เมื่อผลักประตูเข้าไป คนด้านในเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดก็หันขวับมาทันที แต่เมื่อเห็นว่าคนที่หน้าประตูเป็นเยี่ยหลี แววตาของเขาก็ค่อยๆ อับแสงลง “เจ้ามาทำอันใดที่นี่ เป็นถึงพระชายา จะเข้าห้องคนอื่นก็ควรบอกก่อน เรื่องแค่นี้ไม่รู้เลยหรือ”
ที่เขาเสียมารยาทเช่นนี้ เยี่ยหลีมิได้คิดจะสนใจ อมยิ้มเดินเข้าห้องไปนั่งลงยังเก้าอี้ที่อยู่ห่างจากเตียงเขาไปไม่ไกลนัก เอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ ว่า “เมื่อครู่ที่ข้าพูดคุยกับเจ้าสำนักหลิง ไม่ทันระวัง เจ้าสำนักเหลิ่งจึงมาได้ยินเข้า เจ้าสำนักเหลิ่งก็เลยหายออกไปคนเดียว”
“พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอันใดกันแน่!” นัยน์ตาบัณฑิตขี้โรคดูมีแววกังวล ตะคอกถามเยี่ยหลีด้วยความโกรธทันที
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ก็ไม่ได้มีอันใดนะ กำลังพูดถึงว่าเจ้าสำนักหลิงเห็นเจ้าสำนักเหลิ่งเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ มีปัญหาอันใดหรือ”
บัณฑิตขี้โรคอึ้งไป ไม่สบถคำด่าทอใส่เยี่ยหลีเหมือนทุกครั้ง แต่กลับก้มหน้าลงนิ่ง
เมื่อเห็นบัณฑิตขี้โรคไม่พูดอันใด มุมปากเยี่ยหลีก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าสำนักสาม ในชีวิตคนเราไม่มีสิ่งใดที่จะได้สมใจกันทุกฝ่าย สิ่งสำคัญก็คือ ต้องดูว่าคนผู้นั้นจะตัดสินใจอย่างไร เมื่อเทียบกับการได้อยู่กับคนที่เรารักไปตลอดชีวิตแล้ว การแย่งชิงลมหายใจกับท่านอ๋องของข้ามันสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ หากว่าท่านอ๋องของข้ากับท่านมีความแค้นที่เข่นข้าล้างตระกูลกันมาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เท่าที่ข้ารู้ ท่านกับท่านอ๋องของข้า นอกจากที่เมื่อหลายปีก่อนเคยปะทะกันแล้ว ก็มิได้เคยข้องแวะกันอีก แม้แต่ตระกูลที่ท่านเกิดมา ก็มิได้มีความขุ่นข้องหมองใจอันใดกับตำหนักติ้งอ๋อง เหตุใดท่านจึงต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า ถอยหนึ่งก้าว เพื่อเห็นท้องฟ้าที่กว้างไกล ประโยคนี้บางครั้งก็ฟังดูมีเหตุผล ท่านว่าอย่างไร?”
