“อาหลี ข้ามารับเจ้ากลับบ้าน”
“ซิวเหยา…” ภายในรถม้า เยี่ยหลีนิ่งอึ้งมองชายหนุ่มในชุดสีฟ้าที่อมยิ้มพร้อมยื่นมือส่งมาให้นาง แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลอดต้นไม้ลงมากระทบบนตัวเขา แสงที่สะท้อนลงมาทำให้เยี่ยหลีสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาดูจะซีดเซียวและผ่ายผอมลงยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยหลีรู้สึกเจ็บเสียดขึ้นที่หัวใจ น้ำตาเม็ดกลมประหนึ่งไข่มุกไหลลงจากหางตาอย่างห้ามไม่อยู่
ม่อซิวเหยามองสตรีแสนอ่อนหวานที่นั่งนิ่งอยู่บนรถม้า เมื่อเห็นที่หางตาของนางมีหยดน้ำตาไหลออกมา แววตาม่อซิวเหยาก็เปลี่ยนเป็นร้อนรนขึ้นมาทันที แต่ยังคงยื่นมือส่งให้เยี่ยหลีอย่างดื้อรั้น
“อาหลี…อาหลีกำลังโทษว่าซิวเหยามาช้าเกินไปหรือ”
หนังตาเยี่ยหลีกระตุกเล็กน้อย นางเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนถึงขั้นน้ำตาไหลออกมา นางรีบยื่นมือไปยังมือของชายด้านนอกรถที่ยื่นเข้ามาให้ทันที
ม่อซิวเหยาอุ้มนางลงมาจากรถม้าด้วยความระมัดระวัง และไม่ยอมปล่อยนางอีก ประหนึ่งกลัวว่าหากเขาปล่อยนางลงแล้วนางจะหายไปในชั่วพริบตากระนั้น
เขายกมือขึ้นลูบเบาๆ ไปบนใบหน้าของเยี่ยหลี ใบหน้าของนางยังคงอ่อนหวานและงดงามแต่ความเปล่งประกายอย่างในวันวานดูจะมีบางอย่างที่แปลกออกไปเล็กน้อย
ม่อซิวเหยาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากหน้าอก ค่อยๆ บรรจงเช็ดหยดน้ำที่บดบังความงดงามบนใบหน้าของนางออกไป เผยให้เห็นความงามหยาดเยิ้มที่เขาคุ้นเคยอีกครั้ง
“อาหลี…” ม่อซิวเหยาจ้องมองสตรีในอ้อมกอดด้วยความนิ่งงัน ในแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ “อาหลี…ต่อไปนี้ข้าจะไม่ให้เจ้าจากข้าไปที่ใดอีกแล้ว”
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น ก่อนตกเข้าไปในห้วงสายตาอันอ่อนโยนและรักใคร่นั้น และชั่วขณะนั้นเองก็รู้สึกเพียงว่าความระแวดระวังในการใช้ชีวิตในช่วงหลายวันนี้ได้หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ต้องการเพียงพักผ่อนอยู่เงียบๆ ในอ้อมกอดของผู้ชายตรงหน้านี้เท่านั้น
นางพยักหน้าน้อยๆ “อื้ม ต่อไปนี้พวกเราจะไม่พรากจากกันอีกแล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมทอดถอนใจเบาๆ
ม่อซิวเหยาตาเป็นประกาย ค่อยกอดนางเข้าแนบอก เอาคางไปคลอเคลียกับหัวไหล่ที่บอบบางของนาง ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “ตกลง พวกเราตกลงกันแล้วนะ จะไม่พรากจากกันอีก…”
ถานจี้จือที่ถูกลืมไปชั่วขณะ จ้องคู่ชายหญิงตรงหน้าที่โลกนี้มีเพียงเขาสองคนด้วยสีหน้าย่ำแย่ แต่เมื่อหันไปเห็นเหล่าองครักษ์ที่ล้มลงอยู่ไม่ไกล ความโกรธเกรี้ยวในแววตาของเขาก็ถูกเจ้าตัวเก็บกดลงไปอย่างรวดเร็ว องครักษ์ที่ติดตามมาอย่างลับๆ จนถึงตอนนี้ยังไม่ออกมาให้เห็น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงถูกจับตัวหรือไม่ก็ถูกจัดการไปตั้งแต่ยังไม่ทันรู้ตัวแล้ว
แล้วเมื่อครู่อีก ม่อซิวเหยาออกตัวมาทีหลังแต่กลับมาถึงได้ก่อน ระหว่างทางยังจัดการองครักษ์หลายคนที่ขวางทางอยู่ไปได้โดยแทบไม่ต้องลงแรงเลยแม้แต่น้อย เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องสนใจผู้ใดได้แล้ว
ถานจี้จือไม่เคยดูถูกม่อซิวเหยาและตำหนักติ้งอ๋อง มิเช่นนั้น หลายปีมานี้เขาคงไม่หลบอยู่หลังม่อจิ่งฉีและลอบดำเนินการทุกอย่างอย่างลับๆ หรอก ด้วยเพราะเขารู้ดีว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาเปิดเผยตัวตน สิ่งที่รอเขาอยู่คงมีเพียงการเอาชีวิตเขาเท่านั้น
ซูจุ้ยเตี๋ย…นังคนสารเลว?!
