ม่อซิวเหยามองทุกคนที่เหลืออยู่ด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร เอ่ยเสียงขรึมว่า “พวกเจ้ามีธุระอันใด”
ผู้ที่นำหน้ามาอย่างเฟิ่งจือเหยาเอามือลูบจมูกอย่างทำอันใดไม่ถูก พวกเขามีธุระกันจริงๆ
เฟิ่งจือเหยาก้าวขึ้นหน้ามาเอ่ยว่า “เรียนท่านอ๋อง ข่าวที่พระชายากลับมาได้อย่างปลอดภัยได้แพร่ออกไปแล้ว ด้านราชสำนักคาดว่าอีกไม่นานคงมีข่าวคราวส่งมา พวกเราควรคิดหากลยุทธเพื่อรับมือโดยไว อีกอย่าง เจ้าหน้าที่ด้านล่างมีรายงานขึ้นมาว่า ชาวบ้านภายในเมืองเตรียมจัดงานโคมไฟ เพื่อฉลองที่พระชายากลับมาอย่างปลอดภัย และเพื่อช่วยอวยพรให้กับพระชายาและซื่อจื่อน้อย ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นท่านอ๋องและพระชายาจะเข้าร่วมงานด้วยหรือไม่?”
เมื่อเอ่ยถึงราชสำนัก สีหน้าของม่อซิวเหยาก็บึ้งตึงหนักเข้าไปอีก เขาส่งเสียงหึเบาๆ “ม่อจิ่งฉีคงไม่รวดเร็วเช่นนั้น ยังไม่ต้องไปสนใจ หากมีการส่งคนมา ก็ไล่กลับไปเสีย!”
เฟิ่งจือเหยายักไหล่อย่างจนใจ แต่มิได้พูดอันใดอีก
ฉินเฟิงก้าวขึ้นมาเอ่ยว่า “เรียนท่านอ๋อง พระชายา คนสองคนที่พากลับมาเมื่อวาน จะให้จัดการเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเอ่ยถึงถานจี้จือ เยี่ยหลีก็รีบเอ่ยถามว่า “เมื่อวานที่ข้าสั่งให้เข้าไปตามหาท่านหมอหลิน พอได้ความบ้างหรือยัง”
ฉินเฟิงพยักหน้า “ท่านหมอหลินท่านนั้นได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เขาถูกคนของถานจี้จือพาตัวไปอีกทางหนึ่ง คาดว่าน่าจะพากลับเมืองหลวง เช้านี้เพิ่งกลับมาถึงเมืองหรู่หยางพ่ะย่ะค่ะ พระชายาต้องการพบหรือไม่”
เยี่ยหลีหยุดคิดเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “ให้คนคอยดูแลท่านหมอหลินให้ดี เขาเดินทางมาลำบากไม่น้อย ให้พักผ่อนให้ดีก่อนค่อยว่ากันก็แล้วกัน”
ฉินเฟิงพยักหน้า สื่อความหมายว่า จะจัดการทำทุกอย่างให้เรียบร้อย เขาเหลือบมองม่อซิวเหยาที่ยืนอยู่ ก่อนเอ่ยต่อว่า “ถานจี้จือต้องการพบท่านอ๋องกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีย่อมจำได้ดีว่า เหตุใดเมื่อวานถึงได้ไว้ชีวิตถานจี้จือ นางเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา และได้เห็นสีหน้าไปพอใจของม่อซิวเหยาอย่างชัดเจน จึงส่งยิ้มให้เอาใจเขา แล้วหันไปเอ่ยกันฉินเฟิงว่า “อีกประเดี๋ยวข้ากับท่านอ๋องจะไปพบเขา”
ม่อซิวเหยายกมือโอบเยี่ยหลี กวาดตามองทุกคนเรียบๆ “หมดธุระแล้ว?”