บัณฑิตขี้โรคหันขวับขึ้นมาทันที ถลึงตาจ้องเยี่ยหลี สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด มีทั้งความโมโหที่ถูกเยี่ยหลีมองความในใจออก และมีความเจ็บปวดโกรธแค้นและความไม่ยินยอมต่อม่อซิวเหยา และมีความต้อยต่ำและหดหู่บางอย่างที่อธิบายไม่ออก “พูดเสียดิบดีเช่นนั้น ก็เพราะเจ้าอยากได้สูตรยาหรอกหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่ข้าพูดทั้งหมดนี้ก็ย่อมเพื่อสูตรยา เพื่อชีวิตของสามีข้า หรือท่านคิดว่าจะเพื่อเป็นแม่สื่อให้เจ้าสำนักสามอย่างนั้นหรือ ข้ามิได้ว่างขนาดนั้นสักหน่อย หากต่อไปเจ้าสำนักสองได้มาอยู่ในมือของเจ้าสำนักสามจริง ในใจข้าคงรู้สึกผิดเสียด้วยซ้ำ”
สำหรับเยี่ยหลีแล้ว คนที่มีนิสัยแปลกประหลาดเช่นบัณฑิตขี้โรค ไม่เหมาะสมกับเหลิ่งหลิวเย่ว์เอาเสียเลยจริงๆ ดังนั้นนางจึงต้องการเพียงใช้เรื่องเหลิ่งหลิวเย่ว์ในการหาเรื่องพูดคุยกับบัณฑิตขี้โรคเท่านั้น แต่จะไม่มีทางคิดหาทางไปให้เขาจีบเหลิ่งหลิวเย่ว์อย่างแน่นอน แน่นอนว่า สตรีเช่นเหลิ่งหลิวเย่ว์ จะต้องมีจิตใจที่มั่นคงอย่างแน่นอน หากบัณฑิตขี้โรคไม่สามารถเปิดใจนางได้เอง ไม่ว่าจะเป็นความคิดของผู้ใดก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์
“เจ้า!” สิ่งที่บัณฑิตขี้โรคเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือ การที่มีคนมาบอกว่าเขาไม่เหมาะสมกับเหลิ่งหลิวเย่ว์ ถึงแม้ในใจเขาจะรู้ดีว่าตนไม่เหมาะสมกับพี่สาวบุญธรรม แต่ก็ยอมได้ยินจากปากผู้อื่นไม่ได้
เมื่อเยี่ยหลีเห็นว่าตนพูดไปพอสมควรแล้ว จึงลุกขึ้นเตรียมตัวลากลับ “เจ้าสำนักสามลองคิดดูให้ดีเถิด ว่าจะลองไว้ชีวิตดูสักคนดี หรือจะลองพนันกับท่านอ๋องของข้าดูว่าผู้ใดจะหนังเหนียวกว่ากัน ข้ารับประกันว่า…ก่อนที่ท่านจะตาย เจ้าสำนักเหลิ่งจะต้องหาคู่สามีที่ถูกใจได้ก่อนอย่างแน่นอน”
บัณฑิตขี้โรคนั่งพิงอยู่กับหัวเตียง มองเยี่ยหลีที่ยกแขนเสื้อเดินออกไปอย่างไม่ลังเล แล้วบัณฑิตขี้โรคก็ไอหนักๆ ออกมาอีกครั้งหนึ่ง “เยี่ยหลี! เจ้ามันโหดร้าย…”
เยี่ยหลีจี้ถูกจุดตายของเขาเข้าแล้วจริงๆ คนอย่างเขามิใช่สุภาพบุรุษที่จะทำสิ่งใดเพื่อให้ผู้อื่นสมปราถนาอยู่แล้ว หากต้องให้เขาเห็นเหลิ่งหลิวเย่ว์แต่งงานไปกับผู้อื่นจริงๆ คงทรมานกว่าการให้เขาตายไปเสียพ้นๆ มากนัก
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหลิงเถี่ยหานกับเหลิ่งหลิวเย่ว์พูดคุยอันใดกัน สายสักหน่อยก็เห็นทั้งสองคนเดินตามกันกลับมาที่ตำหนักติ้งอ๋องประหนึ่งไม่มีอันใดเกิดขึ้นกระทั้น