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ เขากลับยิ่งใจเย็นขึ้น ไม่ว่าเขาจะยินดีหรือไม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ซูจุ้ยเตี๋ยเอาเขามาขายเสียแล้ว ถานจี้จือลอบกำหมัดแน่น ความคิดในหัวแล่นอย่างรวดเร็วว่าจะหลบหลีกออกจากสถานการณ์นี้อย่างไรดี
“เหล่าข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” เมื่อพวกฉินเฟิงจัดการองครักษ์ที่ถานจี้จือลอบวางกำลังไว้เรียบร้อยและซ่อนตัวรออยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังไม่เห็นว่าท่านอ๋องและพระชายามีท่าทีว่าจะเรียกพวกตนออกมา เมื่ออดทนรอไม่ไหวจึงต้องออกมาแสดงตนด้วยตนเอง และก็ได้รับสายตาดุดันของม่อซิวเหยาตามที่คาดคิดไว้
“ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา!” ภายในป่ามีองครักษ์ยืนกระจายตัวกันอยู่สามคนบ้างสองคนบ้าง ทั้งหมดต่างทำความเคารพทั้งสองโดยพร้อมเพรียงกัน ตำแหน่งที่พวกเขายืนถึงแม้จะดูไม่เป็นระเบียบ แต่กลับปิดตายทางหนีของถานจี้จือเอาไว้ทั้งหมด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ถานจี้จือก็ถึงกับหน้าถอดสี จนในที่สุดก็สามารถข่มจิตใจให้สงบลงได้ ถานจี้จือก้าวขึ้นหน้าไป เอ่ยพร้อมอมยิ้มว่า “ข้าน้อยคารวะท่านติ้งอ๋อง”
ม่อซิวเหยาประหนึ่งเพิ่งรู้ตัวว่า ณ ที่นั้นยังมีคนอื่นอยู่ด้วย จึงหันมาสนใจเขาเล็กน้อย เขาปรายตามองถานจี้จือที่ยืนโค้งตัวทำความเคารพอยู่ ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเรียบๆ ว่า “ใต้เท้าถาน ท่าน…คิดจะพาพระชายาของข้าไปที่ใดหรือ”
ถานจี้จือนิ่งไป ไม่แน่ใจว่าตนควรเสี่ยงลองพนันดูสักตาดีหรือไม่ หากเสี่ยงแล้วชนะ…บางทีเขาอาจยังพอมีโอกาสเอาตัวรอดไปจากที่นี่ แต่หากเสี่ยงแล้วแพ้…ไม่ แต่หากไม่เสี่ยง วันนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดไปจากที่นี่ได้ อีกอย่างหากดูจากสายตาติ้งอ๋องที่ใช้มองเขา ก็ดูไม่เหมือนว่าเขารู้เรื่องนั้นแล้วอย่างนั้น
ในที่สุดถานจี้จือก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาประสานมือหัวเราะอย่างเอาใจ “ข้าน้อยหลงผิดไปจริงๆ ในเมื่อท่านอ๋องอยู่ที่นี่แล้ว ข้าน้อยเองก็ขอแสดงความยินดีที่ท่านอ๋องและพระชายาได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง เรื่องในวันนี้…ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”
“อภัย?” ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ แต่กลับทำให้ผู้ที่พบเห็นกลับรู้สึกเย็นวาบในใจ
เขาพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้านึกขึ้นมาได้ว่า ใต้เท้าถานเกือบจับตัวชายาที่รักของข้าไปได้ อารมณ์จึงไม่ค่อยดีนัก หากเกิดข้าไม่ทันระวัง ทำใต้เท้าถานบาดเจ็บเข้า ก็ขอให้ใต้เท้าถานอภัยด้วย” พูดจบ เขาก็ดูจะไม่สนใจถานจี้จืออีก โบกมือสั่งว่า “เอาตัวไป ฆ่าทิ้งเสีย”