จั๋วจิ้งกับเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่เตรียมจะพูด จึงกลืนคำพูดบนริมฝีปากกลับลงไปอย่างรู้งาน สายตาท่านอ๋องที่ใช้มองพวกเขานั้นคือกำลังข่มขู่ ถึงอย่างไรเรื่องของพวกเขาก็มิใช่เรื่องด่วนคอขาดบาดตายอันใด ในเมื่อท่านอ๋องไม่อยากฟัง พวกเขาก็ไม่พูดก็แล้วกัน
เดิมทีที่พวกเขามากันแต่เช้า ก็เพื่อมายืนยันให้เห็นกับตาว่าพระชายากลับมาอย่างปลอดภัยแล้วจริงๆ ช่วงเวลาหลายเดือนมานี้ มิใช่ว่าทุกคนจะผ่านกันมาง่ายๆ พวกเขาก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับท่านอ๋องที่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว
เมื่อเห็นทุกคนพากันล่าถอยออกไป เยี่ยหลีก็ถอนใจออกมาเบาๆ ม่อซิวเหยาคิดอันใด มิใช่ว่าเยี่ยหลีไม่รู้ เพียงแต่พวกเขามาอยู่ในจุดนี้แล้ว จะละทิ้งทุกอย่างโดยไม่สนใจเลยได้อย่างไร
นางจูงม่อซิวเหยาให้เดินกลับเข้าไปในเรือนอีกครั้ง เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “กลับไปกินอาหารเช้าแล้วค่อยพักต่ออีกสักหน่อย บ่ายๆ ท่านดีดฉินให้ข้าฟังได้หรือไม่”
ความขุ่นหมองในแววตาม่อซิวเหยาค่อยๆ หายไป แววตาที่ใช้มองเยี่ยหลีเต็มไปด้วยความอบอุ่นและรักใคร่ “ได้สิ”
เยี่ยหลีกอดแขนม่อซิวเหยา พร้อมส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา เรื่องราวต่อจากนี้คงมีอีกมากนัก เพิ่งกลับมาถึง จะผ่อนคลายสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง
ตกบ่าย ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนด้านหลังจวนผู้ว่าการ เริ่มมีลมเย็นอ่อนๆ พัดผ่าน เยี่ยหลีเอนตัวพิงเก้าอี้ นั่งพลิกหนังสืออ่านสบายๆ ม่อซิวเหยานั่งอยู่ข้างๆ อย่างเกียจคร้าน เอนตัวพิงเก้าอี้หลับตาพักผ่อน พร้อมเอาศีรษะซุกเข้าที่ข้างกายเยี่ยหลี หากยามนี้ เยี่ยหลีมิได้กำลังตั้งครรภ์ เขาคงใช้ขาเยี่ยหลีต่างหมอน นานหลับบนตักนางไปแล้ว
เยี่ยหลีก็ไม่ได้ว่าอันใด มือหนึ่งถือหนังสือ อีกมือหนึ่งวางอยู่บนหลังของเขา และคอยตบลงเบาๆ เป็นระยะๆ
เฟิ่งจือเหยาก้าวเข้ามาเห็นบรรยากาศตรงหน้าที่ดูน่าอบอุ่นและสงบเงียบ เมื่อเห็นสีหน้าม่อซิวเหยาที่กำลังนอนหลับอย่างสงบและไม่สนใจสิ่งใด จู่ๆ เขาก็รู้สึกผิดที่เข้ามาทำลายความสงบของพวกเขา แต่สถานการณ์ในยามนี้ ทำให้เขาจำต้องเข้ามารายงาน
เยี่ยหลีเห็นเขายืนลังเลอยู่ที่หน้าประตู จึงยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าให้เฟิ่งจือเหยา “เฟิ่งซาน เข้ามาพูดธุระเถิด”
เฟิ่งจือเหยาถึงได้สาวเท้าเข้ามา เหลือบมองม่อซิวเหยาที่นั่งพิงเยี่ยหลีอยู่ด้วยความระมัดระวัง ก็เห็นว่าม่อซิวเหยาลืมตาขึ้นมองเขาทีหนึ่ง ในขณะที่เฟิ่งจือเหยาคิดว่าเขาจะพูดอันใดหรือจะออกปากไล่เขาออกไปนั้น ม่อซิวเหยาก็หลับตาลงอีกครั้ง
“เฟิ่งซาน มีเรื่องด่วนอันใดหรือ” เมื่อเห็นสีหน้าประหนึ่งเห็นผีของเฟิ่งจือเหยา เยี่ยหลีจึงระบายยิ้ม วางหนังสือในมือลง แล้วหยิบพัดขึ้นมาพัดเบาๆ ให้ม่อซิวเหยา
ม่อซิวเหยาดูจะพอใจเป็นอย่างยิ่ง กระเถิบเข้าไปใกล้ขานางและดูผ่อนคลายลงไปอีก
เฟิ่งจือเหยาเหลือบมองม่อซิวเหยาที่หลับตาแต่ไม่รู้ว่ากำลังหลับจริงหรือหลับปลอม แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เรียนพระชายา มีคนจากราชสำนักมาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “บังเอิญเช่นนี้เชียว?” นางเพิ่งกลับมาเมื่อวาน วันนี้คนของม่อจิ่งฉีก็มาถึงเสียแล้ว ดูจะบังเอิญเกินไปสักหน่อย
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “ช่างบังเอิญสียจริงพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ข้าน้อยลองสืบดูแล้ว น่าจะไม่เกี่ยวกับพระชายา อีกฝ่ายเพิ่งออกจาด่านเฟยหงมาเมื่อวาน เพียงแต่ ดูท่าจะเกี่ยวกับคนเมื่อวานที่พวกเราจับตัวมาพ่ะย่ะค่ะ”
“ถานจี้จือ?” เยี่ยหลีขมวดคิ้วคิด “ถานจี้จือนี่ใจกล้าไม่น้อย คิดจะให้ม่อจิ่งฉีมาช่วยเขางั้นหรือ เขาไม่กลัวว่าหากฐานะเขาถูกเปิดเผย คนแรกที่อยากเอาชีวิตเขาจะคือม่อจิ่งฉี?”