หลังจากมื้อเย็นผ่านไปแล้ว เยี่ยหลีกับสวีชิงเฉินก็มีเวลาว่างมานั่งเล่นหมากรุกแก้เบื่อกันอย่างน้อยนักจะเป็นเช่นนี้ ระหว่างนั้นบัณฑิตขี้โรคก็ให้องครักษ์ที่ประจำการอยู่ที่เรือนของตนนำผืนผ้าผืนหนึ่งที่มีตัวอักษรหน้าตาโบราณเขียนอยู่เต็มไปหมดและไม่รู้ว่าคือสิ่งใดมาให้
เมื่อเยี่ยหลีเปิดออกดู ก็ระบายยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจทันที นางหันไปยื่นผืนผ้านี้ให้ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วสั่งให้เขานำไปให้เสิ่นหยางกับท่านหมอหลินที่เรือนด้วยตนเอง
เมื่อจัดการเรื่องที่คั่งค้างอยู่ในใจมานานไปได้แล้ว เยี่ยหลีจึงดูผ่อนคลายขึ้น
ในระว่างที่สวีชิงเฉินกำลังหมุนตัวหมากในมืออย่างใช้ความคิดอยู่นั้น ก็เอ่ยขึ้นว่า “ได้สูตรยาดอกปี้ลั่วมาแล้วหรือ ถึงได้ดีใจเพียงนี้”
เยี่ยหลียิ้ม “ข้าย่อมดีใจ พี่ใหญ่ไม่ดีใจหรือ”
สวีชิงเฉินส่ายหน้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “สตรีเมื่อถึงวัยแต่งงานก็ไม่ควรเก็บไว้”
เยี่ยหลีฟังเขาพูดจนงงงวยไปหมด นี่นางแต่งงานมาได้สองปีแล้วนะ
สวีชิงเฉินค่อยๆ วางหมากในมือลง ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าตั้งใจยกเรื่องความสัมพันธ์สามเศร้าของพี่น้องขึ้นมากวนใจหลิงเถี่ยหาน บีบให้บัณฑิตขี้โรคต้องยอมมอบของให้ ยามนี้หลิงเถี่ยหานยังมีเรื่องกวนใจจึงยังไม่ทันได้ตั้งตัว ไว้รอให้เขาตั้งสติได้คิดทบทวนโดยละเอียดแล้วเขาคงมาหาเรื่องเจ้า”
เยี่ยหลีทำเป็นไม่สนใจ วางหมากลง กินหมากสีขาวของสวีชิงเฉินไปหลายตัว พลางเอ่ยว่า “หลิงเถี่ยหานจะมีหน้ามาหาเรื่องข้าหรือ เจ้าสำนักเหลิ่งนั้นอายุก็ปาเข้าไปกว่าสามสิบปีแล้ว ช่วงเวลาวัยสาวเสียไปกับเขาหมดแล้ว เขาก็ควรบอกอะไรกับนางสักหน่อยกระมัง”
มือสวีชิงเฉินที่ถือหมากอยู่ชะงักไปเล็กน้อย อมยิ้มมองนางพร้อมเอ่ยว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ามีความนัยแฝงอยู่ในคำพูดนี้นะ”
เมื่อถูกสวีชิงเฉินจ้องด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งเช่นนี้ เยี่ยหลีก็รู้สึกเย็นวาบที่สันหลังขึ้นมาทันที แต่ก็พยายามตอบออกไปด้วยความสงบนิ่งว่า “หรือว่าไม่จริง สมัยนี้สตรีที่อายุล่วงเลยสามสิบปี ยังจะได้แต่งงานกับคนดีๆ อีกหรือ ไม่ว่าหลิงเถี่ยหานจะรู้หรือไม่ว่าเขาละเลยหน้าที่ของพี่ใหญ่ ปล่อยให้น้องสาวบุญธรรมอายุเลยสามสิบแล้วยังไม่ได้แต่งงาน จะถามไถ่สักนิดก็ยังไม่มี จะว่าอย่างไรก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่กระมัง หากจะพูดให้ฟังดูดีหน่อย ว่าเจ้าสำนักหลิงหลงใหลในการฝึกวิทยายุทธ์จนเรื่องอื่นๆ ไม่อาจกวนใจเขาได้ แต่หากจะดูให้ฟังดูแย่สักหน่อย ก็เป็นคนเลวที่ปล่อยให้สตรีต้องเสียเวลากับเขาไปทั้งชีวิต!”