ถานจี้จือถึงกับใจหวิว คิดไม่ถึงว่าม่อซิวเหยาจะสั่งการเฉียบขาดขนาดสั่งฆ่ากันได้ง่ายๆ เขาจึงเปลี่ยนความคิดในทันที “ติ้งอ๋องไม่อยากรู้ว่าฝ่าบาทคิดทำการใดอยู่หรือ”
ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงเย็น แล้วพ่นคำสั่งออกมาเรียบๆ ว่า “ฉินเฟิง ฆ่าซะ” พูดจบ เขาก็ก้มตัวลงอุ้มเยี่ยหลีขึ้นมาหมุนตัวเดินออกไป
เมื่อถูกอุ้มขึ้นมาต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ เยี่ยหลีจึงขยับตัวอย่างขัดเขิน
ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “อาหลี อย่าดิ้น…”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าม่อซิวเหยามีบางอย่างแปลกไป แต่ก็คิดไม่ออกว่าคืออันใด แค่เพียงสบเข้ากับสายตาอันอบอุ่นประหนึ่งจะมีน้ำหยดออกมาของเขา ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกลับพูดสิ่งที่ตนคิดจะพูดไม่ออก ทำได้เพียงปล่อยให้เขาอุ้มอยู่อย่างนั้น
ถานจี้จือเมื่อเห็นว่าเขาจะไปจริงๆ ในใจรู้ดีว่า หากม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีจากไปแล้ว ตัวเขาเองคงต้องตายเพียงสถานเดียว เขามองไปทางเยี่ยหลีที่ถูกม่อซิวเหยาอุ้มอยู่ แล้วถานจี้จือก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “พระชายา ท่านไม่อยากรู้หรือว่าพิษในกายท่านอ๋องจะถอนได้อย่างไร”
เยี่ยหลีอึ้งไป แต่ม่อซิวเหยาทำประหนึ่งไม่สนใจเรื่องนี้ ก้าวเท้าเดินออกจากป่าไปเช่นเดิม
ถานจี้จือเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “พระชายา ท่านไม่อยากรู้จริงๆ หรือว่าดอกปี้ลั่วอยู่ที่ใด หรือท่านคิดว่าบัวเลี่ยหั่วจะสามารถถอนพิษในกายท่านอ๋องได้จริง”
เรื่องที่ชายาติ้งอ๋องลอบเสาะหาดอกปี้ลั่ว ทั้งยังสร้างความแค้นกับหัวหน้าหน่วยสามของสำนักเยี่ยนอ๋องด้วยเพราะเรื่องนี้นั้น มีคนรู้อยู่ไม่มากนัก
เยี่ยหลีอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยออกมาว่า “ฉินเฟิง เอาตัวเขาไป”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ แต่ก็มิได้เอ่ยขัดคำสั่งของเยี่ยหลี และไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เดินออกจากป่าต่อไปทันที
พวกฉินเฟิงที่ถูกทิ้งไว้อยู่ที่นี่ มองแผ่นหลังของม่อซิวเหยาจากไปด้วยสีหน้าย่ำแย่ พวกเขายังไม่ทันได้พูดอันใดกับพระชายาสักเท่าไรเลย ก็ถูกท่านอ๋องพาตัวออกไปเสียแล้ว แต่ช่วงที่ผ่านมาทุกคนต้องอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนอันตรายอย่างน่าประหลาด ก็ไม่มีคนใดใจกล้าพอที่จะเอ่ยรั้งม่อซิวเหยาเพื่อพูดคุยเรื่องอันใดไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่สำคัญเลยสักคน
ฉินเฟิงโบกมือให้คนมาจับตัวถานจี้จือและซูม่านหลินไป ก่อนหันไปเห็นสีหน้าลังเลใจของม่อหวา จึงเอ่ยถามว่า “ทำไมหรือ”