เฟิ่งจือเหยายิ้ม “เขาคงคิดไม่ถึงว่าเราจะล่วงรู้ถึงฐานะของเขา ข้าน้อยเดาว่า ที่คนของม่อจิ่งฉีถูกดึงเข้ามา คงด้วยเพราะเขาเตรียมแผนสำรองเอาไว้ เพราะถึงอย่างไร พื้นที่ในเขตซีเป่ยยามนี้ก็อยู่ในมือของพวกเรา ต่อให้เขาระมัดระวังเพียงใด ก็มีโอกาสที่จะตกมาอยู่ในมือพวกเรา หากพวกเราไม่รู้ถึงอีกฐานะหนึ่งของเขา และหากไม่มีความเกี่ยวข้องกับพระชายา การที่จับตัวถานจี้จือผู้นี้มาได้เฉยๆ สุดท้ายแล้วก็เป็นไปได้ที่จะส่งเขาคืนให้ม่อจิ่งฉี”
เยี่ยหลีพยักหน้า “เช่นนั้นก็หมายความว่า…ม่อจิ่งฉีรู้ว่าที่ถานจี้จือมาซีเป่ยเพราะจะทำอันใด อย่างน้อยก็เป็นเรื่องที่เขาได้ประโยชน์”
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “เป็นไปได้หรือไม่ที่ถานจี้จือจะนำเรื่องของปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนในซีเป่ยไปบอกกับม่อจิ่งฉี? แล้วม่อจิ่งฉีคิดอยากได้สมบัติในสุสานหลวง”
ว่ากันว่า สุสานลับของปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อน เป็นสุสานหลวงของฮ่องเต้ที่มีสมบัติอยู่มากที่สุดและลึกลับมากที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แม้แต่เฟิ่งจือเหยายังคาดไม่ถึงว่า สุสานหลวงที่หายสาบสูญไปแล้วแห่งนั้นจะอยู่ในซีเป่ย
เยี่ยหลีหยุดพัดในมือลง “เขาจะอธิบายว่าเขารู้ความลับเกี่ยวกับสุสานหลวงมาจากที่ใดได้อย่างไร”
“เช่นนั้นคงต้องถามถานจี้จือแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยยิ้มๆ
เยี่ยหลีหยุดคิดเล็กน้อย “บอกถานจี้จือ ข้าต้องการดอกปี้ลั่วและวิธีการถอนพิษในตัวท่านอ๋อง อีกอย่าง…” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “บอกฉินเฟิงให้สอบปากคำซูจุ้ยเตี๋ยอีกหน่อย นางจะต้องรู้อันใดสำคัญอีกเป็นแน่ แค่เพียงฐานะของถานจี้จือ ไม่เพียงพอให้นางคอยช่วยเหลือและไม่ยอมรับสารภาพเช่นนี้ ถามให้ชัดว่า…นางกับถานจี้จือรู้จักกันได้อย่างไร!”
“ข้าน้อยรับบัญชา เช่นนั้น…คนที่ม่อจิ่งฉีส่งมา?” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยถาม
เยี่ยหลีหลุบตาลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ให้รอก่อนก็แล้วกัน ไว้ท่านอ๋องมีเวลาว่างแล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากของเฟิ่งจือเหยาก็ถึงกับกระตุก เหลือบมองม่อซิวเหยาที่นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ท่านอ๋องว่างออกจะตาย ท่านอ๋องที่บ้างานว่าแย่มากแล้ว แต่ท่านอ๋องที่จู่ๆ ก็เกิดขี้เกียจตัวเป็นขนชึ้นมานั้นยิ่งแย่กว่าเสียอีก
เมื่อคิดถึงกองฎีกาและม้วนรายงานที่กองพะเนินอยู่ในห้องหนังสือในช่วงเวลาเพียงไม่ถึงสองวัน เฟิ่งจือเหยาก็รู้สึกว่าตรงหน้าเขาดูมืดมิดขึ้นมาทันที หวังเพียงว่าท่านอ๋องจะไม่เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนานนัก
“ข้าน้อยขอตัว”