“คนเลว?” รอยยิ้มของสวีชิงเฉินกว้างขึ้นไปอีก “น้องหลีเอ๋อร์ เจ้ายังมีอันใดอยากพูดให้พี่ชายฟังอีก พูดออกให้หมดได้เลยนะ”
เยี่ยหลีถึงกับเหงื่อตก ในใจนึกต่อว่าตนเองที่ไม่ได้เรื่อง นางเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงได้กลัวสวีชิงเฉินเช่นนี้ และดันไม่ได้กลัวสวีชิงเฉินที่ชอบตีหน้านิ่งไม่ยิ้มไม่แย้มมาตั้งแต่เด็กอีกด้วย แน่นอนว่ามิได้มีแต่เยี่ยหลีคนเดียวที่เป็นเช่นนี้ อันที่จริงน้องชายทั้งสามคนของตระกูลสวีล้วนเกรงกลัวสวีชิงเฉินที่ดูสุภาพเรียบร้อยยิ่งนัก
“ข้ามิได้พูดถึงพี่ใหญ่สักหน่อย พี่ใหญ่ท่านอย่ากินปูร้อนท้องไปหน่อยเลย”
สวีชิงเฉินพยักหน้า เมื่อเห็นท่าทางตกประหม่าของเยี่ยหลีแล้ว ก็ได้แต่ถอนใจออกมาพร้อมถามว่า “องค์หญิงอันซีไปหาเจ้าหรือ”
เยี่ยหลีเองรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย เดิมทีความรู้สึกของสวีชิงเฉินก็มิใช่เรื่องที่นางควรเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว “องค์หญิงอันซีมิได้พูดถึงเรื่องของท่าน เพียงแต่…”
องค์หญิงอันซีมีฐานะเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้น ทั้งยังเป็นองค์หญิงรัชทายาท วัฒนธรรมของคนหนานจ้าวและคนจงหยวนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แท่นหยกประทับสืบทอดแคว้นที่ว่านั้น นางก็มิได้สนใจ แต่กลับรั้งอยู่ที่เมืองหลีนานเช่นนี้ จะด้วยเพราะเหตุใด เยี่ยหลีจะไม่รู้เชียวหรือ
เพียงแต่ถึงแม้สวีชิงเฉินจะมิได้หลบหน้าองค์หญิงอันซี แต่งานในซีเป่ยนั้นก็มีมากมายเกินไปเสียจนไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนนางมากนัก องค์หญิงอันซียามมาพบเยี่ยหลีทุกครั้ง มักมีท่าทางเหมือนอยากพูดอันใดสักอย่างแต่ก็หยุดไว้ สีหน้านิ่งขรึมนั่นยิ่งทำให้เยี่ยหลีรู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมาก
“พี่ใหญ่ ท่านคิดเช่นไรกับองค์หญิงอันซีกันแน่หรือ อีกไม่นานพี่รองก็จะแต่งงานแล้ว ท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้ก็คงเคยเร่งท่านอยู่เหมือนกันใช่หรือไม่” เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว เยี่ยหลีก็ตัดสินใจเอ่ยถามสวีชิงเฉินตรงๆ มิใช่เพียงเพื่อองค์หญิงอันซีเท่านั้น แต่ยังด้วยเพราะท่านป้าสะใภ้และท่านตากับท่านลุงที่หวังให้พี่ใหญ่แต่งงานสร้างครอบครัวเสียนานแล้วอีกด้วย
“องค์หญิงอันซีถือว่าอายุไม่น้อยแล้ว ไม่ว่าพี่ใหญ่จะคิดเช่นไร พูดกับนางให้ชัดเจนไปเลยจะดีกว่า”
สวีชิงเฉินพยักหน้า “พี่รู้แล้ว จะจัดการให้เรียบร้อย”
“พี่ใหญ่ ท่าน…”
“ข้าไม่เหมาะสมกับอันซี” สวีชิงเฉินเอ่ยยิ้มๆ ด้วยท่าทีสงบ “นางเป็นองค์หญิงรัชทายาทแห่งหนานจ้าว ต้องมีสักวันหนึ่งที่ต้องสืบทอดตำแหน่งอ๋องแห่งหนานจ้าว”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าสวีชิงเฉินมีใจหรือไม่มีใจกันแน่ “หากองค์หญิงอันซียอมสละตำแหน่งอ๋องแห่งหนานจ้าวเล่าเจ้าคะ”
“พวกเราเป็นเพียงสหายกัน”