องคุ้มครองต้าฉู่มาทุกยุคทุกสมัย ช่างฟังดูน่ากระอักเลือดเสียจริง
เฟิ่งจือเหยาที่นั่งอยู่ด้านข้างอดกระตุกมุมปากขึ้นไม่ได้ ก่อนรีบเก็บอาการไว้อย่างรวดเร็ว
นี่ท่านอ๋องเลียนแบบมาจากพระชายากระมัง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นรูปแบบการพูดที่พระชายาชอบใช้บ่อยครั้ง แต่เมื่อคิดถึงใครบางคนที่ในยามนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรแล้ว มุมปากที่เคยยกขึ้นก็ค่อยๆ ลดต่ำลง
หลิ่วฉงอวิ๋นเอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านอ๋อง ตำหนักติ้งอ๋องคอยปกป้องต้าฉู่มาทุกยุคทุกสมัย ท่านมิอาจทำลายตำหนักติ้งอ๋องและทำลายแผ่นดินต้าฉู่เพียงเพราะความโกรธเพียงชั่วครู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยายกถ้วยชาขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “อ้อ? แผ่นดินต้าฉู่? นั่นมิใช่เรื่องของม่อจิ่งฉีหรือ ส่วนเรื่องตำหนักติ้งอ๋องที่คอยปกป้องแผ่นดินต้าฉู่มาทุกยุคทุกสมัย…ยามนี้ข้ามิใช่ติ้งอ๋องแต่เป็นติ้งจวินอ๋อง ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันข้าก็คงกลายเป็นประชาชนคนธรรมดาแล้ว”
หลิ่วฉงอวิ๋นพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อคนที่เขาตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมไม่เห็นคล้อยตามด้วย
สุดท้าย หลิ่วฉงอวิ๋นจึงทำได้เพียงนำคนขอตัวกลับออกมาอย่างจนใจ เขาจะต้องเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อรายงานข่าวนี้ให้แก่ฝ่าบาททราบโดยทันที
เมื่อเห็นหลิ่วฉงอวิ๋นรีบร้อนจะกลับไป ม่อซิวเหยาก็ไม่ขัดขวาง เขาก้มหน้าลงมองราชโองการในมือ ส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนเขวี้ยงผ้าไหมสีเหลืองอร่ามไปทางมุมหนึ่งของห้องโถง
เฟิ่งจือเหยาหัวเราะพร้อมลุกยืนขึ้น “ท่านอ๋องต่อให้ท่านไม่อยากมองให้เสียสายตา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งเลยนี่ ผ้าที่ใช้เขียนราชโองการนั้นเป็นผ้าไหมที่ดีที่สุด และผ่านการย้อมมาอย่างดีที่สุดเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ คนธรรมดาทั่วไปชั่วชีวิตนี้อย่าหวังจะได้แตะต้องแม้แต่ปลายเล็บ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า เอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “มีเหตุผล เช่นนั้นก็นำไปแขวนไว้ที่หน้าประตูเมือง ให้ชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เห็นเป็นบุญตาก็แล้วกัน?”