ม่อหวาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ร่างกายของท่านอ๋อง…” วันนี้ตรงกับวันพระจันทร์เต็มดวงพอดี หลายเดือนมานี้ ทุกครั้งที่อาการของท่านอ๋องกำเริบ ก็ดูจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ วันพระจันทร์เต็มดวงเมื่อเดือนก่อน อาการท่านอ๋องก็เริ่มกำเริบตั้งแต่ช่วงบ่าย ตามที่เสิ่นหยางคาดการณ์ไว้ ท่านอ๋องยามนี้ไม่มีทางไม่ทรมาน แต่ว่ายามนี้…ฉินเฟิงมองตามไปทางที่ม่อซิวเหยาเดินหายไป ลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “คง…ไม่เป็นอันใดกระมัง”
อาการกำเริบขึ้นมาก็มิได้มีอันใด อย่างมากก็แค่เจ็บปวด ด้วยความสามารถของท่านอ๋อง คงไม่มีอันตรายถึงชีวิต อีกอย่างไม่ว่าตัวยาอันใดก็ไม่เป็นผลต่ออาการของท่านทั้งนั้น เช่นนั้นท่านอ๋องจะอยู่ที่ใดหรือทำอันใดอยู่ก็คงไม่ต่างกัน และที่สำคัญที่สุดคือ ยามนี้พวกเขาไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปขัดจังหวะ
“ข้าจะให้คนคอยคุ้มครองความปลอดภัยของท่านอ๋องและพระชายา”
ม่อหวาพยักหน้า ถึงแม้เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบขององครักษ์ลับ แต่ในเวลานี้ ม่อหวาก็ต้องยอมรับว่าหน่วยกิเลนนั้นเก่งกาจกว่าองครักษ์ลับ
เมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายวันนี้ถึงแม้นางจะมีท่าทีสงบนิ่งและสบายๆ แต่ด้วยเพราะนางกำลังตั้งครรภ์อยู่หลายเดือน ทำให้นางขยับตัวได้ลำบากยิ่งนัก แล้วจะให้นางรู้สึกสบายใจจริงๆ ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่นางต้องรับมือกับถานจี้จือ ทุกประโยคที่พูดออกไปดูเหมือนล้อเล่นสบายๆ นั้น ต่างผ่านการคิดใคร่ครวญมาแล้วอย่างระมัดระวัง ยามนี้นางสามารถปล่อยวางความกังวลทั้งหมดลงได้ ความหนักใจทั้งหมดก็สลายไปในชั่วพริบตา นางพิงอยู่กับอกของม่อซิวเหยา ถูไถไปมาก็เริ่มง่วงงุน “ซิวเหยา…จะไปไหนหรือ”
ม่อซิวเหยาก้มลงมองนางที่กึ่งหลับกึ่งตื่น จึงยิ้มและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ง่วงแล้วก็นอนเถิด”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ฝืนลืมตาขึ้นมองทางข้างหน้าที่ดูจะยิ่งเดินยิ่งไกล หากตั้งใจมองสักนิดก็จะรู้ว่า แม้แต่ตัวม่อซิวเหยาเองก็ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เขาเพียงเดินเรื่อยเปื่อยไปตามทางบนถนนเล็กๆ เท่านั้น
เยี่ยหลีไม่รู้ว่าม่อซิวเหยาจะพาตนไปที่ใด แต่นางกลับรับรู้ได้ถึงความดื้อรั้นและเด็ดเดี่ยวในแววตาของม่อซิวเหยาที่น้อยนักจะได้เห็น นางถอนหายใจทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ซิวเหยา ข้าชักเหนื่อยแล้ว พวกเราพักกันก่อนแล้วค่อยเดินต่อดีหรือไม่”
“เหนื่อยแล้ว?” ม่อซิวเหยาก้มลงมองนาง ก็เห็นว่าบนใบหน้าเรียวดูเหนื่อยอ่อนอย่างปิดไว้ไม่มิดจริงๆ ขอบตานางก็ดูมีรอยคล้ำจางๆ
ม่อซิวเหยาหันมองโดยรอบ ก่อนแตะเท้าลงกับพื้น พาเยี่ยหลีถีบตัวแหวกอากาศขึ้นไปเหยียบยอดไม้ มุ่งหน้าไปทางเส้นทางที่ขึ้นไปยังเขาฝั่งตรงข้าม