เฟิ่งจือเหยาก้มลงเก็บผ้าไหมที่กองอยู่กับพื้น หันมองม่อซิวเหยาแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง จะปล่อยหลิ่วฉงอวิ๋นและมู่หยางกลับไปเช่นนี้จริงๆ หรือ”
ผู้บัญชาการทหารทุกนายที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างหันมองไปทางม่อซิวเหยา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็รู้สึกข้องใจกับการตัดสินใจเช่นนี้ของเขาเช่นกัน
ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ปล่อยไปสิ เหตุใดถึงจะไม่ปล่อยเล่า หลิ่วฉงอวิ๋นผู้นี้…ฉลาดกว่าบิดาและปู่ของเขามากนัก ในเมื่อเขายอมขอร้องเช่นนี้แล้ว หากข้ายังทำอันใดเขาอีก จะไม่ทำให้ผู้อื่นคิดว่าข้าเป็นคนจิตใจคับแคบหรือ”
แน่นอนว่า หลิ่วฉงอวิ๋นเองก็มีความทะเยอะทยานมากกว่าบิดาและท่านปู่ของเขา ม่อจิ่งฉี ที่เจ้าเลี้ยงคนที่อ่อนเป็นแข็งเป็นไว้ ซ้ำยังมีขุนนางจากตระกูลใหญ่คอยหนุนหลังเช่นนี้ ข้าจะคอยดูว่า ต่อไปหากไม่มีตำหนักติ้งอ๋องแล้ว เจ้าจะสมัครสมานสามัคคีกับนายบ่าวไปได้นานสักเพียงใด
“เช่นนั้นมู่หยาง…” เมื่อเอ่ยถึงมู่หยาง เฟิ่งจือเหยาก็อดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นไม่ได้ มิใช่ว่าเขาไม่ชอบพอมู่หยางเป็นการส่วนตัว แต่บิดาของมู่หยาง มู่หยางโหวนั้น ครานี้ที่พระชายาถูกทหารของต้าฉู่ตามสังหาร ถึงแม้มู่หยางจะมิได้นำทหารด้วยตนเอง แต่อย่างไรมู่หยางก็เป็นคนที่คอยบัญชาการอยู่เบื้องหลัง ราชโองการที่มู่หยางโหวได้รับจากม่อจิ่งฉี เนื้อความภายในเป็นเช่นไรพวกเขาต่างรู้โดยละเอียด ด้วยสถานการณ์เช่นนั้น ต่อให้สังหารมู่หยางก็ฟังดูสมเหตุสมผลยิ่งนัก ดังนั้นเฟิ่งจือเหยาจึงไม่เข้าใจท่านอ๋องเอาเสียเลยว่า เหตุใดเขาถึงได้ปล่อยตัวมู่หยางกลับไปหามู่หยางโหว
ดวงตาม่อซิวเหยาเป็นประกายเย็นวาบ เอ่ยเรียบๆ ว่า “มู่หยางผู้นี้ยังมีประโยชน์ต่อข้า ส่วนมู่หยางโหว…เจ้าให้คนคอยระวังไว้หน่อย อย่าปล่อยให้เขาตายไปในสนามรบจริงๆ เสียเล่า”
เมื่อเห็นม่อซิวเหยาดูมีแผนการในใจเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าแผนการเป็นเช่นไร แต่เฟิ่งจือเหยาก็มิได้คิดที่จะสอบถามอีก แค่เพียงเขาบังเอิญเงยหน้าขึ้นไปเห็นประกายสีแดงในดวงตาของม่อซิวเหยา เฟิ่งจือเหยาก็ได้แต่ลอบถอนใจให้มู่หยางโหวด้วยความสงสารแล้ว การถูกท่านอ๋องหมายหัวไว้เช่นนี้ เอาเข้าจริง การตายในสนามรบคงเป็นจุดจบที่ดีที่สุดของมู่หยางโหวแล้วกระมัง
ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้น รอยยิ้มเรียบๆ ที่เคยมีบนใบหน้า ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและจริงจัง
บรรดาผู้บัญชาการทหารที่นั่งอยู่ต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นทันทีโดยมิได้นัดหมาย เตรียมตัวฟังคำสั่งของท่านอ๋อง
ม่อซิวเหยาทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้าสีฟ้าเข้มด้านนอกห้องโถงใหญ่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยและเคร่งขรึมว่า “สั่งการลงไปยังทุกกองทัพ…ทหารทุกนายที่กำลังทำศึกกับหนานจ้าวและซีหลิง ให้ถอนกำลังออกมาทั้งหมด พร้อมเคลื่อนพลเข้าประชิดเมืองหรู่หยาง โดยมีด่านหงกวานเป็นเขตแดน ภายในสิบวัน ข้าต้องการให้ทหารในกองทัพตระกูลม่อทุกนายมารวมพลกันที่นั้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง โดยไม่คลางแคลงใจในคำสั่งนี้แม้แต่น้อย
เฟิ่งจือเหยาเดินออกมาถามว่า “ท่านอ๋อง…เมืองที่มีทหารราชสำนักประจำการอยู่อย่างหรู่หยาง…”
“ขับไล่ออกไปให้หมด ผู้ใดไม่ยอมทำตาม ฆ่าทิ้งเสีย!”